พบผลลัพธ์ทั้งหมด 42 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2667/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัดในการเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ กรณีทับที่สาธารณประโยชน์ และการฟ้องร้อง
ผู้ว่าราชการจังหวัดลงชื่อในคำสั่งของจังหวัดให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ โดยอ้างว่าออกทับที่สาธารณประโยชน์ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 61 เป็นคำสั่งของจังหวัดที่กระทำโดยผู้ว่าราชการ-จังหวัด ซึ่งเป็นผู้แทนตาม ป.พ.พ. มาตรา 70 (75 เดิม) โจทก์ฟ้องจังหวัดเป็นจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1189/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรุกล้ำที่สาธารณประโยชน์: โจทก์มีอำนาจฟ้องให้รื้อถอนได้แม้ไม่มีโฉนด หากพิสูจน์ได้ว่าเป็นที่สาธารณประโยชน์
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยได้ปลูกสร้างอาคารรุกล้ำเข้าไปในลำรางสาธารณะที่ตื้นเขินกลายสภาพเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ในเขตเทศบาล เนื้อที่ 4.4 ตารางวา ซึ่งอยู่ในความดูแลรักษาของโจทก์ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำดังกล่าว เป็นคำฟ้องที่ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา คำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 แล้ว โจทก์ไม่ต้องแสดงโฉนดหรือหลักฐานแห่งที่ดินว่าเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์อย่างไรเพราะการเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์หรือไม่ เป็นไปตามสภาพของที่ดินและโจทก์ไม่จำเป็นต้องบรรยายมาในฟ้องว่า ที่ดินสาธารณประโยชน์ทั้งหมดมีเนื้อที่เท่าใด จำเลยปลูกสร้างอาคารรุกล้ำเข้ามาในที่ดินแต่เมื่อใด มีเขตกว้างยาวเท่าใด เพราะเป็นรายละเอียดที่คู่ความอาจนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม ลำรางซึ่งมีมานาน เดิมมีสภาพเป็นคลองระบายน้ำจากภูเขาลงสู่คลองซึ่งอยู่ในเขตเทศบาล ไม่มีเอกชนผู้ใดขุดขึ้นใช้ประโยชน์ส่วนตัว เป็นลำรางสาธารณประโยชน์ จึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ราษฎรใช้ประโยชน์ร่วมกัน แม้ต่อมาจะตื้นเขินขึ้นตามธรรมชาติหรือมีผู้ถมดินรุกล้ำเข้ามาไม่มีสภาพเป็นทางระบายน้ำต่อไป และไม่มีราษฎรใช้ประโยชน์ก็ตาม เมื่อทางราชการยังมิได้พระราชกฤษฎีกาเพิกถอนสภาพการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามมาตรา 8ประมวลกฎหมายที่ดิน ที่ดินนั้นก็ยังคงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินอยู่เช่นเดิม ที่งอกริมตลิ่ง หมายถึงที่ดินที่งอกไปจากตลิ่งตามธรรมชาติซึ่งเกิดจากที่สายน้ำพัดพาที่ดินจากที่อื่นมาทับถมกันริมตลิ่งจนเกิดที่งอกขึ้น มิใช่งอกจากที่อื่นเข้ามาหาตลิ่ง เทศบาลโจทก์มีอำนาจหน้าที่ดูแลรักษาสาธารณสมบัติของแผ่นดินในเขตเทศบาลตามคำสั่งกระทรวงมหาดไทย มีอำนาจฟ้องให้จำเลยรื้อถอนอาคารส่วนที่จำเลยปลูกสร้างรุกล้ำลำรางสาธารณะที่ตื้นเขินกลายสภาพเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ในเขตเทศบาลได้โดยไม่จำต้องบอกกล่าวล่วงหน้า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3382/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนโฉนดที่ดินทับที่สาธารณประโยชน์ ไม่เป็นการละเมิดสิทธิเจ้าของที่ดิน
การที่จำเลยใช้อำนาจตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 61 มีคำสั่งให้เพิกถอนโฉนดที่ดินซึ่งออกทับที่สาธารณประโยชน์นั้น เป็นการใช้อำนาจตามกฎหมาย เพื่อจุดประสงค์ในการสงวนและรักษาไว้ซึ่งสาธารณสมบัติของแผ่นดิน เพื่อประโยชน์ของประชาชนโดยส่วนรวมหาใช่เป็นการใช้สิทธิอันมีแต่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นไม่จำเลยจึงมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินตามโฉนดดังกล่าว
เอกสารที่จำเลยยื่นต่อศาลเพื่อส่งสำเนาให้แก่โจทก์ เป็นพยานที่เกี่ยวกับประเด็นอันสำคัญในคดี แม้จะยังมิได้ส่งสำเนาให้โจทก์ก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 3 วัน เพราะความพลั้งเผลอของเจ้าหน้าที่ศาล แต่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 87(2)
เอกสารที่จำเลยยื่นต่อศาลเพื่อส่งสำเนาให้แก่โจทก์ เป็นพยานที่เกี่ยวกับประเด็นอันสำคัญในคดี แม้จะยังมิได้ส่งสำเนาให้โจทก์ก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 3 วัน เพราะความพลั้งเผลอของเจ้าหน้าที่ศาล แต่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 87(2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3382/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนโฉนดที่ดินทับที่สาธารณประโยชน์ ไม่ถือเป็นการละเมิด เจ้าหน้าที่ศาลรับฟังพยานหลักฐานได้
การที่จำเลยใช้อำนาจตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 61 มีคำสั่งให้เพิกถอนโฉนดที่ดินซึ่งออกทับที่สาธารณประโยชน์นั้น เป็นการใช้อำนาจตามกฎหมาย เพื่อจุดประสงค์ในการสงวนและรักษาไว้ซึ่งสาธารณสมบัติของแผ่นดิน เพื่อประโยชน์ของประชาชนโดยส่วนรวมหาใช่เป็นการใช้สิทธิอันมีแต่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นไม่จำเลยจึงมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินตามโฉนดดังกล่าว เอกสารที่จำเลยยื่นต่อศาลเพื่อส่งสำเนาให้แก่โจทก์ เป็นพยานที่เกี่ยวกับประเด็นอันสำคัญในคดี แม้จะยังมิได้ส่งสำเนาให้โจทก์ก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 3 วัน เพราะความพลั้งเผลอของเจ้าหน้าที่ศาล แต่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 87(2).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2431/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินโดยเชื่อสุจริตและการพิสูจน์ความเป็นที่สาธารณประโยชน์มีผลต่อความผิดฐานบุกรุกและขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน
การที่ศาลจะมีอำนาจสั่งให้บุคคลใดออกไปจากที่ดินของรัฐนั้นต้องเป็นกรณีที่ศาลพิพากษาว่า บุคคลดังกล่าวได้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108 ทวิ แล้ว เมื่อที่พิพาทยังไม่อาจฟังได้แน่ชัดว่าเป็นที่สาธารณประโยชน์และจำเลยยึดถือครอบครองอยู่โดยเชื่อว่าตนมีสิทธิครอบครองต่อจากบิดา จึงไม่เป็นความผิดตามบทบัญญัติดังกล่าว ศาลไม่อาจสั่งให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่พิพาทได้
การที่จำเลยไม่ยอมออกจากที่พิพาทตามคำสั่งของนายอำเภอเพราะเชื่อว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองซึ่งเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกันกับที่วินิจฉัยมาแล้วว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานบุกรุก จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368 แม้ปัญหานี้ยุติแล้วในศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 ประกอบมาตรา215 และ 225.
การที่จำเลยไม่ยอมออกจากที่พิพาทตามคำสั่งของนายอำเภอเพราะเชื่อว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองซึ่งเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกันกับที่วินิจฉัยมาแล้วว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานบุกรุก จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368 แม้ปัญหานี้ยุติแล้วในศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 ประกอบมาตรา215 และ 225.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3017/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่สาธารณประโยชน์หลัง พ.ร.บ.ที่ดินใช้บังคับ และอำนาจศาลในการสั่งให้จำเลยออกจากที่ดิน
ที่พิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์ซึ่งจำเลยเข้ายึดถือครอบครองหลังจาก ป.ที่ดินใช้บังคับแล้ว โดยจำเลยมิได้มีสิทธิครอบครองและมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย การกระทำของจำเลยจึงฝ่าฝืน ป. ที่ดิน ม.9.และเป็นความผิดต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ
การที่จะลงโทษผู้ฝ่าฝืน ป. ที่ดิน ตาม ม. 108 ทวิจะต้องเป็นการฝ่าฝืนนับตั้งแต่ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 96 ลงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2515 ใช้บังคับจำเลยฝ่าฝืนมาก่อนแล้ว แม้จะครอบครองตลอดมา ก็เป็นการครอบครองสืบเนื่องมาจากเข้ายึดถือครอบครองครั้งแรกต้องลงโทษตาม ม.108 และตามมาตราดังกล่าวซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 96 ข้อ 11 มิได้ให้อำนาจศาลที่จะสั่งให้จำเลยออกไปจากที่พิพาทได้
การที่จะลงโทษผู้ฝ่าฝืน ป. ที่ดิน ตาม ม. 108 ทวิจะต้องเป็นการฝ่าฝืนนับตั้งแต่ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 96 ลงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2515 ใช้บังคับจำเลยฝ่าฝืนมาก่อนแล้ว แม้จะครอบครองตลอดมา ก็เป็นการครอบครองสืบเนื่องมาจากเข้ายึดถือครอบครองครั้งแรกต้องลงโทษตาม ม.108 และตามมาตราดังกล่าวซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 96 ข้อ 11 มิได้ให้อำนาจศาลที่จะสั่งให้จำเลยออกไปจากที่พิพาทได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3017/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบุกรุกที่สาธารณประโยชน์หลัง พ.ร.บ.ที่ดินใช้บังคับ ศาลจำกัดอำนาจสั่งขับไล่
ที่พิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์ซึ่งจำเลยเข้ายึดถือครอบครองหลังจาก ป.ที่ดินใช้บังคับแล้ว โดยจำเลยมิได้มีสิทธิครอบครองและมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย การกระทำของจำเลยจึงฝ่าฝืน ป. ที่ดิน ม.9.และเป็นความผิดต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ
การที่จะลงโทษผู้ฝ่าฝืน ป. ที่ดิน ตาม ม. 108 ทวิ จะต้องเป็นการฝ่าฝืนนับตั้งแต่ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 96 ลงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2515 ใช้บังคับจำเลยฝ่าฝืนมาก่อนแล้ว แม้จะครอบครองตลอดมา ก็เป็นการครอบครองสืบเนื่องมาจากเข้ายึดถือครอบครองครั้งแรกต้องลงโทษตาม ม.108 และตามมาตราดังกล่าวซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 96 ข้อ 11 มิได้ให้อำนาจศาลที่จะสั่งให้จำเลยออกไปจากที่พิพาทได้
การที่จะลงโทษผู้ฝ่าฝืน ป. ที่ดิน ตาม ม. 108 ทวิ จะต้องเป็นการฝ่าฝืนนับตั้งแต่ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 96 ลงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2515 ใช้บังคับจำเลยฝ่าฝืนมาก่อนแล้ว แม้จะครอบครองตลอดมา ก็เป็นการครอบครองสืบเนื่องมาจากเข้ายึดถือครอบครองครั้งแรกต้องลงโทษตาม ม.108 และตามมาตราดังกล่าวซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 96 ข้อ 11 มิได้ให้อำนาจศาลที่จะสั่งให้จำเลยออกไปจากที่พิพาทได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2216/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่สาธารณประโยชน์ย่อมมีลักษณะพิเศษกว่าสิทธิครอบครอง แม้จะมีการครอบครองนานปี หรือมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์
ที่พิพาทซึ่งผู้ใหญ่บ้านจำเลยปักหลักไม้แก่นคือหนองปลาตองอันได้ขึ้นทะเบียนเป็นที่สาธารณะประเภทที่จับสัตว์น้ำมาแต่โบราณ แม้ปัจจุบันจะตื้นเขินอันเป็นเหตุให้โจทก์เข้าครอบครองทำนามาหลายปี ก็หาทำให้ที่พิพาทซึ่งเป็นที่สาธารณประโยชน์สิ้นสภาพไปไม่ แม้โจทก์จะครอบครองมาช้านานเพียงใด หรือได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ไว้แล้ว ก็ไม่ทำให้โจทก์มีสิทธิใดๆ เหนือที่พิพาท
ศาลพิพากษาให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยได้ แม้จำเลยมิได้ร้องขอ
ศาลพิพากษาให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยได้ แม้จำเลยมิได้ร้องขอ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 637/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในที่สาธารณประโยชน์ริมคลอง: การฟ้องขับไล่จำเลยที่ปลูกบ้านในที่สาธารณประโยชน์โดยโจทก์ไม่มีความเสียหาย
จำเลยปลูกบ้านอยู่ในที่ริมตลิ่งซึ่งกว้าง 15 เมตร และติดกับหน้าที่ดินของโจทก์ที่ริมตลิ่งอยู่ในความดูแลของกรมชลประทานอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน โจทก์มีทางลงสู่คลองได้โดยไม่ต้องผ่านที่พิพาทโจทก์จึงไม่เสียหาย ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 982/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่สาธารณประโยชน์: การใช้ประโยชน์ร่วมกันของราษฎร แม้ไม่ขึ้นทะเบียนก็เป็นที่สาธารณสมบัติ
หนองน้ำที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติสำหรับราษฎรในหมู่บ้านใช้เป็นที่จับปลาและเลี้ยงสัตว์ร่วมกัน เป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินแม้ทางราชการจะไม่ได้ขึ้นทะเบียนไว้เป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินก็ไม่ใช่ข้อสารสำคัญเพราะไม่มีกฎหมายบังคับว่าจะต้องกระทำดังกล่าว