คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ปฏิบัติตามสัญญา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 86 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3777/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความ: การปฏิบัติตามสัญญาต่างตอบแทนและการบังคับคดี
สัญญาประนีประนอมยอมความมีข้อความว่า จำเลยยอมรื้อถอนและขนย้ายสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินของโจทก์ภายในวันที่ 30 เมษายน 2534 และโจทก์จะต้องจ่ายเงิน 40,000 บาท ภายในกำหนดวันดังกล่าว โจทก์จำเลยจึงต่างมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ลูกหนี้ซึ่งกันและกัน มีลักษณะเป็นสัญญาต่างตอบแทนอันมีกำหนดเวลาที่แน่นอน ปรากฏว่าในวันที่ 28 เมษายน 2538 จำเลยพร้อมที่จะรื้อถอนออกจากที่ดินของโจทก์ให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดวันนัด หากได้เงินโจทก์นำมามอบให้เป็นค่าใช้จ่าย แต่ในวันนัดโจทก์ไม่ได้แสดงเจตนาที่จะจ่ายเงินจำนวนนี้ให้แก่จำเลยแต่อย่างไร แสดงว่าโจทก์มิได้ปฏิบัติตามสัญญา กรณีเช่นนี้จะถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ได้ ดังนี้โจทก์จึงยังบังคับคดีไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4859/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผิดสัญญาซื้อขายที่ดิน: จำเลยต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขก่อนเรียกร้องค่าที่ดิน
โจทก์กล่าวอ้างว่าในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2534 จำเลยไม่โอนที่ดินให้แก่โจทก์ ยังไม่ได้จัดการทำถนน ท่อระบายน้ำ ไฟฟ้า และยังไม่ได้แบ่งแยกที่ดิน จึงถือว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญา จำเลยให้การสู้คดีว่าได้มีหนังสือบอกกล่าวให้โจทก์ทั้งสองไปรับโอนที่ดินในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2534 แต่คำให้การของจำเลยไม่ได้ปฏิเสธในเรื่องที่โจทก์อ้างว่า จำเลยยังไม่ได้จัดการทำถนน ท่อระบายน้ำและติดตั้งเสาไฟฟ้า จึงต้องถือว่าจำเลยยังไม่ได้ดำเนินการในเรื่องดังกล่าวจริงและข้อเท็จจริงปรากฏว่า ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2534 จำเลยยังไม่ได้แบ่งแยกที่ดินในส่วนที่จะจดทะเบียนโอนให้แก่โจทก์แล้วเสร็จ ทั้งตามหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและหนังสือรับเงินค่าที่ดินมีข้อความระบุไว้ชัดเจนว่า จำเลยจะต้องแบ่งแยกที่ดินออกจากโฉนดที่ดินเดิม สร้างถนนเข้าที่ดินกว้าง 5 เมตร ทำท่อระบายน้ำ และตั้งเสาไฟฟ้าให้เรียบร้อย เมื่อจำเลยยังไม่ได้จัดการแบ่งแยกที่ดิน ทำถนนเข้าที่ดินทำท่อระบายน้ำ และตั้งเสาไฟฟ้า จำเลยย่อมไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องให้โจทก์ชำระค่าที่ดินที่ยังค้างชำระและจดทะเบียนรับโอนที่ดินที่จะซื้อขายกัน การที่โจทก์ไม่ได้ชำระค่าที่ดินให้แก่จำเลยและไม่ได้จดทะเบียนโอนที่ดินกันในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2534ย่อมถือไม่ได้ว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา แม้โจทก์ไปที่สำนักงานที่ดินก็ไม่อาจจะจดทะเบียนโอนที่ดินกันได้ และการที่จำเลยยังไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญา ทั้งเมื่อจำเลยแบ่งแยกที่ดินแล้วจดทะเบียนโอนให้แก่ผู้อื่นเช่นนี้ จำเลยย่อมเป็นฝ่ายผิดสัญญา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ถอนชื่อ ส.ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและมิได้เป็นคู่ความในคดีออกจากโฉนดที่ดินที่พิพาทและศาลอุทธรณ์พิพากษายืน เป็นการไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 145 วรรคสอง ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไข

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4339/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความกับการเช่าช่วงที่ดิน: การบังคับคดีและการปฏิบัติตามสัญญา
แม้สัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมจะมิได้ระบุโดยแจ้งชัดว่าห้ามจำเลยนำที่ดินพิพาทไปให้ผู้อื่นเช่าช่วงก็ตามแต่ก็ระบุว่าโจทก์ยอมให้จำเลยในฐานะผู้เช่าเดิมใช้ที่ดินพิพาทต่อไปได้อีกจนถึงวันที่1มีนาคม2539ซึ่งหมายความว่าให้จำเลยเป็นผู้ใช้และจะส่งมอบที่ดินพิพาทคืนโจทก์ในวันที่2มีนาคม2539แต่จำเลยมิได้ใช้ที่ดินพิพาทตามสัญญาประนีประนอมยอมความอีกต่อไปกลับนำไปให้ผู้อื่นเช่าช่วงใช้ที่ดินพิพาทแทนจำเลยเป็นการประกอบกรรมอันเป็นเหตุให้โจทก์ต้องรับภาระเพิ่มขึ้นจากสัญญาประนีประนอมยอมความเมื่อจำเลยกระทำการดังกล่าวหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมจึงเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่จะต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอมโจทก์ชอบที่จะขอให้บังคับจำเลยออกจากที่ดินพิพาทนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา271

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3541/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจองพื้นที่ไม่ใช่สัญญาเช่า ผู้ขายสิทธิไม่ผิดสัญญา จำเลยต้องปฏิบัติตามสัญญา
เมื่อชื่อสัญญาระบุว่าเป็นสัญญาจองพื้นที่ในอาคารเนื้อหาในสัญญาก็ระบุชัดแจ้งว่าโจทก์ทั้งสี่ต้องปฏิบัติตามสัญญาดังกล่าวให้ครบถ้วนแล้วจำเลยจึงจะไปจดทะเบียนให้เช่าพื้นที่ที่จองอีกทั้งขณะทำสัญญาจำเลยก็ไม่ได้ส่งมอบพื้นที่ในอาคารให้แก่โจทก์ทั้งสี่ได้ใช้หรือได้รับประโยชน์ในลักษณะเช่าทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา537และ546สัญญาจองพื้นที่ในอาคารจึงไม่เป็นสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์แต่เป็นเอกเทศสัญญาประเภทหนึ่งซึ่งบังคับกันได้ตามสัญญา สัญญาไม่ได้ระบุห้ามโจทก์ทั้งสี่โอนสิทธิการจองให้ผู้อื่นเมื่อโจทก์ทั้งสี่แจ้งให้จำเลยทราบว่าได้ขายสิทธิการจองให้ผู้อื่นจะถือว่าโจทก์ทั้งสี่ผิดสัญญาไม่ได้จำเลยจึงอาศัยเหตุนี้บอกเลิกสัญญาไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 830/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เหตุสุดวิสัยในการปฏิบัติตามสัญญาซื้อขาย: คำสั่งไม่อนุญาตก่อสร้างยังไม่ถึงเหตุสุดวิสัย
โจทก์ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและอาคารพิพาทจากจำเลยหลังจากทำสัญญาเจ้าพนักงานสำนักงานเขตยานนาวามีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยก่อสร้างอาคารตามสัญญาดังกล่าว จำเลยได้ยื่นคำคัดค้านและอุทธรณ์ ต่อมาแม้คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ไม่อนุญาต แต่จำเลยก็ได้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์อีก เมื่อคณะกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัยและมีคำสั่งอย่างใด กรณีจึงยังไม่เป็นเหตุสุดวิสัยที่ทำให้จำเลยไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายได้ จำเลยยังไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาแก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 830/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เหตุสุดวิสัยต้องเป็นเหตุที่ไม่มีใครอาจฟ้องได้ การไม่อนุญาตสร้างอาคารยังไม่ถึงเหตุสุดวิสัย จำเลยต้องปฏิบัติตามสัญญา
โจทก์ทำ สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและอาคารพิพาทจากจำเลยหลังจากทำสัญญาเจ้าพนักงานสำนักงานเขต ยานนาวามีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยก่อสร้างอาคารตามสัญญาดังกล่าวจำเลยได้ยื่นคำคัดค้านและอุทธรณ์ต่อมาแม้คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ไม่อนุญาตแต่จำเลยก็ได้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์อีกเมื่อ คณะกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัยและมีคำสั่งอย่างใดกรณีจึงยังไม่เป็นเหตุสุดวิสัยที่ทำให้จำเลยไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายได้จำเลยยังไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาแก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6150/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัมปทานทำไม้: ภาระปลูกป่าทดแทนยังคงมีผลแม้สิ้นสุดสัญญา ผู้รับสัมปทานต้องปฏิบัติตาม
เงื่อนไขในสัมปทานทำไม้หวงห้ามกำหนดให้โจทก์ผู้รับสัมปทานต้องปลูกป่าและบำรุงป่าที่ได้รับสัมปทานทำไม้ด้วยค่าใช้จ่ายของโจทก์โดยโจทก์จะต้องนำเงินค่าใช้จ่ายในการปลูกป่าและบำรุงป่าในอัตราที่ทางราชการกำหนดไปฝากไว้ที่ธนาคารแล้วนำสมุดฝากเงินไปมอบให้ป่าไม้จังหวัดจำเลยที่4ยึดถือไว้ส่วนการขอรับสมุดฝากเงินทุกครั้งโจทก์ต้องเสนอแผนการปฏิบัติงานปลูกป่าให้ป่าไม้เขตจำเลยที่3ทราบเมื่อได้รับความเห็นชอบจากจำเลยที่3แล้วจึงจะมีสิทธิขอรับสมุดเงินฝากไปเบิกเงินจากธนาคารเพื่อนำไปใช้จ่ายในการปลูกป่าทดแทนตามแผนงานที่เสนอไว้และภายหลังจากเบิกเงินแล้วโจทก์ยังต้องนำสมุดฝากเงินไปมอบให้จำเลยที่4เก็บรักษาไว้ตามเดิมอีกการฝากเงินของโจทก์จึงเป็นการฝากเพื่อนำไปใช้จ่ายปลูกป่าและบำรุงป่าทดแทนป่าที่โจทก์ได้ทำไม้ไปแล้วและโจทก์จะถอนเงินไปได้เฉพาะเพื่อเอาไปปลูกป่าและบำรุงป่าตามที่จำเลยที่3เห็นชอบเท่านั้นตราบใดที่โจทก์ยังมีภาระหน้าที่จะต้องปลูกป่าและบำรุงป่าทดแทนให้กรมป่าไม้จำเลยที่3จำเลยที่4ย่อมมีสิทธิที่จะรักษาสมุดฝากเงินของโจทก์ไว้ตามเงื่อนไขดังกล่าวแม้ในระหว่างอายุสัมปทานทำไม้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการเกษตรและสหกรณ์ได้มีคำสั่งให้สัมปทานการทำไม้หวงห้ามทุกชนิดสิ้นสุดลงก็มีผลเพียงทำให้สิทธิที่โจทก์จะทำไม้ต่อไปภายในอายุสัมปทานสิ้นสุดลงเท่านั้นแต่โจทก์ยังมีภาระหน้าที่จะต้องปลูกป่าและบำรุงป่าทดแทนในส่วนที่โจทก์ได้ทำไม้ไปแล้วก่อนเวลาสัมปทานจะสิ้นสุดลงโดยเบิกค่าใช้จ่ายเงินในส่วนที่โจทก์ฝากธนาคารไว้เมื่อโจทก์ยังไม่ได้ดำเนินการตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในสัมปทานให้ครบถ้วนจำเลยที่4จึงมีสิทธิที่จะเก็บรักษาสมุดฝากเงินของโจทก์ไว้ตามเงื่อนไขดังกล่าวจำเลยที่1ไม่ต้องคืนสมุดฝากเงินให้โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3520/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้ค่าเช่า: การปฏิบัติตามสัญญาโดยชอบ แม้ไม่ตรงตามวิธีการที่ตกลงกัน
ศาลพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความโดยคู่ความตกลงกันให้จำเลยชำระค่าเช่าโดยนำเงินค่าเช่าเข้าบัญชีเงินฝากประจำของ ว. สามีโจทก์ที่ธนาคารซึ่งเป็นวิธีการชำระหนี้เพื่อความสะดวกของโจทก์และจำเลยเมื่อจำเลยนำค่าเช่าไปขอชำระให้โจทก์ที่บ้านของโจทก์โดยตรงภายในเวลาที่กำหนดไว้ ถือว่าจำเลยได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบแล้ว โจทก์จะปฏิเสธไม่ยอมรับชำระหนี้หาได้ไม่ถือไม่ได้ว่าจำเลยตกเป็นผู้ผิดนัดโจทก์ไม่อาจขอบังคับคดีแก่จำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3519/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีตามสัญญาจะซื้อขาย: ต่างฝ่ายต่างมีหนี้และสิทธิในการเรียกร้องให้ปฏิบัติตามสัญญา
ศาลชั้นต้นพิพากษาบังคับให้จำเลยไปโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้โจทก์ตามสัญญาจะซื้อขายโดยปลอดจำนองภายใน 90 วัน นับแต่คดีถึงที่สุด โดยให้โจทก์ชำระเงินให้จำเลยจำนวน 12,800,000 บาท ในวันโอนกรรมสิทธิ์ เมื่อโจทก์จำเลยต่างไม่พร้อมที่จะโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยปลอดการจำนองและชำระเงินกันตามกำหนด 90 วัน นับแต่คดีถึงที่สุด และผลของคำพิพากษาเป็นการบังคับทั้งโจทก์และจำเลยเช่นนี้ การที่ศาลชั้นต้นเห็นว่า เมื่อฝ่ายโจทก์ไม่ชำระเงินให้จำเลย 12,800,000 บาท ภายใน 90 วัน นับแต่คดีถึงที่สุดจำเลยก็ไม่ต้องโอนที่ดินให้แก่โจทก์ตามสัญญาต่างตอบแทนแต่อย่างใด ก็เท่ากับเป็นการบังคับเอาแก่โจทก์ฝ่ายเดียว ทั้งที่จำเลยยังไม่สามารถโอนที่ดินให้แก่โจทก์โดยปลอดการจำนองได้ แม้กำหนดระยะเวลา 90 วัน ตามคำพิพากษาได้ผ่านพ้นไปแล้ว ก็มีเหตุที่โจทก์จะไม่ชำระเงินแก่จำเลยเพราะจำเลยยังไม่ไถ่ถอนจำนองที่ดินเพื่อโอนให้แก่โจทก์โดยปลอดการจำนองได้ ดังนั้นจำเลยจะยกเหตุดังกล่าวขึ้นเป็นข้ออ้างไม่ต้องโอนที่ดินแก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหาได้ไม่ เมื่อหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวเป็นกรณีที่ต่างฝ่ายต่างมีหนี้ต่อกันแล้วเช่นนั้น โจทก์จำเลยก็มีสิทธิร้องขอให้บังคับคดีต่อกันได้ต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1688/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความในวันหยุดราชการและการยอมรับวิธีการชำระหนี้
วันสุดท้ายที่จะต้องปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างนั้นตรงกับวันเสาร์และวันถัดมาเป็นวันอาทิตย์อันเป็นวันหยุดราชการตามปกติทั้งสองวันจำเลยจึงขอปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความต่อโจทก์ในวันแรกที่ทางราชการเปิดทำการได้
of 9