พบผลลัพธ์ทั้งหมด 98 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3431/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าจากการยิงปืนในที่สาธารณะ แม้ไม่ประสงค์ต่อผล แต่เล็งเห็นผลได้
การที่จำเลยที่ 2 ใช้ปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงยิงไปทางกลุ่มผู้เสียหายซึ่งมีประมาณ 10 คน โดยไม่ใยดีว่ากระสุนปืนจะถูกผู้ใดหรือไม่ แม้จะเป็นการยิงเพียงนัดเดียวก็อาจถูกผู้อื่นถึงแก่ความตายได้ จึงเป็นการกระทำที่ย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น เป็นการกระทำโดยเจตนาฆ่า.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2387/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองในที่สาธารณะ: การครอบครองและทำประโยชน์ในหนองน้ำสาธารณะไม่ถือเป็นสิทธิครอบครอง
ประเด็นข้อพิพาทมีว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าที่พิพาทเป็นหนองน้ำสาธารณะสำหรับประชาชนใช้ร่วมกันเท่ากับวินิจฉัยว่าที่พิพาทไม่ได้เป็นของโจทก์นั่นเองจึงเป็นการวินิจฉัยตรงตามประเด็นในคดี โจทก์เพียงแต่เข้าไปขุดบ่อไว้เป็นแห่ง ๆ ในที่พิพาทซึ่งเป็นหนองน้ำสาธารณะสำหรับประชาชนใช้ร่วมกัน เพื่อจับปลาเช่นเดียวกับจำเลยและราษฎรคนอื่น ๆ และในหน้าน้ำทุกปีน้ำท่วมพื้นที่ทั้งหมดไม่มีผู้ใดสามารถใช้ประโยชน์จากบ่อที่ขุดไว้ได้ ทั้งไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ทำประโยชน์อย่างอื่นในที่พิพาท โจทก์จึงไม่มีสิทธิครอบครองที่พิพาท ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5557/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาพาอาวุธปืนในที่สาธารณะเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับกุม ถือเป็นความผิดฐานพาอาวุธปืน
เจ้าพนักงานตำรวจตรวจค้นบ้านจำเลย จำเลยจึงพาอาวุธปืนที่มีไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตติดตัวไป การที่จำเลยพาอาวุธปืนดังกล่าวติดตัวไปในทางสาธารณะ แม้เพื่อมิให้ถูกค้นพบและถูกจับกุมดำเนินคดีในข้อหามีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตก็ตาม ก็เป็นการที่จำเลยเจตนากระทำความผิดขึ้นใหม่เพื่อปกปิดหรือให้พ้นจากการถูกจับกุมในความผิดที่ได้ก่อขึ้นแล้วถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะโดยผิดกฎหมายจึงต้องมีความผิดในข้อหาพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะด้วย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4679/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่ชายตลิ่งเป็นที่สาธารณะ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่ แม้จะครอบครองก่อนและสร้างพื้นไม้กระดาน
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไปจากพื้นไม้กระดานของโจทก์ซึ่งปลูกอยู่บนที่ชายตลิ่ง กับให้ใช้ค่าเสียหายจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่พิพาท เท่ากับฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ชายตลิ่งใต้พื้นไม้กระดานนั่นเอง แม้จะฟังว่าพื้นไม้กระดานบนที่พิพาทเป็นของโจทก์ก็ตาม แต่ที่พิพาทเป็นที่ชายตลิ่งอันเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตาม ป.พ.พ. มาตรา 1304(2) ผู้ใดหามีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองไม่ แม้โจทก์จะได้ครอบครองที่พิพาทมาก่อนแล้วยอมให้จำเลยใช้ที่พิพาทเพื่อวางสินค้าขาย ขนสินค้าลงไปบรรทุกเรือและขึ้นจากเรือ ก็จะถือว่าเป็นการมอบให้จำเลยครอบครองแทนหาได้ไม่เมื่อจำเลยเป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาทอยู่จำเลยย่อมมีสิทธิดีกว่าโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่ และเรียกค่าเสียหายจากจำเลย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4679/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองที่ดินชายตลิ่งที่เป็นที่สาธารณะ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องไล่จำเลย
แม้โจทก์บรรยายฟ้องขอให้บังคับจำเลยออกไปจากพื้นไม้กระดานของโจทก์ก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาฟ้องโจทก์โดยตลอดแล้ว เป็นเรื่องโจทก์ประสงค์จะฟ้องขับไล่จำเลยออกไปจากที่ชายตลิ่งใต้พื้นไม้กระดานนั้นเอง ฉะนั้น เมื่อที่พิพาทเป็นที่ชายตลิ่งอันเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตาม ป.พ.พ.มาตรา 1304(2) ผู้ใดหามีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองไม่ แม้โจทก์จะได้ครอบครองที่พิพาทมาก่อนแล้วยอมให้จำเลยใช้ประโยชน์ในที่พิพาทก็จะถือว่าเป็นการมอบให้จำเลยครอบครองแทนหาได้ไม่ เมื่อจำเลยเป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาทอยู่ จำเลยย่อมมีสิทธิดีกว่าโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง หากโจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยใช้ประโยชน์พื้นไม้กระดานนั้นอีกต่อไป ก็ชอบที่จะใช้สิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยส่งมอบพื้นไม้กระดานคืนแก่โจทก์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3382/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนโฉนดที่ดินทับที่สาธารณะประโยชน์ ไม่เป็นการละเมิด และศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานแม้ไม่ส่งสำเนาให้คู่ความก่อน
การที่จำเลยใช้อำนาจตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 61 มีคำสั่งให้เพิกถอนโฉนดที่ดิน ซึ่งออกทับที่สาธารณประโยชน์นั้น เป็นการใช้อำนาจตามกฎหมาย หาใช่เป็นการใช้สิทธิอันมีแต่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินตามโฉนดดังกล่าวไม่ เอกสารที่จำเลยยื่นต่อศาลเพื่อส่งสำเนาให้แก่โจทก์ เป็นพยานที่เกี่ยวกับประเด็นอันสำคัญในคดี แม้จะยังมิได้ส่งสำเนาให้โจทก์ก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 3 วัน เพราะความพลั้งเผลอของเจ้าหน้าที่ศาล แต่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(มาตรา 87(2))
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3947/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบุกรุกที่สาธารณะ: ฟ้องครบองค์ประกอบความผิด แม้ไม่ได้กล่าวถึงการไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าหน้าที่
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปยึดถือ ครอบครอง ที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกันเมื่อระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2518 ถึงวันที่ 24 ตุลาคม 2527 ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9,108 ทวิ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยเข้ายึดถือครอบครองที่ดินตามวันเวลาดังกล่าวในฟ้อง โจทก์หาจำต้องบรรยายฟ้องว่า จำเลยเพิกเฉยไม่ปฏิบัติให้ถูกระเบียบและไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามความในมาตรา108 ไม่ เพราะจำเลยเข้ายึดถือ ครอบครอง ที่ดินภายหลังที่ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 96 ใช้บังคับแล้ว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2558/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบนที่สาธารณะ หลังมี พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมวิธีพิจารณาความแพ่ง
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่สาธารณะที่โจทก์มีหน้าที่ดูแลอยู่ ถ้าจำเลยไม่รื้อถอนขอให้โจทก์เป็นผู้รื้อถอนโดยจำเลยทั้งสองเสียค่าใช้จ่าย ปรากฏว่าในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ได้มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2527 ออกใช้บังคับ ซึ่งมาตรา 12 ให้เพิ่มเติมมาตรา 296 ทวิ กำหนดวิธีดำเนินการบังคับคดีโดยให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษายื่นคำขอฝ่ายเดียวโดยทำเป็นคำร้องต่อศาลให้มีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีจัดการให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเข้าครอบครองทรัพย์สินนั้น ดังนั้น โจทก์ชอบที่จะดำเนินการตามวิธีการดังกล่าวนี้ จะให้โจทก์รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างของจำเลยเองโดยให้ศาลบังคับให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายหาได้ไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 215/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาบุกรุกที่สาธารณะ: การทำนาโดยได้รับความยินยอมจากคณะกรรมการหมู่บ้าน ไม่ถือเป็นเจตนาบุกรุก
จำเลยเข้าทำนาและกั้นรั้วในถนนสาธารณประโยชน์ เนื่องจากคณะกรรมการพัฒนาหมู่บ้านได้ขอตัดถนนสายใหม่ผ่านกลางที่นาของสามีจำเลย คณะกรรมการดังกล่าวมิได้จ่ายค่าทดแทนที่ดินให้จึงให้สามีจำเลยและจำเลยทำนาในที่ดินส่วนหนึ่งของถนนสาธารณประโยชน์สายเก่าแทน เช่นนี้ การที่จำเลยเข้าทำนาในที่พิพาทโดยความยินยอมของคณะกรรมการดังกล่าวมิได้กระทำไปโดยเจตนาที่จะบุกรุกที่ดินอันเป็นสาธารณประโยชน์ แม้ต่อมาจำเลยจะทราบจากผู้ใหญ่บ้านว่าที่ดินส่วนที่จำเลยทำนาเป็นถนนสาธารณสมบัติของแผ่นดินก็ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาบุกรุกเพราะจำเลยเข้าใจมาแต่ต้นว่าจำเลยมีสิทธิที่จะทำนาในที่ดินส่วนนั้นได้.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3918/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบุกรุกที่สาธารณะ: โจทก์ไม่ต้องระบุรายละเอียดความเป็นมาของที่ดิน และการเช่าระยะสั้นไม่ทำให้เสียสภาพสาธารณสมบัติ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำคุกจำเลย 1 ปีปรับ 5,000 บาท ให้รอการลงโทษจำคุกไว้ คดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
ฟ้องของโจทก์ในข้อหาบุกรุกยึดถือครอบครองทางสาธารณะ อันเป็นที่ดินของรัฐตามประมวลกฎหมายที่ดินนั้นโจทก์ไม่จำต้องบรรยายฟ้องว่า ที่ดินพิพาทนั้นเป็นที่ดินของรัฐได้อย่างไรและเป็นที่ดินของรัฐตั้งแต่เมื่อใดเพราะเป็นรายละเอียดที่โจทก์จะต้องนำสืบในชั้นพิจารณาคดี เป็นฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา158 (5) แล้ว
ที่พิพาทแม้ทางราชการจะเคยให้เอกชนเช่าอยู่ 3 ปีก็เลิกเช่า แต่ประชาชนสัญจรไปมาในที่พิพาทตลอดมาถือได้ว่า ที่พิพาทยังคงเป็นที่ดินของรัฐเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกัน โจทก์มีอำนาจฟ้องให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 108 ทวิได้
ฟ้องของโจทก์ในข้อหาบุกรุกยึดถือครอบครองทางสาธารณะ อันเป็นที่ดินของรัฐตามประมวลกฎหมายที่ดินนั้นโจทก์ไม่จำต้องบรรยายฟ้องว่า ที่ดินพิพาทนั้นเป็นที่ดินของรัฐได้อย่างไรและเป็นที่ดินของรัฐตั้งแต่เมื่อใดเพราะเป็นรายละเอียดที่โจทก์จะต้องนำสืบในชั้นพิจารณาคดี เป็นฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา158 (5) แล้ว
ที่พิพาทแม้ทางราชการจะเคยให้เอกชนเช่าอยู่ 3 ปีก็เลิกเช่า แต่ประชาชนสัญจรไปมาในที่พิพาทตลอดมาถือได้ว่า ที่พิพาทยังคงเป็นที่ดินของรัฐเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกัน โจทก์มีอำนาจฟ้องให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 108 ทวิได้