พบผลลัพธ์ทั้งหมด 159 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8934/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขยายระยะเวลาวางเงินคดีแรงงาน: ศาลฎีกาวินิจฉัย พ.ร.บ.แรงงานฯ 2522 มาตรา 26 ใช้หลัก 'จำเป็น-ประโยชน์แห่งความยุติธรรม' ไม่ต้องมีเหตุพิเศษ
พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 26 ได้บัญญัติเรื่องขยายระยะเวลาวางเงินต่อศาลแรงงานในการฟ้องคดีไว้เป็นการเฉพาะแล้ว ไม่อาจนำ ป.วิ.พ. มาตรา 23 ซึ่งเป็นบทบัญญัติทั่วไปมาใช้บังคับโดยอนุโลมได้
พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 26 ได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการขยายระยะเวลาวางเงินต่อศาลตามจำนวนที่ถึงกำหนดจ่ายตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานในการฟ้องคดีที่ศาลแรงงานกลางกำหนดไว้แล้วว่าจะกระทำได้เมื่อมีความจำเป็นและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม โดยไม่จำต้องมีพฤติการณ์พิเศษดังเช่นบัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา 23 การที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งในคดีนี้ว่าตามคำร้องของโจทก์ทั้งสามไม่มีพฤติการณ์พิเศษที่จะขยายระยะเวลาวางเงินได้ เท่ากับศาลแรงงานกลางได้วินิจฉัยแล้วว่าคดียังไม่มีความจำเป็นและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่จะขยายระยะเวลาการวางเงินให้แก่โจทก์ทั้งสามนั่นเอง โจทก์ทั้งสามอ้างว่าประกอบกิจการขาดทุนไม่มีเงินทุนหมุนเวียนและไม่มีรายได้ใด ๆ ที่จะนำมาวางต่อศาลในการฟ้องคดี แต่กำลังดำเนินการขอเงินประกันคืนจากนายทะเบียนจัดหางานกลางและมีทางชนะคดีได้ เช่นนี้เป็นความบกพร่องของฝ่ายโจทก์ทั้งสามเอง ถือไม่ได้ว่าคดีมีความจำเป็นและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่ศาลแรงงานกลางจะพึงขยายระยะเวลาการวางเงินให้แก่โจทก์ทั้งสาม
พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 26 ได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการขยายระยะเวลาวางเงินต่อศาลตามจำนวนที่ถึงกำหนดจ่ายตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานในการฟ้องคดีที่ศาลแรงงานกลางกำหนดไว้แล้วว่าจะกระทำได้เมื่อมีความจำเป็นและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม โดยไม่จำต้องมีพฤติการณ์พิเศษดังเช่นบัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา 23 การที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งในคดีนี้ว่าตามคำร้องของโจทก์ทั้งสามไม่มีพฤติการณ์พิเศษที่จะขยายระยะเวลาวางเงินได้ เท่ากับศาลแรงงานกลางได้วินิจฉัยแล้วว่าคดียังไม่มีความจำเป็นและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่จะขยายระยะเวลาการวางเงินให้แก่โจทก์ทั้งสามนั่นเอง โจทก์ทั้งสามอ้างว่าประกอบกิจการขาดทุนไม่มีเงินทุนหมุนเวียนและไม่มีรายได้ใด ๆ ที่จะนำมาวางต่อศาลในการฟ้องคดี แต่กำลังดำเนินการขอเงินประกันคืนจากนายทะเบียนจัดหางานกลางและมีทางชนะคดีได้ เช่นนี้เป็นความบกพร่องของฝ่ายโจทก์ทั้งสามเอง ถือไม่ได้ว่าคดีมีความจำเป็นและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่ศาลแรงงานกลางจะพึงขยายระยะเวลาการวางเงินให้แก่โจทก์ทั้งสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8707/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานเอกสารที่ไม่ส่งสำเนาก่อนสืบพยาน: ศาลมีอำนาจหากเป็นประโยชน์แก่ความยุติธรรมและเกี่ยวข้องประเด็นสำคัญ
แม้สำเนาสัญญาเช่าซึ่งโจทก์ส่งต้นฉบับต่อศาลในภายหลังจะมิใช่หลักฐานโดยตรงในเรื่องการเช่าระหว่างโจทก์และจำเลยก็ตาม แต่ศาลชั้นต้นก็ถือเป็นพยานสำคัญในการชั่งน้ำหนักพยานโจทก์ แล้วนำไปเป็นเหตุผลในการวินิจฉัยว่าจำเลยมิได้เป็นผู้เช่าที่นาของโจทก์ ปัญหาเรื่องการรับฟังพยานเอกสารดังกล่าวหรือไม่ นับว่ามีผลต่อรูปคดี อย่างมาก เพราะอาจทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงได้ จึงเป็นข้อกฎหมายที่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยในปัญหานี้แล้วพิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลย ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย แต่ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยในปัญหาข้อนี้ไปโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาอีก
ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 87 (2) บัญญัติ ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานใด เว้นแต่คู่ความฝ่ายที่อ้างพยาน หลักฐานได้แสดงความจำนงที่จะอ้างอิงพยานหลักฐานนั้น ดังบัญญัติไว้ในมาตรา 88 และ 90 แต่ถ้าศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานอันสำคัญ ซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของอนุมาตรานี้ ให้ศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้ เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าภาพถ่ายสัญญาเช่าซึ่งโจทก์ส่งต้นฉบับต่อศาลในภายหลังโดยโจทก์มิได้ส่งสำเนาให้จำเลย เป็นพยานหลักฐานอันสำคัญที่จะนำข้อเท็จจริงไปสู่การวินิจฉัยประเด็นข้อสำคัญในคดี เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลชั้นต้นก็มีอำนาจให้สืบและรับฟังพยานหลักฐานนี้ได้
ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 87 (2) บัญญัติ ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานใด เว้นแต่คู่ความฝ่ายที่อ้างพยาน หลักฐานได้แสดงความจำนงที่จะอ้างอิงพยานหลักฐานนั้น ดังบัญญัติไว้ในมาตรา 88 และ 90 แต่ถ้าศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานอันสำคัญ ซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของอนุมาตรานี้ ให้ศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้ เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าภาพถ่ายสัญญาเช่าซึ่งโจทก์ส่งต้นฉบับต่อศาลในภายหลังโดยโจทก์มิได้ส่งสำเนาให้จำเลย เป็นพยานหลักฐานอันสำคัญที่จะนำข้อเท็จจริงไปสู่การวินิจฉัยประเด็นข้อสำคัญในคดี เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลชั้นต้นก็มีอำนาจให้สืบและรับฟังพยานหลักฐานนี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4782/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์คดีแรงงาน หากได้รับสำเนาคำพิพากษาหลังกำหนด ศาลต้องพิจารณาขยายเวลาเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
หากเป็นความจริงตามคำร้องของจำเลยที่ว่า จำเลยได้รับสำเนาคำพิพากษาศาลแรงงานเมื่อล่วงเลยกำหนดเวลายื่นอุทธรณ์แล้ว จำเลยก็ไม่อาจยื่นอุทธรณ์ได้ กรณีถือได้ว่ามีความจำเป็นและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่ศาลแรงงานจะพึงขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ให้แก่จำเลย
ศาลแรงงานไต่สวนพยานหลักฐานของจำเลยแล้วข้อเท็จจริงฟังได้ตามคำร้องของจำเลยว่าจำเลยได้รับสำเนาคำพิพากษาศาลแรงงานเมื่อล่วงเลยกำหนดยื่นอุทธรณ์แล้ว ซึ่งศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้แล้วว่าหากข้อเท็จจริงฟังได้ดังกล่าวกรณีถือได้ว่ามีความจำเป็น และเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่ศาลแรงงานจะพึงขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ให้แก่จำเลย ศาลแรงงานจึงชอบจะมีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ให้แก่จำเลยตามคำพิพากษาศาลฎีกาการที่ศาลแรงงานมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยดังกล่าวโดยอ้างว่าจำเลยเข้าใจเรื่องระยะเวลายื่นอุทธรณ์คดีแรงงานผิดพลาด หากขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ให้จำเลยย่อมไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ เป็นการไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกา จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ แต่เพื่อความสะดวกรวดเร็ว ศาลฎีกาเห็นสมควรสั่งคำร้องขอขยายเวลายื่นอุทธรณ์ของจำเลยเสียเองโดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานสั่งใหม่
ศาลแรงงานไต่สวนพยานหลักฐานของจำเลยแล้วข้อเท็จจริงฟังได้ตามคำร้องของจำเลยว่าจำเลยได้รับสำเนาคำพิพากษาศาลแรงงานเมื่อล่วงเลยกำหนดยื่นอุทธรณ์แล้ว ซึ่งศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้แล้วว่าหากข้อเท็จจริงฟังได้ดังกล่าวกรณีถือได้ว่ามีความจำเป็น และเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่ศาลแรงงานจะพึงขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ให้แก่จำเลย ศาลแรงงานจึงชอบจะมีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ให้แก่จำเลยตามคำพิพากษาศาลฎีกาการที่ศาลแรงงานมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยดังกล่าวโดยอ้างว่าจำเลยเข้าใจเรื่องระยะเวลายื่นอุทธรณ์คดีแรงงานผิดพลาด หากขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ให้จำเลยย่อมไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ เป็นการไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกา จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ แต่เพื่อความสะดวกรวดเร็ว ศาลฎีกาเห็นสมควรสั่งคำร้องขอขยายเวลายื่นอุทธรณ์ของจำเลยเสียเองโดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานสั่งใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3736/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานหลักฐานฝ่าฝืน ป.วิ.พ. มาตรา 88: ศาลมีอำนาจหากเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
แม้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87 (2) จะห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานที่ยื่นฝ่าฝืนต่อมาตรา 88 แต่ในมาตรา 87 (2) นั่นเองได้บัญญัติต่อไปว่า "?แต่ถ้าศาลเห็นว่า เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของอนุมาตรานี้ ให้ศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้" เมื่อปรากฏว่าพยานบุคคลที่โจทก์ทั้งสองอ้าง เป็นพนักงานขายซึ่งมีหน้าที่ติดตามหนี้สินรายนี้จากจำเลยที่ 3 อันเป็นพยานสำคัญในคดี ทั้งจำเลยที่ 3 ก็มีโอกาสถามค้านและนำพยานหลักฐานเข้าสืบหักล้างคำเบิกความของพยานโจทก์ปากนี้ได้ ไม่ทำให้จำเลยที่ 3 ต้องเสียเปรียบในเชิงคดีแต่อย่างใด การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ทั้งสองยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมได้นั้น จึงเป็นกรณีที่ถือได้ว่าศาลชั้นต้นได้พิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมในการที่จะให้การวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นข้อสำคัญในคดีเป็นไปด้วยความเที่ยงธรรม จำเป็นต้องสืบพยานหลักฐานอันสำคัญเช่นนั้น ดังนั้น ศาลจึงมีอำนาจรับฟังคำเบิกความของพยานบุคคลที่โจทก์ทั้งสองอ้างเป็นพยานหลักฐานได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3045/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขยายระยะเวลาอุทธรณ์: เหตุทนายความเพิ่งได้รับมอบหมายและติดว่าความอื่น ศาลฎีกาอนุญาตเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
คำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ มิได้อ้างเหตุของตัวผู้ร้องเอง แต่อ้างเหตุของทนายความที่ไม่สามารถยื่นอุทธรณ์ได้ทันเพราะเพิ่งได้รับมอบหมายจากผู้ร้องและจะต้องตามประเด็นไปว่าความที่ศาลอื่น มิใช่เป็นการขอขยายระยะเวลาโดยอ้างเหตุว่ามีพฤติการณ์พิเศษตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 แต่เป็นการขออนุญาตให้ศาลชั้นต้นใช้อำนาจทั่วไปตามกฎหมาย จึงเป็นดุลพินิจที่จะพิจารณาเป็นเรื่อง ๆ ไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9501/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานเอกสารที่ไม่เป็นไปตามรูปแบบ ป.วิ.พ. โดยศาลใช้ดุลพินิจเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
เจตนารมณ์ของการส่งสำเนาเอกสารตาม ป.วิ.พ. มาตรา 90 มุ่งประสงค์เพียงให้ฝ่ายที่ถูกอ้างเอกสารมายันได้มีโอกาสตรวจสอบเอกสารก่อน เมื่อโจทก์ได้แนบสำเนาเอกสารดังกล่าวมาท้ายคำฟ้อง ย่อมนับได้ว่าตรงตามเจตนารมณ์ของกฎหมายแล้ว
ที่โจทก์ไม่นำเอกสารหมาย จ. 3 และ จ. 4 แผ่นแรก ซึ่งเป็นรายการหนี้มาแสดงต่อศาล เพราะโจทก์ได้อ้างใบเสร็จรับเงินซึ่งสรุปยอดหนี้ในแต่ละเดือนแล้ว ทั้งเอกสารหมาย จ. 8 ก็สามารถทำให้จำเลยเข้าใจถึงยอดหนี้ได้ดี ส่วนเอกสารหมาย จ. 5 ซึ่งเป็นใบวางบิลแสดงยอดหนี้ที่จำเลยค้างชำระแก่โจทก์ เมื่อได้ความตามทางพิจารณาว่า เอกสารดังกล่าวพนักงานโจทก์นำไปมอบให้แก่จำเลยรับไว้แล้ว จึงถือได้ว่าเป็นเอกสารอยู่ในความครอบครองรู้เห็น ของจำเลยเช่นเดียวกับเอกสารหมาย จ. 8 ที่จำเลยทำขึ้นเพื่อตรวจสอบจำนวนหนังสือพิมพ์ที่ซื้อขายกัน เมื่อเอกสารหมาย จ. 5 และ จ. 8 ต่างเป็นที่มาแห่งข้อพิพาทซึ่งนับว่าเป็นเอกสารสำคัญอันเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดี ดังนี้ แม้โจทก์ จะมิได้ส่งสำเนาเอกสารหมาย จ. 5 ให้แก่จำเลยภายในระยะเวลาตามกฎหมายและไม่ได้แนบสำเนามาท้ายคำฟ้อง ศาลก็ชอบที่จะรับฟังเอกสารหมาย จ. 5 ได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 90
สำหรับเอกสารหมาย จ. 8 แม้จะเป็นเพียงสำเนา มิใช่ต้นฉบับแต่จำเลยก็เป็นผู้ทำขึ้นเอง เมื่อไม่ปรากฏ เหตุสงสัยว่าจะมีข้อความผิดไปจากความจริง การที่โจทก์มิได้อ้างเอกสารดังกล่าวไว้ในบัญชีระบุพยานซึ่งฝ่าฝืนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 88 แต่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลมีอำนาจรับฟังได้ ตามมาตรา 87 (2) แม้จำเลยมิได้รับรองความถูกต้องของเอกสารนั้นก็ตาม
ที่โจทก์ไม่นำเอกสารหมาย จ. 3 และ จ. 4 แผ่นแรก ซึ่งเป็นรายการหนี้มาแสดงต่อศาล เพราะโจทก์ได้อ้างใบเสร็จรับเงินซึ่งสรุปยอดหนี้ในแต่ละเดือนแล้ว ทั้งเอกสารหมาย จ. 8 ก็สามารถทำให้จำเลยเข้าใจถึงยอดหนี้ได้ดี ส่วนเอกสารหมาย จ. 5 ซึ่งเป็นใบวางบิลแสดงยอดหนี้ที่จำเลยค้างชำระแก่โจทก์ เมื่อได้ความตามทางพิจารณาว่า เอกสารดังกล่าวพนักงานโจทก์นำไปมอบให้แก่จำเลยรับไว้แล้ว จึงถือได้ว่าเป็นเอกสารอยู่ในความครอบครองรู้เห็น ของจำเลยเช่นเดียวกับเอกสารหมาย จ. 8 ที่จำเลยทำขึ้นเพื่อตรวจสอบจำนวนหนังสือพิมพ์ที่ซื้อขายกัน เมื่อเอกสารหมาย จ. 5 และ จ. 8 ต่างเป็นที่มาแห่งข้อพิพาทซึ่งนับว่าเป็นเอกสารสำคัญอันเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดี ดังนี้ แม้โจทก์ จะมิได้ส่งสำเนาเอกสารหมาย จ. 5 ให้แก่จำเลยภายในระยะเวลาตามกฎหมายและไม่ได้แนบสำเนามาท้ายคำฟ้อง ศาลก็ชอบที่จะรับฟังเอกสารหมาย จ. 5 ได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 90
สำหรับเอกสารหมาย จ. 8 แม้จะเป็นเพียงสำเนา มิใช่ต้นฉบับแต่จำเลยก็เป็นผู้ทำขึ้นเอง เมื่อไม่ปรากฏ เหตุสงสัยว่าจะมีข้อความผิดไปจากความจริง การที่โจทก์มิได้อ้างเอกสารดังกล่าวไว้ในบัญชีระบุพยานซึ่งฝ่าฝืนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 88 แต่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลมีอำนาจรับฟังได้ ตามมาตรา 87 (2) แม้จำเลยมิได้รับรองความถูกต้องของเอกสารนั้นก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7682/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การงดสืบพยานและการโต้แย้งคำสั่งศาล: การแก้ไขคำแถลงเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
จำเลยยื่นคำแถลงโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานจำเลยเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2540 แต่ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งในวันนั้น กลับเพิ่งสั่งคำแถลงเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2540 โดยไม่ปรากฏว่าเพราะเหตุใด แม้ว่าคำแถลงดังกล่าว จำเลยจะระบุหมายเลขคดีผิดพลาดไปก็ตาม แต่จำเลยก็ได้ระบุชื่อโจทก์และจำเลยถูกต้อง ทั้งระบุวันนัดสืบพยานจำเลยซึ่งศาลมีคำสั่งให้งดสืบพยานจำเลยและวันนัดฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้นไว้ถูกต้อง สามารถตรวจสอบได้ว่าคำแถลงโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวนี้เป็นของคดีใด การที่ศาลชั้นต้นเพิ่งมีคำสั่งไม่รับคำแถลงโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2540 ย่อมทำให้จำเลยไม่มีโอกาสทราบคำสั่งศาลชั้นต้นก่อนหน้านี้ได้ ดังนั้น ที่จำเลยยื่นคำร้องขอแก้ไขคำแถลงโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นในวันเดียวกับที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำแถลงโต้แย้งจึงชอบแล้ว คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยแก้ไขคำแถลงโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นและไม่รับคำแถลงโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นจึงไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7572/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับพยานโจทก์ร่วมหลังสืบพยานเดิม & เจตนาดูหมิ่นในคดีหมิ่นประมาท
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้เสียหายเข้าเป็นโจทก์ร่วมภายหลังจากการสืบพยานโจทก์นัดแรกผ่านพ้นไปแล้ว เมื่อศาลชั้นต้นรับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของโจทก์ร่วม และอนุญาตให้โจทก์ร่วมนำพยานของตนเข้าสืบภายหลังสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว ศาลจึงใช้ดุลพินิจเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมรับฟังพยานของโจทก์ร่วมได้
ปัญหาว่าการกระทำใดไม่เป็นความผิดเพราะขาดองค์ประกอบนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย
การที่จำเลยกล่าวถ้อยคำต่อโจทก์ร่วมว่า "มึงเข้าไปในที่ของกูได้อย่างไร กูจะแจ้งข้อหาบุกรุกมึง มึงเป็นผู้ใหญ่บ้านได้อย่างไร ไม่รู้กฎหมาย ไม่รู้หน้าที่ ไอ้หน้าโง่มึงต้องเจอกับกูแน่ที่ศาล" นั้น เห็นได้ว่าสรรพนามที่จำเลยใช้แทนตัวจำเลยและโจทก์ร่วมว่ากูและมึงนั้นเป็นเพียงถ้อยคำไม่สุภาพ ส่วนถ้อยคำในทำนองว่าโจทก์ร่วมเป็นผู้ใหญ่บ้านไม่มีอำนาจหน้าที่ ไม่รู้กฎหมายและจะฟ้องร้องดำเนินคดีกับโจทก์ร่วมนั้นเป็นเพียงถ้อยคำต่อว่าโจทก์ร่วมที่เข้าไปในที่ดินของ ม. พ่อตาจำเลยโดยไม่ได้รับอนุญาต และแสดงเจตนาที่จะดำเนินคดีกับโจทก์ร่วมเท่านั้น ไม่ใช่ถ้อยคำที่ดูถูกเหยียดหยามโจทก์ร่วม แต่ที่จำเลยว่าโจทก์ร่วมว่าไอ้หน้าโง่นั้น ถ้อยคำดังกล่าวแสดงอยู่ในตัวถึงการหมิ่นเหยียดหยามโจทก์ร่วม แม้จะเป็นการกล่าวถ้อยคำดูหมิ่นโจทก์ร่วมในขณะที่จำเลยและโจทก์ร่วมทะเลาะกันก็ต้องถือว่าจำเลยกล่าวโดยมีเจตนาดูหมิ่นโจทก์ร่วม หาใช่ว่าการกล่าวในขณะทะเลาะกันจะถือว่าจำเลยมิได้มีเจตนาดูหมิ่นอันจักเป็นการขาดองค์ประกอบความผิดไม่
ปัญหาว่าการกระทำใดไม่เป็นความผิดเพราะขาดองค์ประกอบนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย
การที่จำเลยกล่าวถ้อยคำต่อโจทก์ร่วมว่า "มึงเข้าไปในที่ของกูได้อย่างไร กูจะแจ้งข้อหาบุกรุกมึง มึงเป็นผู้ใหญ่บ้านได้อย่างไร ไม่รู้กฎหมาย ไม่รู้หน้าที่ ไอ้หน้าโง่มึงต้องเจอกับกูแน่ที่ศาล" นั้น เห็นได้ว่าสรรพนามที่จำเลยใช้แทนตัวจำเลยและโจทก์ร่วมว่ากูและมึงนั้นเป็นเพียงถ้อยคำไม่สุภาพ ส่วนถ้อยคำในทำนองว่าโจทก์ร่วมเป็นผู้ใหญ่บ้านไม่มีอำนาจหน้าที่ ไม่รู้กฎหมายและจะฟ้องร้องดำเนินคดีกับโจทก์ร่วมนั้นเป็นเพียงถ้อยคำต่อว่าโจทก์ร่วมที่เข้าไปในที่ดินของ ม. พ่อตาจำเลยโดยไม่ได้รับอนุญาต และแสดงเจตนาที่จะดำเนินคดีกับโจทก์ร่วมเท่านั้น ไม่ใช่ถ้อยคำที่ดูถูกเหยียดหยามโจทก์ร่วม แต่ที่จำเลยว่าโจทก์ร่วมว่าไอ้หน้าโง่นั้น ถ้อยคำดังกล่าวแสดงอยู่ในตัวถึงการหมิ่นเหยียดหยามโจทก์ร่วม แม้จะเป็นการกล่าวถ้อยคำดูหมิ่นโจทก์ร่วมในขณะที่จำเลยและโจทก์ร่วมทะเลาะกันก็ต้องถือว่าจำเลยกล่าวโดยมีเจตนาดูหมิ่นโจทก์ร่วม หาใช่ว่าการกล่าวในขณะทะเลาะกันจะถือว่าจำเลยมิได้มีเจตนาดูหมิ่นอันจักเป็นการขาดองค์ประกอบความผิดไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5326-5327/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขยายระยะเวลาอุทธรณ์คดีแรงงาน: เหตุผลความจำเป็นและประโยชน์แห่งความยุติธรรม
แม้คำร้องขออนุญาตยื่นอุทธรณ์ของโจทก์จะระบุว่า มิได้ประสงค์ขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ แต่ประสงค์ขออนุญาตยื่นอุทธรณ์ภายในระยะเวลาที่ศาลจะกำหนดให้ก็ตาม แต่ผลของการขอก็คือขออนุญาตอุทธรณ์เมื่อพ้นระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนดไว้นั่นเอง ถือว่าคำร้องของโจทก์ทั้งสองเป็นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 26 บัญญัติเรื่องการขยายระยะเวลาไว้เป็นการเฉพาะแล้ว จึงไม่อาจนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 มาอนุโลมใช้ได้
ระยะเวลาตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯ หรือตามที่ศาลแรงงานได้กำหนด ศาลแรงงานมีอำนาจย่นหรือขยายได้ตามความจำเป็นและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมตามมาตรา 26ซึ่งมิได้กำหนดหลักเกณฑ์ว่าจะต้องมีเหตุสุดวิสัยอันไม่อาจก้าวล่วงได้หรือต้องมีพฤติการณ์พิเศษเช่นที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 23 ไม่ ดังนั้น ถ้าโจทก์ไม่อาจคัดคำพิพากษาศาลแรงงานเพื่อใช้ประกอบในการเขียนอุทธรณ์เนื่องจากยังพิมพ์ไม่เสร็จ ย่อมเป็นความจำเป็นและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ก็สมควรขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ให้โจทก์ได้ แต่คำพิพากษาศาลแรงงานยังพิมพ์ไม่เสร็จตามที่โจทก์อ้างจริงหรือไม่ เป็นข้อเท็จจริงซึ่งศาลแรงงานจะต้องไต่สวนแล้วมีคำสั่งต่อไป ที่ศาลแรงงานยกคำร้องของโจทก์โดยไม่ไต่สวนว่ามีความจำเป็นต้องขยายระยะเวลาอุทธรณ์หรือไม่ จึงไม่ชอบ
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 26 บัญญัติเรื่องการขยายระยะเวลาไว้เป็นการเฉพาะแล้ว จึงไม่อาจนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 มาอนุโลมใช้ได้
ระยะเวลาตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯ หรือตามที่ศาลแรงงานได้กำหนด ศาลแรงงานมีอำนาจย่นหรือขยายได้ตามความจำเป็นและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมตามมาตรา 26ซึ่งมิได้กำหนดหลักเกณฑ์ว่าจะต้องมีเหตุสุดวิสัยอันไม่อาจก้าวล่วงได้หรือต้องมีพฤติการณ์พิเศษเช่นที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 23 ไม่ ดังนั้น ถ้าโจทก์ไม่อาจคัดคำพิพากษาศาลแรงงานเพื่อใช้ประกอบในการเขียนอุทธรณ์เนื่องจากยังพิมพ์ไม่เสร็จ ย่อมเป็นความจำเป็นและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ก็สมควรขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ให้โจทก์ได้ แต่คำพิพากษาศาลแรงงานยังพิมพ์ไม่เสร็จตามที่โจทก์อ้างจริงหรือไม่ เป็นข้อเท็จจริงซึ่งศาลแรงงานจะต้องไต่สวนแล้วมีคำสั่งต่อไป ที่ศาลแรงงานยกคำร้องของโจทก์โดยไม่ไต่สวนว่ามีความจำเป็นต้องขยายระยะเวลาอุทธรณ์หรือไม่ จึงไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5242/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้ดุลพินิจรับฟังพยานหลักฐานนอกเหนือจากกรอบกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
แม้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(2) จะห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานฝ่าฝืน มาตรา 88 และมาตรา 90 ก็ตาม แต่ถ้าศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดี โดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของอนุมาตรานี้ ก็ให้ศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้ เมื่อพยานบุคคลที่โจทก์ระบุอ้างเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดี ส่วนพยานเอกสารที่อ้างก็เป็นชุดเดียวกับที่จำเลยอ้าง ทั้งโจทก์ได้ยื่นบัญชีพยานและส่งสำเนาเอกสารก่อนวันนัดสืบพยานโจทก์จึงไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบ เพราะจำเลยสามารถนำสืบหักล้างได้ การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับบัญชีพยานของโจทก์ภายหลังวันชี้สองสถาน จึงชอบแล้ว