พบผลลัพธ์ทั้งหมด 33 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6371/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
โฉนดที่ดินออกทับที่ธรณีสงฆ์เป็นโมฆะ แม้มีการโอนกรรมสิทธิ์ต่อมา ก็ไม่ทำให้กรรมสิทธิ์สมบูรณ์ ศาลมีอำนาจเพิกถอนได้
โฉนดที่ดินออกทับที่ธรณีสงฆ์ของวัดโจทก์เป็นการออกโฉนดที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้จะมีการโอนทางทะเบียนต่อมาจนถึงจำเลยผู้มีชื่อรายสุดท้าย จำเลยผู้รับโอนก็หาได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดที่ตนรับโอนไม่ และเมื่อโฉนดที่ดินออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว โจทก์จะขอให้ลงชื่อโจทก์แทนชื่อจำเลยในโฉนดดังกล่าวหาได้ไม่และแม้โจทก์จะมิได้ขอให้เพิกถอนโฉนดดังกล่าว ศาลฎีกาก็มีอำนาจสั่งเพิกถอนโฉนดดังกล่าวที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเสียได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 997/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ในที่ดินธรณีสงฆ์ แม้ครอบครองทำประโยชน์นาน ก็ไม่ทำให้ได้กรรมสิทธิ์ และการชดใช้ค่าที่ดินเพิ่มต้องฟ้องแย้ง
ที่ธรณีสงฆ์แม้จะครอบครองทำประโยชน์มาเป็นเวลาเกินกว่า10 ปี ก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์
จำเลยให้การต่อสู้คดีเพียงว่า หากศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ โจทก์จะต้องใช้ค่าที่ดินเพิ่มขึ้นให้จำเลยโดยจำเลยขอสงวนสิทธิที่จะฟ้องร้องเรียกจากโจทก์ต่อไปเท่านั้นจำเลยหาได้ฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์มาในคำให้การด้วยไม่ศาลจึงไม่อาจบังคับให้โจทก์ชดใช้ค่าแห่งที่ดินที่เพิ่มขึ้นได้
การกำหนดความรับผิดสำหรับค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความของคู่ความนั้น ศาลจะใช้ดุลพินิจโดยคำนึงถึงเหตุผลสมควรและความสุจริตในการต่อสู้คดี
จำเลยให้การต่อสู้คดีเพียงว่า หากศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ โจทก์จะต้องใช้ค่าที่ดินเพิ่มขึ้นให้จำเลยโดยจำเลยขอสงวนสิทธิที่จะฟ้องร้องเรียกจากโจทก์ต่อไปเท่านั้นจำเลยหาได้ฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์มาในคำให้การด้วยไม่ศาลจึงไม่อาจบังคับให้โจทก์ชดใช้ค่าแห่งที่ดินที่เพิ่มขึ้นได้
การกำหนดความรับผิดสำหรับค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความของคู่ความนั้น ศาลจะใช้ดุลพินิจโดยคำนึงถึงเหตุผลสมควรและความสุจริตในการต่อสู้คดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1240/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการเช่าที่ดินธรณีสงฆ์: สัญญาซื้อฝากไม่ผูกพันจำเลย ผู้รับซื้อฝากไม่เกิดสิทธิเช่า
โจทก์รับซื้อฝากบ้านซึ่งปลูกอยู่ในที่ธรณีสงฆ์ไว้จาก ฉ. มีกำหนด 1 ปี โดยมีข้อสัญญาด้วยว่า ถ้าฉ.ไม่ไถ่บ้านคืนภายใน 1 ปี ฉ.ยอมโอนสิทธิการเช่าที่ธรณีสงฆ์ให้โจทก์ ครั้นครบ 1 ปีบ้านหลุดเป็นสิทธิแก่โจทก์ ฉ.กลับยื่นคำร้องต่อจำเลย ซึ่งเป็นผู้จัดการผลประโยชน์ที่ธรณีสงฆ์ขอโอนสิทธิการเช่าให้แก่ ท. ด. เจ้าหน้าที่ของจำเลยได้รายงานเท็จต่อคณะกรรมการจัดผลประโยชน์ของจำเลยว่าไม่มีบ้านปลูกอยู่ในที่ดิน คณะกรรมการจึงอนุญาตให้ ท. เป็นผู้เช่าแทน ฉ.ได้ ดังนี้แม้ในทางปฏิบัติจะมีความเห็นของเจ้าหน้าที่ว่า ผู้ใดเป็นเจ้าของบ้านผู้นั้นควรได้รับเช่าที่ดินก็ตาม แต่ก็มิใช่ข้อบังคับเด็ดขาดว่า จำเลยต้องเช่าเสมอไป การที่มีข้อสัญญาระหว่าง ฉ.กับโจทก์นั้นจำเลยก็มิได้เป็นคู่สัญญาด้วย ข้อตกลงดังกล่าวไม่ผูกพันจำเลย ฉะนั้น การที่โจทก์รับซื้อฝากบ้านจนหลุดเป็นสิทธิไม่ก่อให้เกิดสิทธิการเช่าที่ดิน และจำเลยไม่มีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องให้โจทก์เช่าที่พิพาท การที่เจ้าหน้าที่ของจำเลยทำรายงานเท็จก็เป็นเรื่องทำผิดวินัยตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนส่วนหนึ่งต่างหาก หาใช่สาเหตุโดยตรงที่ทำให้โจทก์ไม่ได้เช่าที่พิพาทไม่ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดฐานกระทำละเมิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1240/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายฝากไม่ผูกพันจำเลยในการเช่าที่ดินธรณีสงฆ์ สิทธิการเช่าไม่ตามกรรมสิทธิ์สิ่งปลูกสร้าง
โจทก์รับซื้อฝากบ้านซึ่งปลูกอยู่ในที่ธรณีสงฆ์ไว้จาก ฉ. มีกำหนด1 ปี โดยมีข้อสัญญาด้วยว่า ถ้า ฉ.ไม่ไถ่บ้านคืนภายใน1ปี ฉ. ยอมโอนสิทธิการเช่าที่ธรณีสงฆ์ให้โจทก์ ครั้นครบ 1 ปี บ้านหลุดเป็นสิทธิแก่โจทก์ ฉ. กลับยื่นคำร้องต่อจำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการผลประโยชน์ที่ธรณีสงฆ์ขอโอนสิทธิการเช่าให้แก่ ท. ด. เจ้าหน้าที่ของจำเลยได้รายงานเท็จต่อคณะกรรมการจัดผลประโยชน์ของจำเลยว่าไม่มีบ้านปลูกอยู่ในที่ดินคณะกรรมการจึงอนุญาตให้ ท.เป็นผู้เช่าแทน ฉ. ได้ ดังนี้แม้ในทางปฏิบัติจะมีความเห็นของเจ้าหน้าที่ว่า ผู้ใดเป็นเจ้าของบ้านผู้นั้นควรได้รับเช่าที่ดินก็ตาม แต่ก็มิใช่ข้อบังคับเด็ดขาดว่า จำเลยต้องให้เช่าเสมอไปการที่มีข้อสัญญาระหว่าง ฉ. กับโจทก์นั้นจำเลยก็มิได้เป็นคู่สัญญาด้วยข้อตกลงดังกล่าวไม่ผูกพันจำเลย ฉะนั้น การที่โจทก์รับซื้อฝากบ้านจนหลุดเป็นสิทธิไม่ก่อให้เกิดสิทธิการเช่าที่ดิน และจำเลยไม่มีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องให้โจทก์เช่าที่พิพาทการที่เจ้าหน้าที่ของจำเลยทำรายงานเท็จก็เป็นเรื่องทำผิดวินัยตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนส่วนหนึ่งต่างหาก หาใช่สาเหตุโดยตรงที่ทำให้โจทก์ไม่ได้เช่าที่พิพาทไม่ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดฐานกระทำละเมิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1035/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สถานะวัดเมื่อมีการเวนคืนและย้ายที่ตั้ง: ธรณีสงฆ์ยังคงเป็นสิทธิของวัด
เดิมวัดโจทก์ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาแล้ว ต่อมาที่ตั้งวัดถูกทางราชการเวนคืน จึงย้ายไปตั้งในที่ดินที่มีผู้จัดซื้อถวาย ห่างที่ตั้งวัดเดิมประมาณ 1 กิโลเมตรเศษโบสถ์หลังเดิมยังอยู่ พระสงฆ์ยังใช้ทำสังฆกรรมตลอดมา วัดโจทก์จึงมีฐานะเป็นวัดอยู่เช่นเดิม หาใช่เป็นสำนักสงฆ์ไม่ ที่พิพาทเป็นที่ธรณีสงฆ์โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1006/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าที่ดินธรณีสงฆ์โมฆะ: การสมยอมทุจริตและขาดนิติสัมพันธ์ที่ถูกต้อง
เดิมกรมการศาสนาเป็นผู้ดูแลและจัดการผลประโยชน์ที่ดินธรณีสงฆ์ของวัดจำเลย เมื่อกรมการศาสนาฟ้อง ส.และว.ขอเลิกการเช่า ได้มีผู้อื่นยื่นคำเสนอขอเช่าที่ดินแปลงนี้หลายราย แต่กรมการศาสนามิได้พิจารณาให้ผู้ใดเช่า กรมการศาสนาได้บอกปัดข้อเสนอของโจทก์และผู้แทนชาวตลาด ไม่ยอมทำสัญญาเช่าให้โจทก์กับพวกตามความเห็นของพระพุทธิวงศาจารย์ผู้รักษาการเจ้าอาวาส ซึ่งพระพุทธิวงศาจารย์ก็มิได้มีปฏิกิริยาคัดค้านอำนาจของกรมการศาสนาแต่ประการใด คงรับรองอำนาจของกรมการศาสนาว่ามีอำนาจเด็ดขาดที่จะให้เช่าหรือไม่ให้เช่าที่พิพาท จึงถือไม่ได้ว่ากรมการศาสนาร่วมกับพระพุทธิวงศาจารย์ได้ตกลงให้โจทก์กับพวกเช่าที่ดินพิพาท เมื่อกรมการศาสนาผู้มีอำนาจจัดการให้เช่าที่ดินพิพาทไม่ยอมทำสัญญาเช่าให้โจทก์ ข้อเสนอเช่าของโจทก์ย่อมตกไป โจทก์และวัดจำเลยไม่มีนิติสัมพันธ์อย่างใดต่อกัน แม้สัญญาเช่าฉบับนี้จะได้ทำกันภายหลังที่พระพุทธิวงศาจารย์ถอนอำนาจจัดการผลประโยชน์จากกรมการศาสนามาจัดการเองในฐานะผู้รักษาการเจ้าอาวาสและมีอำนาจที่จะทำสัญญาให้เช่าที่พิพาทได้ก็ดี
จ.มีผลประโยชน์ร่วมกับพวกโจทก์หากได้เช่าตลาดพิพาทเป็นเวลานานปี แต่พระพุทธิวงศาจารย์ กลับตั้งให้จ.เป็นไวยาวัจกรของวัด มอบอำนาจให้จ.ทำสัญญาเช่าฉบับพิพาทกับโจทก์เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2505 และเก็บค่าเช่าในนามของวัดจำเลย จนกระทั่งพระพุทธิวงศาจารย์พ้นจากตำแหน่งรักษาการเจ้าอาวาสเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2507 และไม่ยอมมอบงานให้แก่พระครูวินัยธรนวนเจ้าอาวาสองค์ใหม่ ต่อมาวันที่ 2 สิงหาคม 2507 พระพุทธิวงศาจารย์จึงได้มอบงานในหน้าที่ให้พระครูวินัยธรนวน จึงได้ปรากฏสัญญาเช่าฉบับพิพาทขึ้นว่า พระพุทธิวงศาจารย์ได้มอบอำนาจให้ จ. ทำสัญญาเช่ากับโจทก์แล้วแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2505 พฤติการณ์ดังนี้เป็นการแสดงให้เห็นว่าสัญญาเช่าฉบับนี้เกิดจากพระพุทธิวงศาจารย์และ จ.สมยอมกับโจทก์ทำขึ้นโดยไม่สุจริต เพราะโจทก์เองก็รู้แล้วว่าเป็นทางให้วัดจำเลยผู้เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทและตลาดได้รับความเสียหาย สัญญาเช่าฉบับลงวันที่ 1 พฤษภาคม 2505 ระหว่างโจทก์กับพระพุทธิวงศาจารย์จึงไม่ผูกพันวัดจำเลย โจทก์ไม่มีอำนาจนำสัญญาเช่าซึ่งเกิดจากการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตของโจทก์มาฟ้องขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติตามสัญญาหรือบังคับให้จดทะเบียนสัญญาเช่าตามฟ้องได้
จ.มีผลประโยชน์ร่วมกับพวกโจทก์หากได้เช่าตลาดพิพาทเป็นเวลานานปี แต่พระพุทธิวงศาจารย์ กลับตั้งให้จ.เป็นไวยาวัจกรของวัด มอบอำนาจให้จ.ทำสัญญาเช่าฉบับพิพาทกับโจทก์เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2505 และเก็บค่าเช่าในนามของวัดจำเลย จนกระทั่งพระพุทธิวงศาจารย์พ้นจากตำแหน่งรักษาการเจ้าอาวาสเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2507 และไม่ยอมมอบงานให้แก่พระครูวินัยธรนวนเจ้าอาวาสองค์ใหม่ ต่อมาวันที่ 2 สิงหาคม 2507 พระพุทธิวงศาจารย์จึงได้มอบงานในหน้าที่ให้พระครูวินัยธรนวน จึงได้ปรากฏสัญญาเช่าฉบับพิพาทขึ้นว่า พระพุทธิวงศาจารย์ได้มอบอำนาจให้ จ. ทำสัญญาเช่ากับโจทก์แล้วแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2505 พฤติการณ์ดังนี้เป็นการแสดงให้เห็นว่าสัญญาเช่าฉบับนี้เกิดจากพระพุทธิวงศาจารย์และ จ.สมยอมกับโจทก์ทำขึ้นโดยไม่สุจริต เพราะโจทก์เองก็รู้แล้วว่าเป็นทางให้วัดจำเลยผู้เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทและตลาดได้รับความเสียหาย สัญญาเช่าฉบับลงวันที่ 1 พฤษภาคม 2505 ระหว่างโจทก์กับพระพุทธิวงศาจารย์จึงไม่ผูกพันวัดจำเลย โจทก์ไม่มีอำนาจนำสัญญาเช่าซึ่งเกิดจากการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตของโจทก์มาฟ้องขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติตามสัญญาหรือบังคับให้จดทะเบียนสัญญาเช่าตามฟ้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1006/2512
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าที่ดินธรณีสงฆ์ที่เป็นโมฆะ เนื่องจากการสมยอมกันโดยไม่สุจริต และการไม่มีนิติสัมพันธ์กับวัด
เดิมกรมการศาสนาเป็นผู้ดูแลและจัดการผลประโยชน์ที่ดินธรณีสงฆ์ของวัดจำเลย. เมื่อกรมการศาสนาฟ้อง ส.และว.ขอเลิกการเช่า. ได้มีผู้อื่นยื่นคำเสนอขอเช่าที่ดินแปลงนี้หลายราย. แต่กรมการศาสนามิได้พิจารณาให้ผู้ใดเช่า.กรมการศาสนาได้บอกปัดข้อเสนอของโจทก์และผู้แทนชาวตลาด.ไม่ยอมทำสัญญาเช่าให้โจทก์กับพวกตามความเห็นของพระพุทธิวงศาจารย์ผู้รักษาการเจ้าอาวาส.ซึ่งพระพุทธิวงศาจารย์ก็มิได้มีปฏิกิริยาคัดค้านอำนาจของกรมการศาสนาแต่ประการใด. คงรับรองอำนาจของกรมการศาสนาว่ามีอำนาจเด็ดขาดที่จะให้เช่าหรือไม่ให้เช่าที่พิพาท. จึงถือไม่ได้ว่ากรมการศาสนาร่วมกับพระพุทธิวงศาจารย์ได้ตกลงให้โจทก์กับพวกเช่าที่ดินพิพาท. เมื่อกรมการศาสนาผู้มีอำนาจจัดการให้เช่าที่ดินพิพาทไม่ยอมทำสัญญาเช่าให้โจทก์.ข้อเสนอเช่าของโจทก์ย่อมตกไป. โจทก์และวัดจำเลยไม่มีนิติสัมพันธ์อย่างใดต่อกัน. แม้สัญญาเช่าฉบับนี้จะได้ทำกันภายหลังที่พระพุทธิวงศาจารย์ถอนอำนาจจัดการผลประโยชน์จากกรมการศาสนามาจัดการเองในฐานะผู้รักษาการเจ้าอาวาสและมีอำนาจที่จะทำสัญญาให้เช่าที่พิพาทได้ก็ดี.
จ.มีผลประโยชน์ร่วมกับพวกโจทก์หากได้เช่าตลาดพิพาทเป็นเวลานานปี. แต่พระพุทธิวงศาจารย์ กลับตั้งให้จ.เป็นไวยาวัจกรของวัด. มอบอำนาจให้จ.ทำสัญญาเช่าฉบับพิพาทกับโจทก์เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2505 และเก็บค่าเช่าในนามของวัดจำเลย. จนกระทั่งพระพุทธิวงศาจารย์พ้นจากตำแหน่งรักษาการเจ้าอาวาสเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2507 และไม่ยอมมอบงานให้แก่พระครูวินัยธรนวนเจ้าอาวาสองค์ใหม่. ต่อมาวันที่ 2 สิงหาคม 2507 พระพุทธิวงศาจารย์จึงได้มอบงานในหน้าที่ให้พระครูวินัยธรนวน. จึงได้ปรากฏสัญญาเช่าฉบับพิพาทขึ้นว่า พระพุทธิวงศาจารย์ได้มอบอำนาจให้ จ. ทำสัญญาเช่ากับโจทก์แล้วแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2505.พฤติการณ์ดังนี้เป็นการแสดงให้เห็นว่าสัญญาเช่าฉบับนี้เกิดจากพระพุทธิวงศาจารย์และ จ.สมยอมกับโจทก์ทำขึ้นโดยไม่สุจริต. เพราะโจทก์เองก็รู้แล้วว่าเป็นทางให้วัดจำเลยผู้เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทและตลาดได้รับความเสียหาย. สัญญาเช่าฉบับลงวันที่ 1 พฤษภาคม 2505 ระหว่างโจทก์กับพระพุทธิวงศาจารย์จึงไม่ผูกพันวัดจำเลย. โจทก์ไม่มีอำนาจนำสัญญาเช่าซึ่งเกิดจากการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตของโจทก์มาฟ้องขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติตามสัญญาหรือบังคับให้จดทะเบียนสัญญาเช่าตามฟ้องได้.
จ.มีผลประโยชน์ร่วมกับพวกโจทก์หากได้เช่าตลาดพิพาทเป็นเวลานานปี. แต่พระพุทธิวงศาจารย์ กลับตั้งให้จ.เป็นไวยาวัจกรของวัด. มอบอำนาจให้จ.ทำสัญญาเช่าฉบับพิพาทกับโจทก์เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2505 และเก็บค่าเช่าในนามของวัดจำเลย. จนกระทั่งพระพุทธิวงศาจารย์พ้นจากตำแหน่งรักษาการเจ้าอาวาสเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2507 และไม่ยอมมอบงานให้แก่พระครูวินัยธรนวนเจ้าอาวาสองค์ใหม่. ต่อมาวันที่ 2 สิงหาคม 2507 พระพุทธิวงศาจารย์จึงได้มอบงานในหน้าที่ให้พระครูวินัยธรนวน. จึงได้ปรากฏสัญญาเช่าฉบับพิพาทขึ้นว่า พระพุทธิวงศาจารย์ได้มอบอำนาจให้ จ. ทำสัญญาเช่ากับโจทก์แล้วแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2505.พฤติการณ์ดังนี้เป็นการแสดงให้เห็นว่าสัญญาเช่าฉบับนี้เกิดจากพระพุทธิวงศาจารย์และ จ.สมยอมกับโจทก์ทำขึ้นโดยไม่สุจริต. เพราะโจทก์เองก็รู้แล้วว่าเป็นทางให้วัดจำเลยผู้เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทและตลาดได้รับความเสียหาย. สัญญาเช่าฉบับลงวันที่ 1 พฤษภาคม 2505 ระหว่างโจทก์กับพระพุทธิวงศาจารย์จึงไม่ผูกพันวัดจำเลย. โจทก์ไม่มีอำนาจนำสัญญาเช่าซึ่งเกิดจากการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตของโจทก์มาฟ้องขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติตามสัญญาหรือบังคับให้จดทะเบียนสัญญาเช่าตามฟ้องได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 550/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินวัด: ศาลวินิจฉัยนอกฟ้องไม่ได้ และที่ดินป่าช้าเป็นธรณีสงฆ์
ฟ้องโจทก์บรรยายว่าวัดโจทก์มีที่ดินแปลงหนึ่งใช้เป็นป่าช้าสำหรับเผาและฝังศพราษฎร เท่ากับโจทก์ฟ้องว่าที่พิพาทเป็นของวัดการที่ศาลไปฟังว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น
ที่ดินอันเป็นส่วนหนึ่งของป่าช้าซึ่งเป็นของวัด แม้จะตั้งอยู่ห่างจากตัววัด ก็จัดเข้าอยู่ในประเภทที่ธรณีสงฆ์ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 33(2)
ที่ดินอันเป็นส่วนหนึ่งของป่าช้าซึ่งเป็นของวัด แม้จะตั้งอยู่ห่างจากตัววัด ก็จัดเข้าอยู่ในประเภทที่ธรณีสงฆ์ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 33(2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 721/2504 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่ธรณีสงฆ์ไม่อาจถูกอ้างกรรมสิทธิ์โดยอายุความปรปักษ์ กฎหมายห้ามโอนกรรมสิทธิ์
ที่ธรณีสงฆ์นั้น ตามกฎหมายผู้ใดจะยกอายุความครอบครองโดยอาศัยอำนาจปรปักษ์ขึ้นใช้ยันกับวัดไม่ได้
ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 15/2504
ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 15/2504
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 293/2501 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่ดินวัดเป็นที่ธรณีสงฆ์ แม้ครอบครองเกิน 10 ปี ก็ไม่ทำให้ได้กรรมสิทธิ์
เมื่อที่ดินเป็นของวัดและเป็นที่ธรณีสงฆ์ของวัดจำเลย แม้โจทก์เข้าครอบครองมาเกิน 10 ปี โจทก์ก็หาได้กรรมสิทธิ์ไม่ (อ้างฎีกาที่ 305/2497)