พบผลลัพธ์ทั้งหมด 20 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 281/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าของร่วมกันทำลายทรัพย์สินเพื่อปรับปรุง - ไม่ถือเป็นการละเมิด
โจทก์จำเลยเป็นสามีภรรยากันโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส ได้ร่วมกันซื้อที่ดินและปลูกบ้านพิพาทด้วยเงินที่ทำมาหากินได้มาด้วยกันจึงเป็นเจ้าของร่วมกันต่อมาจำเลยรื้อบ้านปลูกใหม่เพราะห้องน้ำและตัวบ้านชำรุดการก่อสร้างใหม่ใช้ส่วนประกอบของบ้านเดิมผสมสร้างด้วยเพื่ออยู่อาศัยและทำการค้าตามเดิม ดังนี้จำเลยในฐานะภรรยาโจทก์และเป็นเจ้าของบ้านร่วมกับโจทก์มีสิทธิจัดการดังกล่าวเพื่อรักษาบ้านให้ถาวรขึ้นได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1358 การกระทำของจำเลยไม่เป็นการละเมิด โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหาย
ที่โจทก์ฎีกาว่า หากศาลเห็นว่าโจทก์จำเลยเป็นเจ้าของบ้านพิพาทร่วมกันขอให้พิพากษาให้จำเลยใช้ราคาบ้านครึ่งหนึ่งนั้นโจทก์มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาแต่ต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ที่โจทก์ฎีกาว่า หากศาลเห็นว่าโจทก์จำเลยเป็นเจ้าของบ้านพิพาทร่วมกันขอให้พิพากษาให้จำเลยใช้ราคาบ้านครึ่งหนึ่งนั้นโจทก์มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาแต่ต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2250/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภารจำยอมโดยอายุความและการปรับปรุงภารยทรัพย์: การราดซีเมนต์ไม่เพิ่มภาระ
การที่โจทก์ราดซีเมนต์หรือเทคอนกรีตบนทางภารจำยอม เป็นการตกแต่งให้ทางภารจำยอมสวยงามและคงทนถาวรยิ่งขึ้น และเพียงแต่ใช้ทางนั้นเดินหรือรถแล่นเข้าออกเท่านั้น มิได้ใช้เพื่อกิจการอื่นใดที่ไม่เหมาะสม ทั้งไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้กระทำให้เสียหายแก่ที่ดินหรือกระทบกระเทือนต่อประโยชน์ของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของภารยทรัพย์ จึงไม่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์แต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 506/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยินยอมให้ปรับปรุงและเช่าช่วง รวมถึงสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าเมื่อผิดนัดชำระค่าเช่า
การที่โจทก์ผู้ให้เช่ายินยอมให้จำเลยผู้เช่าดัดแปลงปรับปรุงซ่อมแซมตึกพิพาทแม้ตึกพิพาทจะเสียหายไปบ้าง โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหาย
จำเลยผู้เช่าซึ่งเป็นลูกหนี้ชอบที่จะชำระหนี้ค่าเช่าตึกพิพาทแก่ตัวเจ้าหนี้คือโจทก์เองโดยตรง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 315
สัญญาเช่าตึกพิพาทระบุการผิดสัญญาเช่าไว้หลายประการ ทั้งกรณีที่ผิดสัญญาเช่าข้อหนึ่งข้อใดก็ยินยอมให้ผู้ให้เช่าบอกกล่าวเลิกสัญญาได้ ฉะนั้น การที่จำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระค่าเช่า โจทก์ก็บอกกล่าวเลิกสัญญาเช่าได้ตามกฎหมายโดยไม่ต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 560 วรรคสอง
จำเลยผู้เช่าซึ่งเป็นลูกหนี้ชอบที่จะชำระหนี้ค่าเช่าตึกพิพาทแก่ตัวเจ้าหนี้คือโจทก์เองโดยตรง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 315
สัญญาเช่าตึกพิพาทระบุการผิดสัญญาเช่าไว้หลายประการ ทั้งกรณีที่ผิดสัญญาเช่าข้อหนึ่งข้อใดก็ยินยอมให้ผู้ให้เช่าบอกกล่าวเลิกสัญญาได้ ฉะนั้น การที่จำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระค่าเช่า โจทก์ก็บอกกล่าวเลิกสัญญาเช่าได้ตามกฎหมายโดยไม่ต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 560 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 914/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
แผงลอยชั่วคราวไม่ใช่เคหะ ไม่อยู่ในข่ายกฎหมายควบคุมค่าเช่า แม้มีการปรับปรุง
แผงลอยที่ปลูกสร้างขึ้นเพื่อให้คนเข้าประกอบการค้าชั่วคราวนั้น แม้ภายหลังผู้เช่าแผงลอยจะมุงหลังคาสังกะสี ตีเพดานขึ้น ก็ไม่มีลักษณะเป็นที่อยู่อาศัยที่ถาวร การที่ผู้เช่าเข้าอยู่อาศัยและเทศบาลออกทะเบียนสำมะโนครัวให้ ก็ไม่ได้หมายความรับรองว่าแผงลอยเป็นอาคาร จึงไม่เป็นเคหะตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขันฯ
จำเลยที่ 1 ปลูกแผงลอยในที่ดินของโจทก์แล้วให้จำเลยที่ 2 เช่า หากต่อมาจำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิอยู่ในที่ดินโจทก์แล้ว จำเลยที่ 2 จะยกสิทธิการเช่าที่โจทก์มิได้รู้เห็นด้วยขึ้นยันโจทก์ไม่ได้ เพราะจำเลยที่ 2 อยู่ในแผงลอยได้ก็เนื่องจากอาศัยสิทธิของจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 1 ปลูกแผงลอยในที่ดินของโจทก์แล้วให้จำเลยที่ 2 เช่า หากต่อมาจำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิอยู่ในที่ดินโจทก์แล้ว จำเลยที่ 2 จะยกสิทธิการเช่าที่โจทก์มิได้รู้เห็นด้วยขึ้นยันโจทก์ไม่ได้ เพราะจำเลยที่ 2 อยู่ในแผงลอยได้ก็เนื่องจากอาศัยสิทธิของจำเลยที่ 1
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1246/2504
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปรับปรุงห้องเช่าเพื่ออยู่อาศัย: การเปลี่ยนแปลงไม่ใช่การสงวนทรัพย์
จำเลยเช่าห้องของโจทก์ แล้วเช่าที่ดินของโจทก์ที่ต่อห้องออกไปและปลูกเป็นห้องส้วมห้องน้ำ และเจาะฝาห้องน้ำเป็นช่องให้อากาศและแสงสว่างเข้า เป็นการกระทำสำหรับอยู่อาศัยนั่นเอง เป็นการใช้ห้องเช่าตามประเพณีนิยมปกติและฝาห้องน้ำที่เจาะนี้เป็นของจำเลยทำขึ้น ไม่ใช่ทรัพย์สินที่เช่า เมื่อไม่ต้องการใช้จะรื้อเสียก็ได้หาใช่ไม่ สงวนทรัพย์ที่เช่าไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2709/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อนุสิทธิบัตรกลไกประตูเลื่อนไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากเป็นการปรับปรุงเล็กน้อย ไม่เข้าข่ายการประดิษฐ์ขึ้นใหม่
ผลิตภัณฑ์กลไกประตูเลื่อนของจำเลยมีลักษณะทางกายภาพที่เป็นรางเลื่อนประตู ด้านบนมีหูหิ้วรางเลื่อนเหมือนกับกลไกประตูเลื่อนของเดิม การที่จำเลยปรับปรุงระบบกลไกประตูเลื่อนสำหรับห้องเย็นซึ่งมีผู้ประดิษฐ์คิดค้นและใช้แพร่หลายอยู่ก่อนแล้วให้มีการทำงานดีขึ้น แข็งแรงและทนทานขึ้น โดยดัดแปลงปรับปรุงระบบกลไกที่มีอยู่เดิมอันเป็นการพัฒนากลไกรางประตูเลื่อนเพียงเล็กน้อยไม่ใช่ส่วนสาระสำคัญ มิใช่เป็นการคิดค้นหรือคิดทำขึ้นอันเป็นผลให้ได้ผลิตภัณฑ์หรือกรรมวิธีใดขึ้นใหม่ การประดิษฐ์กลไกประตูเลื่อนสำหรับห้องเย็นตามอนุสิทธิบัตรของจำเลยจึงไม่เป็นการประดิษฐ์ตาม พ.ร.บ.สิทธิบัตร พ.ศ.2522 มาตรา 3 และไม่เป็นการประดิษฐ์ขึ้นใหม่ตามมาตรา 65 ทวิ (1) การที่กรมทรัพย์สินทางปัญญาออกอนุสิทธิบัตรแก่จำเลยย่อมไม่ชอบ
ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า การออกแบบผลิตภัณฑ์ของจำเลยมีลักษณะใหม่เนื่องจากมีการออกแบบรวมทั้งมีลายเส้นและลวดลายหรือรอยต่าง ๆ เห็นได้ชัดเจนนั้น เห็นว่า จำเลยให้การและนำสืบว่า การออกแบบผลิตภัณฑ์ของจำเลยแตกต่างจากของเดิมและใช้เป็นส่วนประกอบกลไกประตูเลื่อนสำหรับห้องเย็นตามอนุสิทธิบัตร โดยออกแบบให้เวลาเปิดประตูทำให้ยึดแน่นไม่เลื่อน มีแป้นนำร่องป้องกันมิให้ประตูถอยเลื่อนเมื่อใช้งานมาก ทำให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพสูงขึ้น อันเป็นการให้การต่อสู้คดีว่าการออกแบบของจำเลยเป็นไปในลักษณะเพื่อประโยชน์การใช้งานอันเป็นลักษณะของการประดิษฐ์ผลิตภัณฑ์ มิใช่การออกแบบผลิตภัณฑ์ อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศไม่รับวินิจฉัย
ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า การออกแบบผลิตภัณฑ์ของจำเลยมีลักษณะใหม่เนื่องจากมีการออกแบบรวมทั้งมีลายเส้นและลวดลายหรือรอยต่าง ๆ เห็นได้ชัดเจนนั้น เห็นว่า จำเลยให้การและนำสืบว่า การออกแบบผลิตภัณฑ์ของจำเลยแตกต่างจากของเดิมและใช้เป็นส่วนประกอบกลไกประตูเลื่อนสำหรับห้องเย็นตามอนุสิทธิบัตร โดยออกแบบให้เวลาเปิดประตูทำให้ยึดแน่นไม่เลื่อน มีแป้นนำร่องป้องกันมิให้ประตูถอยเลื่อนเมื่อใช้งานมาก ทำให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพสูงขึ้น อันเป็นการให้การต่อสู้คดีว่าการออกแบบของจำเลยเป็นไปในลักษณะเพื่อประโยชน์การใช้งานอันเป็นลักษณะของการประดิษฐ์ผลิตภัณฑ์ มิใช่การออกแบบผลิตภัณฑ์ อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8123/2553
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตีความคำว่า "อากร" ใน พ.ร.บ.ศุลกากร และการปรับปรุงฐานภาษีเพื่อลงโทษปรับที่ถูกต้อง
คำว่า "อากร" ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 27 หมายถึงค่าอากรในทางศุลกากรเท่านั้น หาหมายรวมถึงภาษีมูลค่าเพิ่มอันเป็นภาษีอากรฝ่ายสรรพากร ภาษีสรรพสามิต และภาษีมหาดไทยด้วยไม่ ที่ศาลล่างทั้งสองนำค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีสรรพสามิต และภาษีมหาดไทยสำหรับรถยนต์ของกลางมารวมเป็นค่าอากรอีกจำนวนหนึ่งนั้นไม่ถูกต้อง ปัญหานี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นอ้างและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3036-3038/2550 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปรับปรุงสภาพการจ้างของรัฐวิสาหกิจโดยคณะกรรมการกิจการสัมพันธ์ชอบด้วยกฎหมาย หากดำเนินการตามขั้นตอนและไม่กลั่นแกล้ง
พ.ร.บ.แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ฯ หาได้บัญญัติให้การแก้ไขเพิ่มเติมข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างกระทำโดยนายจ้างหรือสหภาพแรงงานต้องยื่นข้อเรียกร้องตามมาตรา 25 วรรคสาม แต่เพียงประการเดียวไม่ แต่กฎหมายดังกล่าวยังได้บัญญัติถึงกระบวนแก้ไขเพิ่มเติมข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างไว้ในมาตรา 23 (5) อีกทางหนึ่งด้วย โดยคณะกรรมการกิจการสัมพันธ์มีอำนาจ "ปรึกษาหารือเพื่อพิจารณาปรับปรุงสภาพการจ้าง" ดังนั้น หากคณะกรรมการกิจการสัมพันธ์ปรับปรุงสภาพการจ้างใดโดยกระทำด้วยการปรึกษาหารือกันโดยชอบ กล่าวคือ มีการพิจารณาโดยถูกต้องตามขั้นตอนและมีเหตุผลเพียงพออีกทั้งไม่เป็นการกลั่นแกล้งบุคคลหนึ่งบุคคลใดแล้ว การปรับปรุงสภาพการจ้างตามกระบวนการนี้ย่อมมีผลใช้บังคับแก่ลูกจ้างทุกคนในรัฐวิสาหกิจรวมถึงฝ่ายบริหารด้วย ไม่ว่าการปรับปรุงสภาพการจ้างนั้นจะทำให้สภาพการจ้างต่ำกว่าเดิมหรือลดประโยชน์ของลูกจ้างก็ตาม เมื่อปรากฏว่าการแก้ไขข้อบังคับการเคหะแห่งชาติ ฉบับที่ 74 ว่าด้วยเงินช่วยเหลือการศึกษาของบุตร แก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 1 ลงวันที่ 28 สิงหาคม 2546 ได้กระทำโดยมีการเสนอการปรับปรุงเป็นวาระการประชุมต่อคณะกรรมการกิจการสัมพันธ์ของจำเลย และคณะกรรมการกิจการสัมพันธ์ของจำเลยได้พิจารณาแล้วมีมติเห็นชอบให้แก้ไขข้อบังคับการเคหะแห่งชาติ ฉบับที่ 74 ว่าด้วยเงินช่วยเหลือการศึกษาของบุตร ลงวันที่ 5 มีนาคม 2540 โดยให้ใช้หลักเกณฑ์การเบิกจ่ายเงินค่าเล่าเรียนบุตรของผู้ปฏิบัติงานซึ่งหมายถึงพนักงานการเคหะแห่งชาติและลูกจ้างทุกประเภทที่ได้ประจำทำงานในการเคหะแห่งชาติมาแล้วเป็นเวลาติดต่อกันตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป ให้มีสิทธิได้รับเงินช่วยเหลือการศึกษาของบุตรตามที่กระทรวงการคลังกำหนดแทนหลักเกณฑ์เดิมที่มีสิทธิได้รับตามที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด โดยคณะกรรมการกิจการสัมพันธ์ให้นำเสนอการแก้ไขข้อบังคับดังกล่าวต่อคณะกรรมการเคหะแห่งชาติต่อไป และต่อมาคณะกรรมการการเคหะแห่งชาติได้ประชุมแล้วให้ความเห็นชอบในการแก้ไขข้อบังคับการเคหะแห่งชาติ ฉบับที่ 74 ว่าด้วยเงินช่วยเหลือการศึกษาของบุตร แก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2546 ดังนั้น เมื่อไม่ปรากฏว่าการปรับปรุงสภาพการจ้างดังกล่าวเป็นการปรับปรุงสภาพการจ้างที่เกี่ยวกับการเงินที่อยู่นอกเหนือจากที่กำหนดไว้ตาม พ.ร.บ.แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ฯ มาตรา 13 (2) ที่จะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์และคณะรัฐมนตรีก่อนตามมาตรา 13 วรรคท้าย กระบวนการปรับปรุงสภาพการจ้างดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมาย ข้อบังคับการเคหะแห่งชาติ ฉบับที่ 74 ที่แก้ไขใหม่นี้จึงมีผลใช้บังคับแก่พนักงานของจำเลยทุกคนรวมทั้งโจทก์ทั้งสามด้วย โจทก์ทั้งสามจึงไม่อาจอ้างสิทธิขอรับเงินช่วยเหลือการศึกษาของบุตรตามฟ้องโดยอาศัยข้อบังคับการเคหะแห่งชาติว่าด้วยเงินช่วยเหลือการศึกษาของบุตร ลงวันที่ 5 มีนาคม 2540 ข้อ 5 อันเป็นข้อบังคับฉบับเดิมที่ถูกยกเลิกไปแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2972/2565
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าบริการส่วนกลาง - ดอกเบี้ยผิดนัด - การปรับอัตราดอกเบี้ยตามกฎหมายใหม่
การขออนุญาตจัดสรรที่ดิน ผู้จัดสรรที่ดินมีหน้าที่ต้องจัดให้มีสาธารณูปโภคและบริการสาธารณะตามที่ได้แสดงไว้ในคำขออนุญาตจัดสรรที่ดิน ตาม พ.ร.บ.การจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 23 (4) โดยมีกำหนดระยะเวลาการบำรุงรักษาสาธารณูปโภค ตามมาตรา 23 (5) และมีหน้าที่ดูแลสาธารณูปโภค ตามมาตรา 43 วรรคหนึ่ง ผู้จัดสรรที่ดินจะพ้นจากหน้าที่บำรุงรักษาสาธารณูปโภคตามมาตรา 43 เมื่อได้ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดภายหลังจากครบกำหนดระยะเวลาที่ผู้จัดสรรที่ดินรับผิดชอบการบำรุงรักษาสาธารณูปโภคตามมาตรา 23 (5) แล้วดังนี้ (1) ผู้ซื้อที่ดินจัดสรรจัดตั้งนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรตาม พ.ร.บ.นี้หรือตามกฎหมายอื่นเพื่อรับโอนทรัพย์สินดังกล่าวไปจัดการบำรุง ดูแล รักษา... (2) ผู้จัดสรรที่ดินได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการให้ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อการบำรุงรักษาสาธารณูปโภค (3) ผู้จัดสรรที่ดินจดทะเบียนโอนทรัพย์สินดังกล่าวให้เป็นสาธารณประโยชน์ จากบทบัญญัติดังกล่าวได้กำหนดหน้าที่และการสิ้นสุดหน้าที่การบำรุงรักษาสาธารณูปโภคของผู้จัดสรรที่ดินเป็น 2 ระยะ ระยะแรกผู้จัดสรรที่ดินมีหน้าที่บำรุงรักษาตามกำหนดเวลาที่ระบุในแผนผังโครงการที่ดินจัดสรรที่ได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการจัดสรรที่ดินตาม พ.ร.บ.การจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 23 (5) และระยะที่สอง เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลารับผิดชอบดังกล่าว ผู้จัดสรรที่ดินมีหน้าที่บำรุงรักษาสาธารณูปโภคต่อไปจนกว่าจะมีการจัดตั้งนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรหรือมีการดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งตามมาตรา 44 (1) (2) (3) (เดิม) ผู้จัดสรรที่ดินจึงต้องดำเนินการก่อสร้างสาธารณูปโภคให้แล้วเสร็จตามกำหนดเวลาตามแผนผังโครงการที่ได้รับอนุญาตเพื่อโอนให้แก่นิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรรับไปดำเนินการจัดการดูแลเพื่อให้ผู้ซื้อที่ดินจัดสรรได้ใช้ประโยชน์จากสาธารณูปโภคได้โดยสมบูรณ์ภายในเวลาอันสมควร ข้อตกลงที่มีผลผลักความรับผิดค่าบำรุงรักษาและการจัดการสาธารณูปโภคไปให้แก่ผู้ซื้อที่ดินจัดสรรก่อนจัดตั้งนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรหรือดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งตามมาตรา 44 (1) (2) (3) (เดิม) ย่อมเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150
สำหรับค่าบริการสาธารณะเป็นคนละกรณีกับค่าบำรุงรักษาสาธารณูปโภค ความรับผิดค่าบริการสาธารณะจึงไม่ตกอยู่ในบังคับมาตรา 43 และ 44 แห่งพ.ร.บ.การจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 ทั้งไม่มีบทบัญญัติใดใน พ.ร.บ.ดังกล่าวกำหนดความรับผิดในค่าบริการสาธารณะที่เกิดขึ้นก่อนจัดตั้งนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรหรือมีการดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งเหมือนการบำรุงรักษาและจัดการสาธารณูปโภค เมื่อผู้ซื้อที่ดินจัดสรรได้รับประโยชน์จากบริการสาธารณะโดยตรง ผู้ซื้อที่ดินจัดสรรย่อมมีหน้าที่ต้องรับผิดในค่าบริการสาธารณะ ข้อตกลงที่ให้ผู้ซื้อที่ดินจัดสรรรับผิดในค่าบริการสาธารณะจึงบังคับกันได้ ไม่เป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ที่โจทก์อ้างส่งสำเนาสัญญาบริการระหว่างโจทก์และจำเลยทั้งสองแนบท้ายฎีกา มีข้อตกลงว่า จำเลยทั้งสองต้องชำระค่าใช้จ่ายให้โจทก์รายเดือน นั้น แม้โจทก์จะเพิ่งส่งเอกสารดังกล่าวในชั้นฎีกาซึ่งล่วงพ้นระยะเวลาการอ้างพยานหลักฐานตามกฎหมายแล้ว แต่พยานเอกสารดังกล่าวเป็นพยานเอกสารสำคัญอันเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญแห่งคดี และเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงสมบูรณ์ครบถ้วนเกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ทั้งจำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและไม่ยื่นคำแก้ฎีกา ศาลฎีกาเห็นสมควรรับฟังสำเนาสัญญาบริการแนบท้ายฎีกา เป็นพยานศาลตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 33 และรับฟังได้ว่าโจทก์และจำเลยทั้งสองทำสัญญาบริการกันจริง เมื่อบริการที่โจทก์จัดทำเป็นบริการสาธารณะ สัญญาบริการจึงใช้บังคับกันได้
แม้โจทก์จะได้รับอนุญาตจัดสรรที่ดินฉบับเดิมปี 2539 ซึ่งออกตามประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 286 ลงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2515 แต่การที่โจทก์ขอขยายโครงการและได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการจัดสรรที่ดินกรุงเทพมหานครให้ทำการแก้ไขแผนผังโครงการจัดสรรในปี 2545 ภายหลัง พ.ร.บ.การจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มีผลใช้บังคับแล้ว ต้องบังคับตาม พ.ร.บ.การจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 อัตราที่เรียกเก็บจึงต้องไม่เกินอัตราที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการจัดสรรที่ดินตาม พ.ร.บ.การจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 53 เช่นกัน เมื่อโจทก์ไม่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการจัดสรรที่ดินกรุงเทพมหานครในอัตราที่เรียกเก็บจำเลยยังคงต้องรับผิดในหนี้ค่าบริการสาธารณะ นั้น และเมื่อคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาล ศาลย่อมมีอำนาจใช้ดุลพินิจกำหนดค่าบริการสาธารณะให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์ในอัตราที่เหมาะสมได้เช่นเดียวกับการกำหนดค่าเสียหายคดีแพ่งทั่วไป
สำหรับค่าบริการสาธารณะเป็นคนละกรณีกับค่าบำรุงรักษาสาธารณูปโภค ความรับผิดค่าบริการสาธารณะจึงไม่ตกอยู่ในบังคับมาตรา 43 และ 44 แห่งพ.ร.บ.การจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 ทั้งไม่มีบทบัญญัติใดใน พ.ร.บ.ดังกล่าวกำหนดความรับผิดในค่าบริการสาธารณะที่เกิดขึ้นก่อนจัดตั้งนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรหรือมีการดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งเหมือนการบำรุงรักษาและจัดการสาธารณูปโภค เมื่อผู้ซื้อที่ดินจัดสรรได้รับประโยชน์จากบริการสาธารณะโดยตรง ผู้ซื้อที่ดินจัดสรรย่อมมีหน้าที่ต้องรับผิดในค่าบริการสาธารณะ ข้อตกลงที่ให้ผู้ซื้อที่ดินจัดสรรรับผิดในค่าบริการสาธารณะจึงบังคับกันได้ ไม่เป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ที่โจทก์อ้างส่งสำเนาสัญญาบริการระหว่างโจทก์และจำเลยทั้งสองแนบท้ายฎีกา มีข้อตกลงว่า จำเลยทั้งสองต้องชำระค่าใช้จ่ายให้โจทก์รายเดือน นั้น แม้โจทก์จะเพิ่งส่งเอกสารดังกล่าวในชั้นฎีกาซึ่งล่วงพ้นระยะเวลาการอ้างพยานหลักฐานตามกฎหมายแล้ว แต่พยานเอกสารดังกล่าวเป็นพยานเอกสารสำคัญอันเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญแห่งคดี และเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงสมบูรณ์ครบถ้วนเกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ทั้งจำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและไม่ยื่นคำแก้ฎีกา ศาลฎีกาเห็นสมควรรับฟังสำเนาสัญญาบริการแนบท้ายฎีกา เป็นพยานศาลตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 33 และรับฟังได้ว่าโจทก์และจำเลยทั้งสองทำสัญญาบริการกันจริง เมื่อบริการที่โจทก์จัดทำเป็นบริการสาธารณะ สัญญาบริการจึงใช้บังคับกันได้
แม้โจทก์จะได้รับอนุญาตจัดสรรที่ดินฉบับเดิมปี 2539 ซึ่งออกตามประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 286 ลงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2515 แต่การที่โจทก์ขอขยายโครงการและได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการจัดสรรที่ดินกรุงเทพมหานครให้ทำการแก้ไขแผนผังโครงการจัดสรรในปี 2545 ภายหลัง พ.ร.บ.การจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มีผลใช้บังคับแล้ว ต้องบังคับตาม พ.ร.บ.การจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 อัตราที่เรียกเก็บจึงต้องไม่เกินอัตราที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการจัดสรรที่ดินตาม พ.ร.บ.การจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 53 เช่นกัน เมื่อโจทก์ไม่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการจัดสรรที่ดินกรุงเทพมหานครในอัตราที่เรียกเก็บจำเลยยังคงต้องรับผิดในหนี้ค่าบริการสาธารณะ นั้น และเมื่อคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาล ศาลย่อมมีอำนาจใช้ดุลพินิจกำหนดค่าบริการสาธารณะให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์ในอัตราที่เหมาะสมได้เช่นเดียวกับการกำหนดค่าเสียหายคดีแพ่งทั่วไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1209/2564
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่ง คสช. 6/2562 ยกเว้นโทษทางอาญาธุรกิจโรงแรมที่ไม่ได้รับอนุญาต หากแจ้งและปรับปรุงความปลอดภัยตามเกณฑ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วินิจฉัยว่า จำเลยมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานประกอบธุรกิจโรงแรมโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียน ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2563 ปรากฏว่า ได้มีคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 6/2562 เรื่อง มาตรการส่งเสริมและพัฒนามาตรฐานการประกอบธุรกิจโรงแรมบางประเภท ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 12 มิถุนายน 2562 เป็นต้นไป ให้ผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมซึ่งใช้อาคารในการประกอบธุรกิจโรงแรมในวันก่อนวันที่คำสั่งนี้มีผลใช้บังคับ และอาคารนั้นมีลักษณะเป็นการฝ่าฝืนการประกอบธุรกิจโรงแรมโดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 15 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.โรงแรม พ.ศ.2547 ไปแจ้งให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นทราบถึงการฝ่าฝืนและดำเนินการปรับปรุงระบบความปลอดภัยด้านอัคคีภัยให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ฉบับที่ 47 (พ.ศ.2540) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 พร้อมทั้งยื่นเอกสารหรือหลักฐานเพื่อประกอบการตรวจสอบ เอกสารท้ายฎีกาของจำเลย เป็นหนังสือขององค์การบริหารส่วนตำบลเกาะสาหร่าย ถึง ม. ผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมที่เกิดเหตุ เรื่อง การแก้ไขอาคารตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 6/2562 โจทก์ได้รับสำเนาฎีกาพร้อมเอกสารดังกล่าว มิได้โต้แย้ง จึงรับฟังหลักฐานได้ว่า สถานที่ประกอบกิจการของ ม. ได้ดำเนินการแก้ไขแล้วเสร็จเรียบร้อย ซึ่งตามคำสั่งของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติดังกล่าวกำหนดให้ได้รับยกเว้นโทษทางอาญา ถือว่าเป็นกรณีกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังยกเว้นโทษให้ผู้กระทำความผิด สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์จึงระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (7)