พบผลลัพธ์ทั้งหมด 67 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1272/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่ดินที่ถูกอุทิศให้ประชาชนใช้ประโยชน์นานกว่า 30 ปี มีสถานะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
ที่ดินของโจทก์มีทางเดินซึ่งชาวบ้านใช้สัญจรไปมานานกว่า30ปีตั้งแต่ใช้ไม้ขอนทอดเดินเปลี่ยนเป็นสะพานไม้และทำเป็นสะพานคอนกรีตโดยเจ้าของที่ดินเดิมมิได้หวงห้ามสงวนสิทธิมิใช่กรณีที่ชาวบ้านใช้ทางเดินโดย ถือวิสาสะ เนื่องจากมีการใช้ขอนไม้ทอดและทำเป็นสะพานไม้แสดงว่าเจ้าของที่ดินเดิมได้อุทิศให้เป็นประโยชน์ต่อประชาชนทั่วไปแล้วย่อมเป็นทรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1304(2) โจทก์ฟ้องว่าที่ดินที่จำเลยใช้สร้างสะพานทางเดินพิพาทเป็นของโจทก์ขอให้จำเลยรื้อถอนจำเลยให้การว่าเจ้าของที่ดินเดิมอุทิศให้เป็นทางสาธารณะประเด็นแห่งคดีจึงมีว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของโจทก์หรือเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่จำเลยฟ้องแย้งขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินที่สร้างสะพานดังกล่าวกว้าง1.5เมตรยาว37.4เมตรเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินจึงเป็นฟ้องแย้งที่เกี่ยวกับทรัพย์พิพาทเดียวกันกับฟ้องเดิมส่วนฟ้องแย้งในส่วนที่เกี่ยวกับที่ดินทั้งสองด้านของที่ดินที่ใช้สร้างทางเดินพิพาทในฟ้องเดิมเป็นที่ดินติดเป็นผืนเดียวกันกับทางเดินพิพาทเท่ากับจำเลยอ้างว่าที่ดินพิพาทกว้างยาวกว่าที่โจทก์ระบุมาในฟ้องเดิมเป็นการตั้งสิทธิว่าถูกโจทก์โต้แย้งสิทธิตามฟ้องเดิมโดยโจทก์อ้างว่าที่ดินที่จำเลยฟ้องแย้งในส่วนนี้ก็เป็นของโจทก์ฟ้องแย้งในส่วนนี้มีส่วนสัมพันธ์กับฟ้องเดิมพอที่จะพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา177วรรคสามและมาตรา179วรรคท้าย การจดทะเบียนเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นอำนาจ หน้าที่ของ เจ้าพนักงาน ไม่ปรากฏว่าบริษัทโจทก์มีหน้าที่ในทางนิติกรรมที่จะต้องดำเนินการศาลจึงไม่อาจบังคับโจทก์จดทะเบียนให้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4723/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทางสาธารณะโดยปริยาย: สิทธิการใช้สอยของประชาชน
โดยลักษณะของทางสาธารณะอาจเป็นได้ 2 กรณี คือ เจ้าของที่ดินอุทิศให้เป็นทางสาธารณะ กับการที่มีประชาชนใช้สอยเป็นเวลานานโดยไม่มีการหวงห้ามเข้าลักษณะเป็นทางสาธารณะโดยปริยาย คดีนี้ได้ความว่าจากปากซอยพานิชอนันต์เข้าไปตามถนนซอยประมาณ 175 เมตรเป็นทางสาธารณะ ถัดจากทางพิพาทเข้าไปก็เป็นทางสาธารณะอีกส่วนหนึ่ง และที่เป็นซอยแยกก็เป็นทางสาธารณะด้วย ลักษณะการใช้สอยทางพิพาทของประชาชนปรากฏว่าใช้มาเป็นเวลานานกว่า10 ปี พฤติการณ์แห่งคดีฟังได้แล้วว่า ทางพิพาทเป็นทางสาธารณะโดยปริยาย เมื่อฟังว่าเป็นทางสาธารณะแล้ว ประชาชนทั่วไปรวมทั้งจำเลยมีสิทธิใช้สอยได้ ไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายและห้ามมิให้จำเลยใช้ทางพิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2304/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่สาธารณประโยชน์เกิดขึ้นได้ตามสภาพการใช้ประโยชน์ของประชาชน ไม่ต้องมีเอกสารทางราชการรับรอง
ที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทที่เป็นทรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันนั้น เกิดขึ้นเป็นอยู่ตามสภาพของที่ดินและการใช้ร่วมกันของประชาชนโดยไม่จำต้องขึ้นทะเบียนหรือมีเอกสารของทางราชการกำหนดให้เป็นที่สาธารณประโยชน์เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอให้จำเลยซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินพิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2304/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่ดินสาธารณประโยชน์เกิดขึ้นได้ตามสภาพการใช้ประโยชน์ของประชาชน ไม่ต้องมีเอกสารทางราชการ
ที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทที่เป็นทรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันนั้นเกิดขึ้นเป็นอยู่ตามสภาพของที่ดินและการใช้ร่วมกันของประชาชนโดยไม่จำต้องขึ้นทะเบียนหรือมีเอกสารของทางราชการกำหนดให้เป็นที่สาธารณประโยชน์เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอให้จำเลยซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินพิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2298/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาลงโทษไม่ตรงกับความผิดที่โจทก์ขอ – ความสงบเรียบร้อยของประชาชน
โจทก์บรรยายฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ในเคหสถานตาม ป.อ. มาตรา 335 (8) การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานลักทรัพย์โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์หรือผ่านสิ่งเช่นว่านั้นเข้าไปด้วยประการใด ๆ อันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 335 (3) ด้วยจึงเป็นการพิพากษาถึงข้อที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 192วรรคสี่ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3283/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความสุจริตและมีเหตุผลอันสมควร ไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณาของหนังสือพิมพ์และเป็นนายกสมาคมสื่อมวลชนอุบลราชธานีได้รับหนังสือร้องเรียนจาก ส. ว่า โจทก์มีพฤติการณ์ส่อไปในทางไม่สุจริตจำเลยที่ 2 จึงให้จำเลยที่ 1 ผู้สื่อข่าวของจำเลยที่ 2 ไปตรวจสอบข้อเท็จจริง จำเลยที่ 1 รายงานว่าข้อเท็จจริงน่าจะมีมูลตามที่ร้องเรียน ดังนี้ การที่จำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 1 เขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์ของจำเลยที่ 2 กล่าวหาโจทก์ ซึ่งเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างสนามฟุตบอลของโรงเรียนด้วยข้อความว่า "สนามที่สร้างแบบสุกเอาเผากินทำเพียงไม่กี่วันก็เสร็จ" นั้น พฤติการณ์แสดงว่าที่จำเลยที่ 2 กระทำไปเพราะเชื่อโดยสุจริตว่ามีมูลความจริงตามบทความ อีกทั้งวันที่จำเลยที่ 2 ลงพิมพ์โฆษณาข้อความที่กล่าวหาโจทก์ โจทก์จึงว่ายังสร้างสนามฟุตบอลไม่เสร็จแต่ได้ส่งมอบงานต่อคณะกรรมการตรวจรับงานไปก่อนแล้วเช่นนี้ย่อมทำให้ประชาชนรวมทั้งจำเลยที่ 2 เข้าใจโดยสุจริตว่าโจทก์ทำงานไม่เรียบร้อยและผิดระเบียบของทางราชการจริง เมื่อมีเหตุให้น่าสงสัยอันสมควรจำเลยที่ 2 จึงได้ลงพิมพ์โฆษณาบทความวิพากษ์วิจารณ์เพื่อรักษาผลประโยชน์ของส่วนรวมเช่นนี้ ถือได้ว่าเป็นการติชมด้วยความเป็นธรรมอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ ไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329(3)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3049/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฉ้อโกงประชาชนและการจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาต: จำเลยมีความผิดทั้งสองฐาน
การที่จำเลยกับพวกได้หลอกลวงผู้เสียหายไปทำงานต่างประเทศโดยเรียกเงินค่าดำเนินการหรือค่าใช้จ่ายในการสมัคร และจำเลยไม่ได้รับอนุญาตให้จัดหางานให้คนหางานไปทำงานต่างประเทศดังนี้การกระทำของจำเลยย่อมเป็นการประกอบธุรกิจหางานให้แก่คนงานหรือหาลูกจ้างให้แก่นายจ้าง อันเป็นการจัดหางานตามความหมายของ พ.ร.บ. จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528มาตรา 4 แล้ว เมื่อจำเลยได้กระทำการดังกล่าวโดยรู้สำนึกในการกระทำ และขณะเดียวกันก็ประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้นจึงถือได้ว่าจำเลยมีเจตนากระทำความผิดในฐานนี้อีกกระทงหนึ่ง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1663/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฉ้อโกงประชาชน: การหลอกลวงโดยไม่จำกัดตัวผู้ถูกหลอกลวง
จำเลยมีเจตนาหลอกลวงบุคคลทั่วไปโดยไม่จำกัดตัวผู้ถูกหลอกลวงว่าเป็นผู้ใด จำเลยมีเจตนาหลอกลวงทุกคนที่ทราบเรื่องแล้วมาสมัครงานกับจำเลยและพวก โดยมิได้มีเจตนาที่จะหลอกลวงเฉพาะผู้เสียหายบางคนที่จำเลยเป็นผู้ชักชวนให้ไปทำงานที่ประเทศอังกฤษเท่านั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6018/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฉ้อโกงประชาชนโดยหลอกลวงจัดหางานต่างประเทศ แม้ไม่มีเจตนาจัดหางานจริง ก็ยังผิดฐานฉ้อโกง
การที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกับพวกชักชวนชาวบ้านให้ไปทำงานที่ประเทศมาเลเซีย โดยเรียกค่าบริการและรับเงินจากโจทก์ร่วมและผู้เสียหายซึ่งสมัครไปทำงานดังกล่าวแต่แล้วกลับปล่อยโจทก์ร่วมกับผู้เสียหายไว้ที่จังหวัดยะลา โดยที่ไม่มีงานในประเทศมาเลเซียที่จะให้ไปทำจริงดังที่ประกาศชักชวน ดังนี้ เท่ากับเป็นการหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชน เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 วรรคหนึ่ง ตอนแรกของคำฟ้องบรรยายว่า จำเลยทั้งสามกับพวกร่วมกันจัดหางานโดยเรียกรับค่าบริการโดยไม่ได้รับอนุญาตจัดหางานจากนายทะเบียนตามกฎหมาย แต่ตอนหลังคำฟ้องกลับบรรยายว่า จำเลยทั้งสามกับพวกไม่ได้มีเจตนาและไม่มีความสามารถที่จะติดต่อหาผู้ใดไปทำงาน ดังนี้คำฟ้องตอนหลังของโจทก์เป็นการยืนยันข้อเท็จจริงว่า จำเลยทั้งสามไม่มีเจตนาจัดหางานการกระทำของจำเลยทั้งสามตามฟ้องจึงไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานฯ พ.ศ.2511 หมายเหตุ วรรคสองวินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5084/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฉ้อโกงประชาชนจัดหางาน: จำเลยหลอกลวงผู้เสียหายเรียกเก็บค่าบริการจัดหางาน แต่ไม่สามารถดำเนินการได้
ผู้เสียหายทั้งสองถูกจำเลยหลอกลวงว่าจำเลยสามารถส่งคนไปทำงานในประเทศคูเวตได้โดยเรียกค่าบริการคนละ 30,000 บาท ผู้เสียหายทั้งสองหลงเชื่อมอบเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่จำเลยไป ความจริงจำเลยไม่สามารถส่งคนหางานไปทำงานในต่างประเทศได้แต่อย่างใด ในขณะที่จำเลยพูดหลอกลวงนั้นมีคนอื่นอีก 8 คนอยู่ในสถานที่เกิดเหตุ แล้วจำเลยพาผู้เสียหายไปอยู่ในบ้านซึ่งจำเลยเช่าให้คนหางานพักอาศัยอยู่ประมาณ 30-40 คน พฤติการณ์ของจำเลยดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชนซึ่งหมายถึงบุคคลทั่วไปจำเลยจึงมีความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 343 วรรคแรก ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์นำสืบไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ประกอบธุรกิจจัดหางานให้คนหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศหรือได้ส่งคนหางานไปทำงานในต่างประเทศมาบ้างแล้วประกอบกับทางพิจารณารับฟังได้ว่าจำเลยมิได้เจตนาจัดหางานให้แก่คนหางานแต่ประการใด จำเลยจึงไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528มาตรา 30,82.