พบผลลัพธ์ทั้งหมด 71 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4834/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ศาลต้องพิจารณาคดีตามประเด็นที่กำหนดในชั้นชี้สองสถาน การวินิจฉัยนอกประเด็นเป็นเหตุให้ต้องกลับคำพิพากษา
ในการชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่าสามีจำเลยขายรถยนต์คันพิพาทให้แก่โจทก์ และได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์คันดังกล่าวจากโจทก์แล้วผิดสัญญาหรือไม่ และโจทก์เสียหายเพียงใด เมื่อได้กำหนดประเด็นไว้ดังกล่าวแล้วศาลจึงต้องพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีไปตามประเด็นข้อพิพาทที่กำหนดไว้ในกระบวนพิจารณาชั้นชี้สองสถาน และต้องไม่พิจารณาชี้ขาดตัดสินนอกฟ้องนอกประเด็นเมื่อศาลชั้นต้นฟังว่าไม่น่าเชื่อว่าจะมีการซื้อขายและเช่าซื้อรถคันพิพาทและชำระราคากันจริงแล้ว ผลก็เท่ากับว่าไม่เชื่อพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมา ต้องพิพากษายกฟ้องทั้งจำเลยก็มิได้ต่อสู้เลยว่าการซื้อขายและเช่าซื้อเป็นนิติกรรมอำพรางการกู้เงิน ศาลจะหยิบยกขึ้นพิจารณาว่าเป็นนิติกรรมอำพรางไม่ได้ เพราะเป็นการวินิจฉัยคดีนอกประเด็นที่กำหนดไว้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 341/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดส่วนบุคคลจากการสลักหลังเช็ค: ประเด็นนอกคำฟ้องสัญญาซื้อขาย
โจทก์ประสงค์จะติดต่อค้าขายกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 โดยให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไปจดทะเบียนตั้งบริษัท เมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 จัดตั้งบริษัทจำเลยที่ 3 ขึ้น จำเลยที่ 2 ก็ได้ออกเช็คพิพาทชำระหนี้ให้โจทก์โดยประทับตราจำเลยที่ 3 แม้ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาท จำเลยที่ 1 และที่ 2ซึ่งเป็นกรรมการของจำเลยที่ 3 ก็ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นการส่วนตัว
ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อสลักหลังเช็คพิพาทจึงต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นส่วนตัวนั้น คดีนี้โจทก์ตั้งรูปเรื่องในฟ้องว่า จำเลยทั้งสามรับสินค้าของโจทก์ไปจำหน่ายโดยจำเลยทั้งสามจะต้องชำระค่าสินค้าตามราคาและเวลาที่ตกลงกันไว้ ส่วนการจำหน่ายสินค้าจำเลยทั้งสามจะจำหน่ายในราคาเท่าใดก็ได้ เป็นเรื่องของจำเลยทั้งสาม โจทก์มิได้เกี่ยวข้องด้วย รูปเรื่องตามฟ้องโจทก์ดังกล่าวมีลักษณะเป็นเรื่องของสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด ส่วนที่ฟ้องโจทก์บรรยายถึงเช็คพิพาทมาด้วยก็เพื่อแสดงให้เห็นพฤติการณ์ที่จำเลยทั้งสามนำเช็คพิพาทมาชำระหนี้ค่าสินค้าแล้วโจทก์ยังไม่ได้รับเงินเท่านั้น ไม่มีผลทำให้ฟ้องโจทก์เป็นเรื่องตั๋วเงินไปด้วย แม้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่โจทก์นำสืบว่า เช็คมีจำเลยที่ 1 ลงชื่อสลักหลังก็ไม่ปรากฏลายมือชื่อจำเลยที่ 1 ตามที่พยานโจทก์อ้าง โจทก์ก็อุทธรณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้เพียงว่าเป็นการวินิจฉัยที่ฝ่าฝืนต่อพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบ ทั้ง ๆ ที่โจทก์ได้ชี้ตำแหน่งที่จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อด้านหลังเช็คให้ศาลทราบแล้ว จำเลยไม่สืบพยาน จึงต้องฟังตามที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นผู้ค้ากับโจทก์ส่วนจำเลยที่ 3 เป็นเพียงเครื่องมือที่เชิดออกมาให้เป็นผู้เสียภาษี กำไรที่ได้เป็นของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ได้ตรวจดูเช็คทั้ง 7 ฉบับแล้ว ไม่ปรากฏว่ามีชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้สลักหลัง ดังนั้น ที่โจทก์ฎีกาในทำนองขอให้จำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์เป็นส่วนตัวในฐานะผู้สลักหลังเช็คพิพาทนั้นจึงเป็นเรื่องนอกประเด็นตามคำฟ้อง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อสลักหลังเช็คพิพาทจึงต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นส่วนตัวนั้น คดีนี้โจทก์ตั้งรูปเรื่องในฟ้องว่า จำเลยทั้งสามรับสินค้าของโจทก์ไปจำหน่ายโดยจำเลยทั้งสามจะต้องชำระค่าสินค้าตามราคาและเวลาที่ตกลงกันไว้ ส่วนการจำหน่ายสินค้าจำเลยทั้งสามจะจำหน่ายในราคาเท่าใดก็ได้ เป็นเรื่องของจำเลยทั้งสาม โจทก์มิได้เกี่ยวข้องด้วย รูปเรื่องตามฟ้องโจทก์ดังกล่าวมีลักษณะเป็นเรื่องของสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด ส่วนที่ฟ้องโจทก์บรรยายถึงเช็คพิพาทมาด้วยก็เพื่อแสดงให้เห็นพฤติการณ์ที่จำเลยทั้งสามนำเช็คพิพาทมาชำระหนี้ค่าสินค้าแล้วโจทก์ยังไม่ได้รับเงินเท่านั้น ไม่มีผลทำให้ฟ้องโจทก์เป็นเรื่องตั๋วเงินไปด้วย แม้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่โจทก์นำสืบว่า เช็คมีจำเลยที่ 1 ลงชื่อสลักหลังก็ไม่ปรากฏลายมือชื่อจำเลยที่ 1 ตามที่พยานโจทก์อ้าง โจทก์ก็อุทธรณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้เพียงว่าเป็นการวินิจฉัยที่ฝ่าฝืนต่อพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบ ทั้ง ๆ ที่โจทก์ได้ชี้ตำแหน่งที่จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อด้านหลังเช็คให้ศาลทราบแล้ว จำเลยไม่สืบพยาน จึงต้องฟังตามที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นผู้ค้ากับโจทก์ส่วนจำเลยที่ 3 เป็นเพียงเครื่องมือที่เชิดออกมาให้เป็นผู้เสียภาษี กำไรที่ได้เป็นของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ได้ตรวจดูเช็คทั้ง 7 ฉบับแล้ว ไม่ปรากฏว่ามีชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้สลักหลัง ดังนั้น ที่โจทก์ฎีกาในทำนองขอให้จำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์เป็นส่วนตัวในฐานะผู้สลักหลังเช็คพิพาทนั้นจึงเป็นเรื่องนอกประเด็นตามคำฟ้อง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6066/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยกเหตุแก้ต่างนอกคำให้การในคดีค้ำประกัน ศาลจำกัดเฉพาะข้อต่อสู้ที่ยกขึ้นในชั้นต้น
โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดในฐานะเป็นผู้ค้ำประกันบริษัทซ.ลูกหนี้ชั้นต้นของโจทก์ตามสัญญาค้ำประกันที่จำเลยทำไว้ให้แก่โจทก์โดยบรรยายถึงจำนวนหนี้พร้อมทั้งหลักฐานการเป็นหนี้ส่งไปยังจำเลยจำเลยรับแจ้งการเป็นหนี้ของลูกหนี้ที่จำเลยค้ำประกันไว้แต่ปฏิเสธที่จะชำระหนี้ส่วนหนึ่งขอให้พิพากษาให้จำเลยชำระหนี้โจทก์ในจำนวนหนี้ที่แจ้งไปตามสัญญาค้ำประกันจำเลยให้การยอมรับว่าได้ทำสัญญาค้ำประกันตามที่โจทก์อ้างจริงแต่ไม่ต้องรับผิดในหนี้บางจำนวนกล่าวคือใบส่งของบางฉบับไม่ระบุวันที่รับสินค้าใบส่งของบางฉบับไม่ระบุหลักฐานการลงนามรับสินค้าและวันที่รับสินค้าและหนี้บางรายการไม่ปรากฏใบส่งของจำเลยจึงแจ้งให้โจทก์ทราบว่าจะชำระหนี้เฉพาะที่มีหลักฐานถูกต้องครบถ้วนเท่านั้นจะเห็นได้ว่าคำให้การได้ยกเหตุแห่งการปฏิเสธหนี้ขึ้นเป็นข้อต่อสู้ชัดแจ้งตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา177วรรคสองแล้วแม้ศาลชั้นต้นจะได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทในข้อที่2ว่าจำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาค้ำประกันหรือไม่เพียงใดแต่การวินิจฉัยคดีในประเด็นดังกล่าวก็จำกัดอยู่แต่ในข้อต่อสู้ของจำเลยเท่านั้นหากนำเหตุอื่นมาวินิจฉัยคดีก็จะเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นซึ่งไม่อาจกระทำได้ดังนั้นอุทธรณ์ของจำเลยที่อ้างเหตุว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันเพราะมีสินค้าบางส่วนที่โจทก์ได้รับคืนไปแล้วและบางส่วนโจทก์ได้รับชดใช้ราคาไปแล้วก็ดีกับข้อเท็จจริงที่จำเลยนำสืบฟังได้ว่าโจทก์ได้ปลดหนี้ให้แก่ลูกหนี้ชั้นต้นแล้วทำให้หนี้สินระงับไปจำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดก็ดีล้วนแต่เป็นข้อทีมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้นศาลอุทธรณ์จึงรับวินิจฉัยให้ไม่ได้ กฎหมายวิธีพิจารณาความบัญญัติขึ้นเพื่อให้การดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลเป็นไปโดยเรียบร้อยและเป็นธรรมแก่คู่กรณีทุกฝ่ายมิให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเอาเปรียบในเชิงคดีข้อที่จำเลยอ้างมาในฎีกาว่าขณะที่จำเลยยื่นคำให้การจำเลยพิจารณาเฉพาะพยานหลักฐานที่โจทก์ส่งไปให้จำเลยเพิ่งจะทราบข้อเท็จจริงที่เป็นเหตุให้จำเลยไม่ต้องรับผิดเพราะเมื่อมีการคืนสินค้าบางส่วนชำระราคาและปลดหนี้ให้แล้วโจทก์ก็ไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากจำเลยอีกและพฤติการณ์ไม่เปิดช่องให้จำเลยยกเหตุไม่ต้องรับผิดดังกล่าวขึ้นกล่าวในคำให้การเพราะจำเลยเพิ่งทราบภายหลังนั้นไม่ถูกต้องเพราะกฎหมายได้ให้โอกาสที่จำเลยจะสืบหาข้อเท็จจริงเพื่อเป็นแนวทางต่อสู้คดีก่อนที่จำเลยจะยื่นคำให้การแล้วทั้งปัญหาว่าลูกหนี้ชั้นต้นเป็นหนี้โจทก์หรือไม่เพียงใดก็มิใช่ปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนเมื่อจำเลยไม่ได้ยกข้ออ้างเหตุนี้ปฏิเสธหนี้ในคำให้การจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้นและมิใช่กรณีที่มีพฤติการณ์ไม่เปิดช่องให้กระทำได้หรือเพราะเหตุเป็นเรื่องที่ไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติว่าด้วยกระบวนพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา225วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5397/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่อนุญาตยื่นบัญชีระบุพยาน เนื่องจากเหตุผลไม่สมควรและนอกประเด็นข้อพิพาท ศาลชั้นต้นชอบแล้ว
การที่ทนายจำเลยอ้างว่า จำเลยมิได้ยื่นบัญชีระบุพยานตามกำหนดเวลาตามกฎหมายนั้น เพราะทนายจำเลยหลงลืม นับว่าไม่มีเหตุผลอันสมควรที่จะอนุญาตให้จำเลยยื่นบัญชีระบุพยานได้ตามขอ และคดีนี้ จำเลยให้การต่อสู้โดยให้เหตุผลประการหนึ่งว่า ฮ.ไปดำเนินการจดทะเบียนการให้ที่ดินพิพาทไม่ตรงตามที่ ช.บอกไว้ แต่ตามคำร้องขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยานของจำเลยจำเลยอ้างว่า เพื่อจะนำพยานเข้าสืบในประเด็นข้อสำคัญว่า ช.มอบอำนาจให้ ฮ.ไปโอนที่ดินแทนหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องนอกประเด็นที่จำเลยให้การไว้ กรณีจึงไม่มีเหตุผลเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมและจำเป็นที่ศาลจะอนุญาตให้จำเลยยื่นบัญชีระบุพยานตามคำร้องของจำเลยได้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นบัญชีระบุพยานจึงไม่เป็นการขัดต่อกฎหมาย หรือความสงบเรียบร้อยของประชาชนแต่ประการใด และเมื่อจำเลยมิได้ยื่นบัญชีระบุพยานตามกฎหมายแล้ว จำเลยก็ไม่มีสิทธิจะนำพยานเข้าสืบ การที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานจำเลยจึงชอบแล้ว
ตามคำฟ้องอุทธรณ์และคำขอท้ายอุทธรณ์ของจำเลยนั้นจำเลยมิได้ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชนะคดี เพียงแต่ขอให้จำเลยนำพยานหลักฐานเข้าสืบเท่านั้น แม้จำเลยจะใช้ถ้อยคำในคำขอว่า พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ก็เป็นการใช้คำที่ไม่ถูกต้องเท่านั้น ไม่ทำให้อุทธรณ์ของจำเลยเป็นคดีมีทุนทรัพย์
ตามคำฟ้องอุทธรณ์และคำขอท้ายอุทธรณ์ของจำเลยนั้นจำเลยมิได้ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชนะคดี เพียงแต่ขอให้จำเลยนำพยานหลักฐานเข้าสืบเท่านั้น แม้จำเลยจะใช้ถ้อยคำในคำขอว่า พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ก็เป็นการใช้คำที่ไม่ถูกต้องเท่านั้น ไม่ทำให้อุทธรณ์ของจำเลยเป็นคดีมีทุนทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5064/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการวินิจฉัยประเด็นนอกประเด็นชี้สองสถาน หากเกิดจากการต่อสู้ของคู่ความ
แม้ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทในชั้นชี้สองสถานไว้เพียงข้อเดียวว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินแปลงเดียวกันกับที่ดินแปลงที่โจทก์ซื้อมาจาก ส. หรือไม่ก็ตาม แต่ประเด็นข้อนี้ย่อมครอบคลุมไปถึงปัญหาว่า โจทก์หรือจำเลยใครมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทดีกว่ากัน ซึ่งเกิดจากคำฟ้องและคำให้การต่อสู้ของจำเลยทั้งสองศาลมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ไม่เป็นนอกฟ้องนอกประเด็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2601-2602/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยประเด็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินนอกประเด็นฟ้อง และข้อจำกัดในการฎีกา
ปัญหาว่าที่พิพาทเป็น สาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่เป็น ข้อเท็จจริงที่ต้องพิสูจน์ในทางพิจารณาและไม่ใช่ข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนเมื่อฟ้องโจทก์มิได้อ้างว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 380/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์ฎีกาต้องอยู่กรอบประเด็นที่อุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยนอกประเด็นที่มิได้ยกขึ้นสู่การต่อสู้ในศาลล่าง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยได้ขายฝากที่ดินพร้อมบ้านไว้แก่โจทก์และไม่ได้ทำการไถ่ถอนการขายฝากปล่อยจนครบกำหนดการไถ่ถอน กรรมสิทธิ์จึงตกเป็นของโจทก์โดยเด็ดขาดจำเลยอุทธรณ์เพียงว่าสัญญาขายฝากเป็นนิติกรรมอำพรางสัญญาจำนองและสัญญาขายฝากเป็นโมฆะ ไม่ได้อุทธรณ์ว่าสัญญาขายฝากยังไม่ครบกำหนดการไถ่ถอน ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาโดยวินิจฉัยว่าสัญญาขายฝากยังไม่ครบกำหนดการไถ่ถอน และจำเลยมีสิทธิที่จะไถ่ถอนการขายฝากได้ จึงเป็นการพิพากษานอกฟ้องนอกประเด็นที่อุทธรณ์ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142 ประกอบด้วยมาตรา 246 และการที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่าจำเลยไม่ได้ขายฝากบ้านส่วนของตนและยังคงมีกรรมสิทธิ์ในบ้านก็เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็นที่อุทธรณ์ไม่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าวเช่นกัน โจทก์ซึ่งยื่นคำฟ้องต่อศาลไม่ว่าศาลชั้นใดจะเสียค่าขึ้นศาลถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่เป็นเรื่องของโจทก์และศาลเท่านั้นถ้าโจทก์เสียค่าขึ้นศาลไม่ครบศาลสั่งให้เสียให้ครบได้ ถ้าศาลไม่สั่งให้เสียเพิ่มให้ครบและไม่มีคำสั่งประการอื่นใด คำฟ้องของโจทก์ก็ไม่เสียไป จำเลยไม่มีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาในเรื่องนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3026/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยคดีนอกประเด็นข้อพิพาท และผลกระทบต่อการพิพากษา
ข้อพิพาทตามคำฟ้องของโจทก์ คำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยและคำให้การของโจทก์แก้ฟ้องแย้งของจำเลยมีเพียงว่า สัญญาซื้อขายเครื่องถ่ายเอกสารระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นการซื้อขายตามคำพรรณนาหรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าสัญญาซื้อขายเครื่องถ่ายเอกสารระหว่างโจทก์กับจำเลยไม่เป็นการซื้อขายตามคำพรรณนาเป็นการซื้อขายธรรมดาแล้ววินิจฉัยต่อไปอีกว่า แต่เป็นการซื้อขายมีเงื่อนไขตาม ป.พ.พ. มาตรา 459 เมื่อจำเลยที่ 1 ยังไม่ได้ชำระราคาให้โจทก์อีก 49,000 บาท การชำระราคายังไม่เสร็จเรียบร้อย กรรมสิทธิ์ในเครื่องถ่ายเอกสารยังไม่โอนไปยังจำเลยที่ 1 ผู้ซื้อ และเครื่องถ่ายเอกสารที่โจทก์ขายให้แก่จำเลยที่ 1 ไม่สามารถถ่ายเอกสารได้ถึง 3,500 แผ่น ต่อผงหมึก 1 หลอดตามคำโฆษณาของโจทก์ จำเลยที่ 1 ย่อมมีสิทธิที่จะบอกเลิกสัญญาแก่โจทก์ เป็นการวินิจฉัยคดีที่ขัดแย้งกันเอง และศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเช่นเดียวกับศาลชั้นต้นว่าการซื้อขายเครื่องถ่ายเอกสารระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นการซื้อขายที่มีเงื่อนไขตามป.พ.พ มาตรา 459 แล้วพิพากษายืน จึงเป็นการวินิจฉัยคดีนอกประเด็นข้อพิพาทไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 142
การวินิจฉัยคดีนอกประเด็นข้อพิพาทเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้โจทก์มิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยตามตาม ป.วิ.พ.มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 243 (1), 247 และเห็นสมควรย้อนสำนวนไปยังศาลชั้นต้น เพื่อให้พิพากษาใหม่ให้ตรงตามประเด็นข้อพิพาท
การวินิจฉัยคดีนอกประเด็นข้อพิพาทเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้โจทก์มิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยตามตาม ป.วิ.พ.มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 243 (1), 247 และเห็นสมควรย้อนสำนวนไปยังศาลชั้นต้น เพื่อให้พิพากษาใหม่ให้ตรงตามประเด็นข้อพิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2808/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งประเด็นไปสืบพยานนอกประเด็นข้อพิพาท ศาลชอบที่จะไม่อนุญาต
ตามคำให้การของจำเลยและตามประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดในการชี้สองสถาน ไม่มีประเด็นข้อที่ว่าจำเลยได้ชำระหนี้ตามฟ้องให้โจทก์เสร็จสิ้นแล้วหรือไม่ เมื่อคดีไม่มีประเด็นข้อพิพาทกันดังกล่าว แต่จำเลยขอส่งประเด็นไปสืบพยานจำเลยทั้งสองปากในประเด็นนั้น ดังนี้ จึงเป็นการขอส่งประเด็นไปสืบพยานจำเลยที่ไม่เกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทในคดี ที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยส่งประเด็นและงดสืบพยานจำเลยจึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2808/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่อนุญาตให้สืบพยานนอกประเด็นข้อพิพาท ศาลชอบแล้ว
คำให้การของจำเลยและประเด็นข้อพิพาทไม่มีประเด็นว่าจำเลยได้ชำระหนี้ตามฟ้องให้โจทก์เสร็จสิ้นแล้วหรือไม่ แต่จำเลยขอส่งประเด็นไปสืบพยานจำเลยทั้งสองปากในประเด็นว่าธนาคารโจทก์ สาขาพิจิตร ได้หักเงินจากบัญชีของจำเลยทุกเดือนชำระหนี้ให้โจทก์ตามฟ้องเสร็จสิ้นแล้ว จึงเป็นการขอส่งประเด็นไปสืบพยานจำเลยที่ไม่เกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทในคดีจึงชอบที่ศาลชั้นต้นจะไม่อนุญาตให้จำเลยส่งประเด็นและงดสืบพยานจำเลย