คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ประเด็นวินิจฉัย

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 40 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5191/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงสภาพการจ้างต้องมีลายมือชื่อคู่กรณี และการอุทธรณ์ต้องอยู่ภายในประเด็นที่ศาลวินิจฉัย
บันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับพิพาทฝ่ายลูกจ้างไม่ได้ลงลายมือชื่อไว้ คงมีผู้แทนนายจ้างลงลายมือชื่อเพียงฝ่ายเดียว ส่วนบันทึกของพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานฉบับลงวันที่เดียวกับบันทึกข้อตกลง แม้จะปรากฏว่าผู้แทนนายจ้างและผู้แทนลูกจ้างต่างได้ลงลายมือชื่อไว้ แต่จากบันทึกดังกล่าวมีข้อความแสดงให้เห็นเพียงว่าพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานจัดทำบันทึกนี้ไว้เพื่อให้ทราบว่าฝ่ายลูกจ้างไม่ยอมลงลายมือชื่อในบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง รวมทั้งขั้นตอนและการปฏิบัติของคู่กรณีในการเจรจาต่อรอง ซึ่งไม่ใช่ข้อตกลงที่มีผลผูกพันคู่กรณีทั้งสองฝ่าย การที่ผู้แทนลูกจ้างลงลายมือชื่อในบันทึกนี้จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการลงลายมือชื่อในบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง พร้อมกับบันทึกของพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานฉบับดังกล่าวจึงไม่เป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามกฎหมาย เพราะขัดต่อ พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 18 วรรคหนึ่ง
คำสั่งของศาลแรงงานกลางที่ไม่อนุญาตให้โจทก์เพิ่มเติมข้อวินิจฉัยตามคำร้องของโจทก์เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ซึ่งศาลแรงงานกลางได้มีคำสั่งในวันเดียวกันกับที่โจทก์ยื่นคำร้อง เมื่อในแบบพิมพ์คำร้องมีข้อความว่า โจทก์รอฟังคำสั่งอยู่ ถ้าไม่รอถือว่าทราบแล้ว จึงต้องถือว่าโจทก์ทราบคำสั่งนี้ตั้งแต่วันดังกล่าวแล้ว โจทก์มีเวลามากพอที่จะโต้แย้งคำสั่งนี้ได้ แต่โจทก์ไม่ได้โต้แย้งคำสั่งดังกล่าวไว้ในขณะที่คดียังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลแรงงานกลางอุทธรณ์ของโจทก์ในปัญหานี้จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 226 (2)ประกอบด้วย พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522มาตรา 31
อุทธรณ์โจทก์เป็นอุทธรณ์นอกประเด็นจากที่คู่ความแถลงขอให้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัย ถือได้ว่าเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลแรงงานกลาง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 225 วรรคหนึ่งประกอบด้วย พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522มาตรา 31

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1225/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ: ทายาทฟ้องแย่งคืนที่ดินพิพาทโดยอ้างสิทธิเดียวกัน ศาลพิจารณาถึงคู่ความและประเด็นที่วินิจฉัยแล้ว
โจทก์คดีก่อนและโจทก์คดีนี้แม้จะเป็นบุคคลคนละคนแต่ต่างก็เป็นทายาทของถ. และต่างก็ฟ้องคดีเรียกคืนที่ดินพิพาทโดยอ้างสิทธิในฐานะทายาทผู้สืบสิทธิจากถ. ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินพิพาทคนเดียวกันจึงถือได้ว่าโจทก์คดีก่อนและโจทก์ในคดีนี้เป็นคู่ความเดียวกันและการที่ศาลชั้นต้นได้พิพากษายกฟ้องในคดีก่อนโดยอ้างเหตุว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบตามฟ้องถือได้ว่าเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นแห่งคดีแล้วฉะนั้นการที่โจทก์ฟ้องคดีนี้โดยมีคำขออย่างเดียวกับคดีก่อนจึงเป็นการฟ้องคดีที่ให้มีการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันฟ้องโจทก์ในคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา148วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6275/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำให้การขัดแย้งและการไม่แสดงเจตนาชัดเจนในข้ออ้างของโจทก์ ทำให้ไม่มีประเด็นให้วินิจฉัย
คำให้การของจำเลยที่ 1 ตอนแรกเป็นการปฏิเสธว่าเช็คพิพาทไม่ใช่เช็คของจำเลยที่ 1 แต่ตอนหลังกลับให้การว่า หากศาลฟังว่าเช็คพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ก็ขอให้การต่อสู้ต่อไปว่า โจทก์ได้รับโอนเช็คมาจากจำเลยที่ 2 โดยไม่สุจริต คำให้การดังกล่าวขัดกันเองเป็นการไม่แสดงให้เห็นแจ้งชัดว่า จำเลยที่ 1 ยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน เป็นคำให้การไม่ชอบ ไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่า โจทก์รับโอนเช็คพิพาทจากจำเลยที่ 2 โดยไม่สุจริตด้วยคบคิดกับจำเลยที่ 2 ฉ้อฉลจำเลยที่ 1 หรือไม่ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์รับโอนเช็คพิพาทจากจำเลยที่ 2 โดยไม่สุจริตด้วยคบคิดกันฉ้อฉลจึงไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2438/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประเด็นทางสาธารณะและภารจำยอม: การยกประเด็นใหม่ในฎีกาที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยแล้วถือว่าเป็นการต้องห้ามตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งห้ารื้อถอนเสาคอนกรีตกับรั้วลวดหนามและสิ่งที่รุกล้ำออกไปจากทางพิพาทซึ่งเป็นทางสาธารณะและทางภารจำยอมเมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนเสาและรั้วลวดหนามออกไปจากทางพิพาทคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกโจทก์มิได้อุทธรณ์คำพิพากษาว่าทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมประเด็นเรื่องทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมหรือไม่จึงยุติแม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยว่าทางพิพาทมิใช่ทางภารจำยอมก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ฎีกาของโจทก์ที่ว่าทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1192/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในการใช้ที่ดินของผู้อื่นเพื่อซ่อมแซม และการรุกล้ำที่ดิน: ประเด็นฟ้องแย้งแยกจากฟ้องเดิม
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยยอมให้โจทก์ใช้ที่ดินของจำเลยด้านที่ติดต่อกับที่ดินโจทก์ทำการซ่อมแซมตึกโจทก์ โจทก์ได้ซ่อมแซมด้านทิศตะวันตกไปแล้วแต่จำเลยไม่ยอมให้ซ่อมแซมด้านทิศเหนือ ขอให้บังคับจำเลยยอมให้โจทก์ใช้ที่ดินของจำเลยเพียงที่จำเป็นในการซ่อมแซมตึกของโจทก์ จำเลยฟ้องแย้งว่าโจทก์กระทำละเมิดโดยสร้างกันสาดด้านเหนือและปลูกสร้างตึกด้านตะวันออกรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของจำเลย ขอให้บังคับโจทก์รื้อถอนกันสาดและตึกพร้อมคานคอดินส่วนที่รุกล้ำออกไป ดังนี้ ตามคำฟ้องและคำให้การคดีมีประเด็นจะต้องวินิจฉัยว่า โจทก์มีสิทธิบังคับจำเลยยอมให้โจทก์ใช้ที่ดินของจำเลยเพียงที่จำเป็นในการซ่อมแซมตึกของโจทก์หรือไม่ ส่วนฟ้องแย้งและคำให้การแก้ฟ้องแย้งเป็นกรณีต้องวินิจฉัยว่า โจทก์กระทำละเมิดต่อจำเลยหรือไม่ ประเด็นที่วินิจฉัยตามคำฟ้องและฟ้องแย้งจึงเป็นคนละเรื่องกัน และมิได้อาศัยเหตุอย่างเดียวกันในการวินิจฉัย ฟ้องแย้งของจำเลยจึงเป็นเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5462/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิครอบครองที่ดิน: ศาลอุทธรณ์กำหนดประเด็นวินิจฉัยถูกต้อง ฎีกาโจทก์ไม่ชอบ
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท จำเลยบุกรุกเข้ามาแย่งการครอบครอง จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่เคยครอบครองที่ดินพิพาทจำเลยได้ครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมา ที่ดินพิพาทมิใช่ของโจทก์เป็นของจำเลยปัญหาที่โจทก์จำเลยโต้เถียงกันก็คือ โจทก์หรือจำเลยมีสิทธิครอบครองเหนือที่ดินพิพาทดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 กำหนดประเด็นวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองหรือไม่ จึงชอบแล้ว มิได้วินิจฉัยผิดประเด็นและมิใช่เป็นข้อที่จะนำไปสู่การวินิจฉัยว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทโดยปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 ดังที่โจทก์ฎีกา
ฎีกาของโจทก์ที่เกี่ยวกับการเริ่มนับระยะเวลาการฟ้องร้องตาม ป.พ.พ. มาตรา 1374, 1375 นั้น เป็นเรื่องที่ฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่ได้พิพากษาคดีโดยอาศัยข้อกฎหมายตามที่โจทก์ฎีกาฎีกาของโจทก์ดังกล่าวจึงมิใช่การคัดค้านโต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 2จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5462/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิครอบครองที่ดิน: ศาลฎีกายืนประเด็นวินิจฉัยสิทธิครอบครองโดยไม่เข้าข่ายการครอบครองปรปักษ์
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท จำเลยบุกรุกเข้ามาแย่งการครอบครอง จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่เคยครอบครองที่ดินพิพาทจำเลยได้ครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมาที่ดินพิพาทมิใช่ของโจทก์เป็นของจำเลย ปัญหาที่โจทก์จำเลยโต้เถียงกันก็คือ โจทก์หรือจำเลยมีสิทธิครอบครองเหนือที่ดินพิพาท ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 กำหนดประเด็นวินิจฉัยว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองหรือไม่ จึงชอบแล้ว มิได้วินิจฉัยผิดประเด็นและมิใช่เป็นข้อที่จะนำไปสู่การวินิจฉัยว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทโดยปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 ดังที่โจทก์ฎีกา ฎีกาของโจทก์ที่เกี่ยวกับการเริ่มนับระยะเวลาการฟ้องร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1374,1375 นั้นเป็นเรื่องที่ฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ภาค 2ไม่ได้พิพากษาคดีโดยอาศัยข้อกฎหมายตามที่โจทก์ฎีกา ฎีกาของโจทก์ดังกล่าวจึงมิใช่การคัดค้านโต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 2

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5024/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการฎีกาในข้อเท็จจริงและประเด็นที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยแล้วตามมาตรา 248, 249 วรรคหนึ่ง
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า ที่ดินตาม ส.ค.1 เลขที่ 26เป็นของโจทก์หรือจำเลย ดังนี้ ประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวจึงคลุมไปถึงประเด็นตามคำให้การของจำเลยที่ให้การต่อสู้ว่า นิติกรรมการกู้ยืมเงินอำพรางนิติกรรมการซื้อขายที่ดินแล้ว ส่วนที่จำเลยฎีกาโต้แย้งว่า สัญญากู้ยืมเงินเป็นนิติกรรมอำพรางการซื้อขายที่ดินพิพาท และเมื่อมารดาโจทก์ได้ส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่มารดาจำเลยและจำเลยครอบครองต่อมา ที่ดินจึงตกเป็นของจำเลยแล้วนั้นเป็นฎีกาที่โต้เถียงข้อเท็จจริงว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลยเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง และที่จำเลยฎีกาว่า สัญญากู้เงินไม่สมบูรณ์เพราะไม่มีพยานลงลายมือชื่อรับรองลายพิมพ์นิ้วมือของคู่สัญญาเป็นเอกสารที่รับฟังไม่ได้นั้น จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2104/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปฏิเสธการรับเงินกู้ยืมและการมีอยู่จริงของสัญญากู้ยืม ศาลต้องวินิจฉัยประเด็นนี้
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินที่กู้ยืมไป จำเลยให้การว่าจำเลยไม่ได้รับเงินตามสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์ เป็นคำให้การที่ชัดแจ้งว่า จำเลยปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ว่าสัญญากู้ยืมเงินไม่บริบูรณ์เพราะโจทก์ไม่ส่งมอบเงินที่ยืม คดีจึงมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในปัญหาดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 633/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำในประเด็นที่ศาลเคยวินิจฉัยแล้ว แม้คดีเดิมยังไม่สิ้นสุด ถือเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตาม ป.วิ.พ. มาตรา 144
คดีเดิม จำเลยฟ้องโจทก์ขอให้ขับไล่โจทก์ให้ออกจากที่ดินตามฟ้อง ศาลชั้นต้นวินิจฉัยแล้วว่าโจทก์อยู่ในที่ดินตามฟ้องโดยอาศัยสัญญาเช่าและไม่มีสิทธิครอบครอง การที่โจทก์มาฟ้องคดีหลังอ้างว่าโจทก์เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดิน และสัญญาเช่าเป็นโมฆะเท่ากับโจทก์ขอให้ศาลพิพากษาในประเด็นที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดไปแล้วและคดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตาม ป.วิ.พ. มาตรา 144.
of 4