คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ป้องกันสิทธิ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 91 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5758/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายและการพาอาวุธปืนโดยมีเหตุอันสมควร
ผู้ตายกับพวกถือสิ่งของคล้ายอาวุธปืนเดินเข้ามาหาจำเลยในเขตนากุ้งของจำเลยในเวลาค่ำคืน จำเลยร้องห้ามให้วางสิ่งของดังกล่าว แล้วผู้ตายกับพวกกลับจู่โจมเข้ามาใกล้ประมาณ 2-3 เมตรย่อมมีเหตุให้จำเลยอยู่ในภาวะเข้าใจได้ว่าผู้ตายกับพวกจะเข้ามาทำร้ายและถือได้ว่าเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง จำเลยใช้อาวุธปืนของกลางยิงไปทางผู้ตายกับพวกในภาวะและพฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการป้องกันสิทธิของตนโดยชอบด้วยกฎหมายและพอสมควรแก่เหตุ จำเลยนำอาวุธปืนของกลางซึ่งจำเลยได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนให้มีไว้ในครอบครองติดตัวไปเฝ้านากุ้งของจำเลย ถือไม่ได้ว่าจำเลยพาอาวุธปืนของกลางไปโดยไม่มีเหตุอันสมควร แต่ถือว่าเป็นการพาไปโดยมีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิ,72 ทวิ วรรคสอง แม้จำเลยมิได้ฎีกาความผิดฐานนี้ ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นมาพิจารณาวินิจฉัยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5698/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันสิทธิในฐานะบุคคลใกล้ชิดและการกระทำโดยบันดาลโทสะในคดีทำร้ายร่างกาย
จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบิดาของจำเลยที่ 2 ได้สมัครใจวิวาทชกต่อยกับผู้เสียหายจำเลยที่ 2 เข้าห้ามปรามมิให้ผู้เสียหายทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 1 ผู้เสียหายกลับชกต่อยและเตะจำเลยที่ 2 จนเซไปแม้ผู้เสียหายจะหวนกลับไปทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 1 อีก ก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องในขณะที่วิวาทกัน จำเลยที่ 2จึงไม่มีสิทธิที่จะใช้เก้าอี้ตีผู้เสียหายเพื่อป้องกันจำเลยที่ 1ได้ ทั้งไม่อาจอ้างได้ว่าจำต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนเองด้วยเพราะภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายที่เกิดแก่จำเลยที่ 2 เองคือการถูกผู้เสียหายชกต่อยและเตะจนเซไปได้ผ่านพ้นไปแล้ว แต่ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้กระทำโดยบันดาลโทสะเพราะถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2388/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ป้องกันสิทธิเกินสมควรแก่เหตุ: การแทงเพื่อป้องกันตัวจากการทำร้าย และการช่วยเหลือเพื่อป้องกันภัย
โจทก์ร่วมกับจำเลยที่ 1 เป็นสามีภรรยากันแต่หย่าขาดจากกันแล้ว จำเลยที่ 2 เป็นพี่สาวจำเลยที่ 1 วันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ไปซื้อของในตลาดสดได้พบกับโจทก์ร่วม ส่วนจำเลยที่ 2 นั่งทอดขนมอยู่ในตลาดสดนั้น โจทก์ร่วมหมิ่นประมาทรังแกและทำร้ายจำเลยที่ 1 โดยพูดว่าจำเลยที่ 1 เล่นชู้ จำเลยที่ 1 พูดว่าอย่าพูดมาก โจทก์ร่วมเข้ากอดจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ผลักโจทก์ร่วมออกไปและว่ากล่าวโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมกลับมาจับนมจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงตบหน้าโจทก์ร่วม 1 ที แล้วโจทก์ร่วมตบหน้าจำเลยที่ 1 ทั้งสองข้าง และเตะที่ชายโครง สะโพก และขา จำเลยที่ 1 ล้ม โจทก์ร่วมดึงผมจำเลยที่ 1 ให้ลุกขึ้นใช้เข่ากระแทกบริเวณหน้าท้อง จำเลยที่ 1 จึงใช้มีดซึ่งอยู่ในถุงย่ามที่สะพายติดตัวมาแทงโจทก์ร่วม ปรากฎว่าจำเลยที่ 1 เป็นหญิงสูงเพียง 150 เซนติเมตรโจทก์ร่วมสูง 170 เซนติเมตร หนัก 62 กิโลกรัม สูงใหญ่กว่าจำเลยที่ 1 มากไม่มีหนทางที่จำเลยที่ 1 จะต่อสู้กับโจทก์ร่วมได้เลย การที่จำเลยที่ 1 ใช้มีดซึ่งอยู่ในถุงย่ามที่สะพายติดตัวมาแทงโจทก์ร่วมเพื่อมิให้โจทก์ร่วมทำร้ายจำเลยที่ 1 จึงถือได้ว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการที่ถูกโจทก์ร่วมประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง แต่การที่จำเลยที่ 1 ใช้มีดแทงโจทก์ร่วมถึง 3 ครั้ง ตรงอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย และบาดแผลที่หน้าท้องและที่ด้านข้างลำตัวด้านซ้ายมือ เลือดจากกล้ามเนื้อหน้าท้องไหลลงไปในช่องท้องประมาณ 1,500 ซี.ซี. ซึ่งแพทย์ผู้ตรวจบาดแผลลงความเห็นว่าหากบำบัดรักษาไม่ทันอาจทำให้ถึงตายได้เนื่องจากเสียเลือดมาก จึงเป็นการกระทำที่เกินสมควรแก่เหตุ จำเลยที่ 1 ย่อมมีความผิดฐานพยายามฆ่าโจทก์ร่วมโดยป้องกันสิทธิของตนเกินสมควรแก่เหตุตาม ป.อ. มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 80 และ มาตรา 69
จำเลยที่ 2 เข้าไปช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ในขณะที่โจทก์ร่วมกำลังทำร้ายจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 หยิบไม้ฟืนที่เป็นเชื้อเพลิงใช้ทำขนมซึ่งวางอยู่ใกล้ตัวตีโจทก์ร่วมไปเพียงครั้งเดียวและไม่เลือกว่าที่ส่วนไหนของร่างกายเพื่อป้องกันมิให้โจทก์ร่วมทำร้ายจำเลยที่ 1 เมื่อตีแล้วก็โยนไม้ทิ้งและนั่งขายขนมฝักบัวต่อไป ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 กระทำไปโดยฉับพลันทันทีเพื่อป้องกันจำเลยที่ 1 ให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ย่อมถือได้ว่าเป็นการกระทำป้องกันพอสมควรแก่เหตุจำเลยที่ 2 จึงไม่มีความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2388/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ป้องกันสิทธิเกินสมควรแก่เหตุ: การใช้มีดทำร้ายหลังถูกทำร้ายก่อน และการช่วยเหลือป้องกัน
โจทก์ร่วมกับจำเลยที่ 1 เป็นสมมีภรรยากันแต่หย่าขาดจากกันแล้ว จำเลยที่ 2 เป็นพี่สาวจำเลยที่ 1วันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ไปซื้อของในตลาดสดได้พบกับโจทก์ร่วม ส่วนจำเลยที่ 2 นั่งทอดขนมอยู่ในตลาดสดนั้นโจทก์ร่วมหมิ่นประมาทรังแกและทำร้ายจำเลยที่ 1 โดยพูดว่าจำเลยที่ 1 เล่นชู้ จำเลยที่ 1 พูดว่าอย่าพูดมากโจทก์ร่วมเข้ากอดจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ผลักโจทก์ร่วมออกไปและว่ากล่าวโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมกลับมาจับนมจำเลยที่ 1จำเลยที่ 1 จึงตบหน้าโจทก์ร่วม 1 ที แล้วโจทก์ร่วมตบหน้าจำเลยที่ 1 ทั้งสองข้าง และเตะที่ชายโครง สะโพก และขาจำเลยที่ 1 ล้ม โจทก์ร่วมดึงผมจำเลยที่ 1 ให้ลุกขึ้นใช้เข่ากระแทกบริเวณหน้าท้อง จำเลยที่ 1 จึงใช้มีดซึ่งอยู่ในถุงย่ามที่สะพายติดตัวมาแทงโจทก์ร่วม ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เป็นหญิงสูงเพียง 150 เซนติเมตร โจทก์ร่วมสูง170 เซนติเมตร หนัก 62 กิโลกรัม สูงใหญ่กว่าจำเลยที่ 1มากไม่มีหนทางที่จำเลยที่ 1 จะต่อสู้กับโจทก์ร่วมได้เลยการที่จำเลยที่ 1 ใช้มีดซึ่งอยู่ในถุงย่ามที่สะพายติดตัวมาแทงโจทก์ร่วมเพื่อมิให้โจทก์ร่วมทำร้ายจำเลยที่ 1 จึงถือได้ว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการที่ถูกโจทก์ร่วมประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง แต่การที่จำเลยที่ 1 ใช้มีดแทงโจทก์ร่วมถึง 3 ครั้ง ตรงอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย และบาดแผลที่หน้าท้องและที่ด้านข้างลำตัวด้านซ้ายมือ เลือดจากกล้ามเนื้อหน้าท้องไหลลงไปในช่องท้องประมาณ 1,500 ซี.ซี. ซึ่งแพทย์ผู้ตรวจบาดแผลลงความเห็นว่าหากบำบัดรักษาไม่ทันอาจทำให้ถึงตายได้เนื่องจากเสียเลือดมาก จึงเป็นการกระทำที่เกินสมควรแก่เหตุ จำเลยที่ 1 ย่อมมีความผิดฐานพยายามฆ่าโจทก์ร่วมโดยป้องกันสิทธิของตนเกินสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2885 ประกอบด้วยมาตรา 80และมาตรา 69 จำเลยที่ 2 เข้าไปช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ในขณะที่โจทก์ร่วมกำลังทำร้ายจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 หยิบไม้ฟืนที่เป็นเชื้อเพลิงใช้ทำขนมซึ่งวางอยู่ใกล้ตัวตีโจทก์ร่วมไปเพียงครั้งเดียวและไม่เลือกว่าที่ส่วนไหนของร่างกายเพื่อป้องกันมิให้โจทก์ร่วมทำร้ายจำเลยที่ 1 เมื่อตีแล้วก็โยนไม้ทิ้งและนั่งขายขนมฝักบัวต่อไป ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 กระทำไปโดยฉับพลันทันทีเพื่อป้องกันจำเลยที่ 1 ให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ย่อมถือได้ว่าเป็นการกระทำป้องกันพอสมควรแก่เหตุจำเลยที่ 2 จึงไม่มีความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2388/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายเกินสมควรแก่เหตุ และการกระทำเพื่อช่วยเหลือป้องกัน
การที่จำเลยที่ 1 ถูกโจทก์ร่วมพูดจาหมิ่นประมาทว่าเที่ยวชอบเล่นชู้แล้วรังแกและทำร้าย โดยจำเลยที่ 1 เป็นหญิง ส่วนโจทก์ร่วมเป็นชายมีรูปร่างใหญ่กว่าจำเลยที่ 1 มาก ไม่มีหนทางที่จะต่อสู้ได้จำเลยที่ 1 จึงใช้มีดซึ่งอยู่ในถุงย่ามที่สะพายติดตัวมาแทงโจทก์ร่วมเพื่อมิให้โจทก์ร่วมทำร้ายจำเลยที่ 1 ถือได้ว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการที่ถูกโจทก์ร่วมประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง แต่การที่จำเลยที่ 1 ใช้มีดแทงโจทก์ร่วมถึง 3 ครั้ง ตรงอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย จึงเป็นการกระทำที่เกินสมควรแก่เหตุ จำเลยที่ 1ย่อมมีความผิดฐานพยายามฆ่าโจทก์ร่วมโดยป้องกันสิทธิของตนเกินสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วย มาตรา 80 และมาตรา 69 ส่วนจำเลยที่ 2 ซึ่งเข้าไปช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ในขณะที่โจทก์ร่วมกำลังทำร้ายจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 หยิบไม้ฟืนที่เป็นเชื้อเพลิงใช้ทำขนมซึ่งวางอยู่ใกล้ตัวตีโจทก์ร่วมไปเพียงครั้งเดียวและไม่เลือกว่าที่ส่วนไหนของร่างกายเพื่อป้องกันมิให้โจทก์ร่วมทำร้ายจำเลยที่ 1 เมื่อตีแล้วก็โยนไม้ทิ้งและนั่งขายขนมต่อถือได้ว่าจำเลยที่ 2 กระทำไปโดยฉับพลันทันทีเพื่อป้องกันจำเลยที่ 1ให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ย่อมถือได้ว่าเป็นการกระทำป้องกันพอสมควรแก่เหตุ จำเลยที่ 2 จึงไม่มีความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3364/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันสิทธิในทรัพย์สิน: การกระทำโดยสำคัญผิดในสถานการณ์ฉุกเฉินและการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
ผู้ตายบุกรุกบ้านจำเลยในเวลาประมาณ 22 นาฬิกา โดยเข้าทางบันไดหน้าบ้านจำเลยซึ่งไม่มีประตูหรือฝากั้น จำเลยอยู่ห่างจากผู้ตายไม่มากนัก ร้องถามว่า ใคร ๆ แต่ผู้ตายไม่ตอบ การที่จำเลยสำคัญผิดเข้าใจว่าผู้ตายอาจเป็นคนร้ายที่เข้ามาจะลักทรัพย์หรือชิงทรัพย์ และใช้อาวุธปืนยิงไป 1 นัด เป็นการป้องกันสิทธิในทรัพย์สินของตนพอสมควรแก่เหตุ ถือได้ว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 ประกอบด้วยมาตรา 62

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1035/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจับกุมในที่รโหฐานต้องมีหมายค้น เว้นแต่เจ้าบ้านมีหมายจับ หรือจับตามอำนาจกฎหมาย การต่อสู้เพื่อป้องกันสิทธิเป็นเหตุสมควร
คำว่า "เจ้าบ้าน" ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 92(5) หมายความถึงผู้เป็นหัวหน้าของบุคคลที่พักอาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้นและรวมตลอดถึงคู่สมรสของผู้เป็นหัวหน้าเท่านั้นเพราะบุคคลดังกล่าวเป็นผู้รับผิดชอบในการครอบครองบ้านและปกครองผู้อยู่อาศัยในบ้านหลังนั้น หาได้รวมถึงผู้อยู่ในบ้านทุกคนไม่ ตามทะเบียนบ้านหลังเกิดเหตุมี บ. บิดาจำเลยเป็นหัวหน้ามีชื่อจำเลยอยู่ในฐานะเป็นบุตร จำเลยจึงมิได้อยู่ในฐานะเป็นเจ้าบ้านตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 92(5) การที่ผู้เสียหายกับพวกเข้าไปจับกุมจำเลยในบ้านดังกล่าวตามหมายจับแต่ไม่มีหมายค้น ทั้งผู้เสียหายกับพวกมิใช่เจ้าพนักงานตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่จะทำการค้นได้โดยไม่ต้องมีหมายค้น จึงเป็นการจับกุมโดยไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 81 และเป็นการจับกุมโดยไม่มีอำนาจ จำเลยจึงชอบที่จะป้องกันสิทธิของตนให้พ้นจากภยันตรายอันเกิดจากการจับกุมโดยไม่ชอบเช่นนั้นได้หากจำเลยจะชกต่อยผู้เสียหายจริงก็เป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนพอสมควรแก่เหตุ และไม่มีความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่และทำร้ายร่างกาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 510/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน การป้องกันสิทธิ และเหตุแห่งการกระทำผิด
จำเลยและ อ. โต้เถียงกันก่อนแล้วใช้อาวุธทำร้ายกัน จำเลยชกต่อยแล้วใช้มีดฟันและแทง อ.จนได้รับบาดเจ็บจึงถูกอ. ตีจนได้รับบาดเจ็บ การกระทำของจำเลยมิใช่เกิดจากการที่จำเลย กระทำโดยป้องกันสิทธิของตน.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5640/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันสิทธิภริยาและการมีเจตนาฆ่า: การใช้มีดแทงในเหตุวิวาท
ภริยาจำเลยกับผู้เสียหายสมัครใจทะเลาะวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน มิใช่เป็นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย จำเลยจึงไม่อาจอ้างได้ว่า การที่จำเลยใช้มีดแทงผู้เสียหายเป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของภริยาจำเลย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68
ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางวัน มีดปลายแหลมที่จำเลยใช้ทั้งด้ามยาวถึง 1 ฟุต อาจใช้แทงประทุษร้ายถึงตายได้ จำเลยเลือกแทงตรงอวัยวะสำคัญและแทงโดยแรง ผู้เสียหายได้รับบาดแผลยาว 2 เซนติเมตรกว้าง 1 เซนติเมตร ลึกทะลุเยื่อบุ ช่องท้องอาจทำให้ถึงตายได้จำเลยจะแทงซ้ำอีก แต่มีผู้วิ่งมาถึงที่เกิดเหตุเสียก่อนจำเลยจึงวิ่งหนีไป เช่นนี้ ถือว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่า.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5640/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแทงทำร้ายร่างกายในเหตุทะเลาะวิวาท: เจตนาฆ่าและการป้องกันสิทธิ
ภริยาจำเลยกับผู้เสียหายสมัครใจทะเลาะวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันมิใช่เป็นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย จำเลยจึงไม่อาจอ้างได้ว่า การที่จำเลยใช้มีดแทงผู้เสียหายเป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของภริยาจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 68 ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางวัน มีดปลายแหลมที่จำเลยใช้ยาวทั้งด้าม ถึง 1 ฟุต อาจใช้แทงประทุษร้ายถึงตาย ได้ จำเลยเลือกแทงตรงอวัยวะสำคัญและแทงโดยแรง ผู้เสียหายได้รับบาดแผลยาว 2 เซนติเมตรกว้าง 1 เซนติเมตร ลึกทะลุเยื่อบุ ช่องท้องอาจทำให้ถึงตาย ได้จำเลยจะแทงซ้ำอีก แต่มีผู้วิ่งมาถึงที่เกิดเหตุเสียก่อน จำเลยจึงวิ่งหนีไป เช่นนี้ ถือว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่า.
of 10