พบผลลัพธ์ทั้งหมด 139 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8393/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์ต้องเริ่มนับระยะเวลาเมื่อที่ดินมีโฉนด ที่ดินมือเปล่ายังไม่สามารถครอบครองปรปักษ์ได้
ตราบใดที่ที่ดินพิพาทยังเป็นที่ดินมือเปล่าอยู่ ย่อมครอบครองปรปักษ์ไม่ได้ จะครอบครองปรปักษ์ได้ต่อเมื่อเป็นที่ดินมีโฉนด เพราะที่ดินมีโฉนดเท่านั้นที่บุคคลอาจมีกรรมสิทธิ์ได้ ดังนี้ ระยะเวลาการเริ่มครอบครองปรปักษ์ต้องเริ่มนับแต่วันที่ที่ดินพิพาทมีโฉนด
ที่ดินพิพาทผู้ร้องครอบครองจนถึงวันยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินต่อศาลเพิ่งออกโฉนดมายังไม่ถึง 10 ปี ผู้ร้องจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1382 ผู้ร้องคงมีเพียงสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทเท่านั้น
ป.วิ.พ.มาตรา 161 กำหนดให้ศาลต้องสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียม ไม่ว่าคู่ความจะมีคำขอหรือไม่ แม้จะให้เป็นพับกันไปก็ต้องสั่ง การที่ศาลชั้นต้นมิได้สั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียม ศาลฎีกาจึงแก้ไขเสียให้ถูกต้อง
ที่ดินพิพาทผู้ร้องครอบครองจนถึงวันยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินต่อศาลเพิ่งออกโฉนดมายังไม่ถึง 10 ปี ผู้ร้องจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1382 ผู้ร้องคงมีเพียงสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทเท่านั้น
ป.วิ.พ.มาตรา 161 กำหนดให้ศาลต้องสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียม ไม่ว่าคู่ความจะมีคำขอหรือไม่ แม้จะให้เป็นพับกันไปก็ต้องสั่ง การที่ศาลชั้นต้นมิได้สั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียม ศาลฎีกาจึงแก้ไขเสียให้ถูกต้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 230/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคืนการครอบครองที่ดินมือเปล่าต้องฟ้องภายใน 1 ปี มิใช่เรื่องอายุความ
เดิมที่ดินพิพาทเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าและได้มีการขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุอยู่ในความดูแลของจำเลยที่2ต่อมาปี2512จำเลยที่2ได้ยื่นคำขอออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงโดยก่อนที่จะออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงนั้นได้มีการรังวัดที่ดินพิพาทโดยให้เจ้าของที่ดินข้างเคียงมาระวังแนวเขตและได้มีประกาศตามประมวลกฎหมายที่ดินเพื่อให้มีผู้คัดค้านแต่ไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดมาคัดค้านทางกรมที่ดินได้ออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงให้จำเลยที่2เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์และได้มอบให้จำเลยที่1ใช้ประโยชน์ตลอดมาจึงถือได้ว่าจำเลยที่2ได้แย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากโจทก์ตั้งแต่ปี2512แล้วโจทก์เพิ่งนำคดีมาฟ้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้เมื่อวันที่24เมษายน2534ซึ่งพ้นกำหนดระยะเวลา1ปีนับแต่วันที่โจทก์ถูกแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทแล้ว การฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่พิพาทประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1375วรรคสองนั้นเป็นบทบังคับเรื่องกำหนดเวลาสำหรับฟ้องหากไม่ฟ้องภายในกำหนดเวลาดังกล่าวก็หมดสิทธิฟ้องคือโจทก์หมดสิทธิครอบครองที่พิพาทอำนาจฟ้องเรียกคืนที่พิพาทก็ไม่มีฉะนั้นกำหนดเวลาตามมาตรา1375วรรคสองจึงเป็นระยะเวลาให้สิทธิฟ้องเรียกคืนการครอบครองที่ดินมือเปล่าไม่ใช่เรื่องอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3550/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองที่ดินมือเปล่า: ผู้ยึดถือครอบครองมีสิทธิเหนือกว่า การแย่งการครอบครองไม่เกิดขึ้นหากครอบครองของตนเอง
ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าผู้ที่จะได้สิทธิในที่ดินประเภทนี้ต้องเป็นผู้ยึดถือที่ดินนั้นหรือมีผู้ยึดถือแทนเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์เป็นผู้ยึดถือครอบครองที่ดินพิพาทโจทก์จึงมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทดีกว่าจำเลย การแย่งการครอบครองจะเกิดมีขึ้นได้ก็แต่ในที่ดินของผู้อื่นเท่านั้นดังนั้นเมื่อจำเลยอ้างในคำให้การว่าจำเลยครอบครองที่ดินของตนเองและโจทก์อ้างในคำให้การแก้ฟ้องแย้งว่าโจทก์ครอบครองที่ดินของโจทก์เองคดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทเพียงว่าโจทก์หรือจำเลยมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทไม่อาจมีปัญหาเรื่องแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจึงไม่มีการอ้างสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1375การที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่และฟ้องแย้งจำเลยขาดอายุความหรือไม่จึงไม่ชอบและศาลก็ไม่อาจยกขึ้นวินิจฉัยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1622/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์: สิทธิครอบครองเดิมและภาระการพิสูจน์
ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า ไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ดิน จำเลยเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทอยู่ ต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่าจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองตาม ป.พ.พ.มาตรา 1367 โจทก์อ้างว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทแทน ส.ภาระการพิสูจน์จึงตกแก่โจทก์ เมื่อโจทก์นำสืบไม่ได้สมอ้าง ศาลก็ต้องพิพากษายกฟ้องโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1622/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองที่ดินมือเปล่า: ภาระการพิสูจน์ของผู้ฟ้องอ้างการครอบครองแทน
ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินจำเลยเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทอยู่ต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่าจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1367โจทก์อ้างว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทแทนส. ภาระการพิสูจน์จึงตกแก่โจทก์เมื่อโจทก์นำสืบไม่ได้สมอ้างศาลก็ต้องพิพากษายกฟ้องโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 730/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องแย่งการครอบครองที่ดินมือเปล่า: สิทธิเรียกร้องเกิดจากคำพิพากษาชั้นที่สุดไม่ใช่การครอบครอง
สิทธิเรียกร้องซึ่งมีกำหนดอายุความสิบปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา168(เดิม)หมายถึงสิทธิเรียกร้องที่เกิดขึ้นโดยผลของคำพิพากษาชั้นที่สุดของศาลมิได้หมายถึงการฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองซึ่งต้องฟ้องภายในหนึ่งปีนับแต่ถูกแย่งการครอบครองตามมาตรา1375 คดีก่อนที่ศาลตัดสินว่าโจทก์(จำเลยคดีนี้)ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนการครอบครองที่พิพาทซึ่งเป็นที่ดินมือเปล่าเกินกว่าหนึ่งปีนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองพิพากษายกฟ้องไม่ได้ก่อให้เกิดสิทธิเรียกร้องแก่โจทก์เมื่อโจทก์ถูกจำเลยแย่งการครอบครองโจทก์จะต้องฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองภายในหนึ่งปีนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองเมื่อโจทก์ฟ้องคดีเกินกำหนดเวลาดังกล่าวจึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยจึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6180/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายที่ดินมือเปล่า (น.ส.2) การส่งมอบการครอบครองทำให้เกิดสิทธิในที่ดินได้ แม้ยังมิได้จดทะเบียน
ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีโดยฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้ตกลงขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์แล้ว เมื่อโจทก์ฎีกา จำเลยยื่นคำแก้ฎีกาเฉพาะประเด็นว่าจำเลยมิได้เจตนาสละการครอบครองที่ดินพิพาท แต่มิได้แก้ฎีกาข้อเท็จจริงในเรื่องการซื้อขายที่ดินพิพาท จึงต้องถือเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าจำเลยได้ตกลงขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์แล้ว
ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินซึ่งมีใบจอง (น.ส.2) ที่รัฐได้ยอมให้ผู้จองเข้าครอบครองทำประโยชน์ชั่วคราว จึงเป็นที่ดินมือเปล่าที่ผู้จองคงมีสิทธิครอบครองเท่านั้น ดังนั้นการโอนสิทธิการครอบครองให้แก่กันย่อมทำได้ด้วยการส่งมอบที่ดินที่ครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1378 เมื่อจำเลยขายที่ดินพิพาทให้โจทก์และโจทก์ได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทแล้ว โจทก์ย่อมได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท แม้จำเลยจะยังมิได้จดทะเบียนการโอนให้แก่โจทก์ก็ตาม
ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินซึ่งมีใบจอง (น.ส.2) ที่รัฐได้ยอมให้ผู้จองเข้าครอบครองทำประโยชน์ชั่วคราว จึงเป็นที่ดินมือเปล่าที่ผู้จองคงมีสิทธิครอบครองเท่านั้น ดังนั้นการโอนสิทธิการครอบครองให้แก่กันย่อมทำได้ด้วยการส่งมอบที่ดินที่ครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1378 เมื่อจำเลยขายที่ดินพิพาทให้โจทก์และโจทก์ได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทแล้ว โจทก์ย่อมได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท แม้จำเลยจะยังมิได้จดทะเบียนการโอนให้แก่โจทก์ก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6180/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายที่ดินมือเปล่า การโอนสิทธิครอบครอง และการบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีโดยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้ตกลงขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์แล้วเมื่อโจทก์ฎีกาจำเลยยื่นคำแก้ฎีกาเฉพาะประเด็นว่าจำเลยมิได้เจตนาสละการครอบครองที่ดินพิพาทแต่มิได้แก้ฎีกาข้อเท็จจริงในเรื่องการซื้อขายที่ดินพิพาทจึงต้องถือเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าจำเลยได้ตกลงขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์แล้ว ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินซึ่งมีใบจอง(น.ส.2)ที่รัฐได้ยอมให้ผู้จองเข้าครอบครองทำประโยชน์ชั่วคราวจึงเป็นที่ดินมือเปล่าที่ผู้จองคงมีสิทธิครอบครองเท่านั้นดังนั้นการโอนสิทธิการครอบครองให้แก่กันย่อมทำได้ด้วยการส่งมอบที่ดินที่ครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1378เมื่อจำเลยขายที่ดินพิพาทให้โจทก์และโจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทแล้วโจทก์ย่อมได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทแม้จำเลยจะยังมิได้จดทะเบียนการโอนให้แก่โจทก์ก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2897/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนสิทธิครอบครองที่ดินมือเปล่าที่มีใบจอง (น.ส.2) และข้อจำกัดการอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 224
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดิน จำเลยให้การต่อสู้ว่าที่ดินพิพาทมีใบจอง (น.ส.2) เป็นชื่อของ ล. จำเลยครอบครองมา ถือว่าจำเลยไม่ได้ต่อสู้กรรมสิทธิ์ จึงเป็นคดีฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ที่ดินพิพาทมีเนื้อที่เพียง 3 งาน หากให้เช่าน่าจะได้ค่าเช่าไม่เกินเดือนละสี่พันบาท จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ.มาตรา 224 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า แม้ที่ดินพิพาทมีหลักฐานใบจองจึงโอนกันไม่ได้ ตาม พ.ร.บ.ให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 10 แต่ที่ดิน-พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าจึงโอนสิทธิครอบครองแก่กันได้โดยการส่งมอบทรัพย์สินที่ครอบครองนั้น เป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมายดังกล่าว จึงเป็นการไม่ชอบ และถือว่าข้อเท็จจริงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นจำเลยไม่มีสิทธิฎีกาต่อมาอีก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6670/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนสิทธิครอบครองที่ดินมือเปล่า (ส.ค.1) โดยการสละการยึดถือครอบครอง สมบูรณ์ตามกฎหมาย
ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าที่มีเพียงแบบแจ้งการครอบครองที่ดินหรือ ส.ค.1 การให้ซึ่งสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทจึงมิอาจจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ตามประมวลกฎหมายที่ดิน และการให้ในลักษณะนี้สมบูรณ์โดยการส่งมอบการครอบครองที่ดินให้ จึงมิได้ตกอยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525 การโอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 ของ ห. ตามนิติกรรมการให้ในบันทึกถ้อยคำเอกสารหมาย ล.2 เป็นเรื่องที่ ห.ผู้ให้แสดงเจตนาสละการยึดถือครอบครองที่ดินพิพาทที่ ห.ยึดถือครอบครองอยู่เดิมให้แก่จำเลยที่ 1 การครอบครองของ ห.ย่อมสิ้นสุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377 วรรคแรกจำเลยที่ 1 จึงได้ซึ่งสิทธิครอบครองตามบันทึกถ้อยคำดังกล่าวกรณีมิใช่เป็นการโอนสิทธิครอบครองตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 8 วรรคสอง หรือมาตรา 9 แต่อย่างใด การสละการยึดถือครอบครองในลักษณะเช่นนี้ไม่ต้องห้ามตามกฎหมาย การให้ที่ดินพิพาทของห. แก่จำเลยที่ 1 จึงสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1378