พบผลลัพธ์ทั้งหมด 48 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3309/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าพนักงานใช้อำนาจมิชอบเรียกเก็บเงินจากผู้ขับรถ แม้ไม่มีความผิด เป็นความผิดตาม ป.อ.มาตรา 148/149
คืนเกิดเหตุจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันใช้จำเลยที่ 1 ซึ่งมิใช่เจ้าพนักงานตำรวจให้แสดงตนเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ เพื่อเป็นเครื่องมือให้ไปเรียกเก็บเงินจากบรรดาคนขับรถยนต์บรรทุกที่แล่นผ่านไปมาไม่เลือกว่าคนขับรถนั้นจะได้กระทำความผิดต่อกฎหมายหรือไม่ โดยจำเลยที่ 1เข้าไปพูดกับคนขับรถว่า "ตามธรรมเนียม" คนขับรถนั้นแม้มิได้กระทำความผิดก็ต้องจำใจจ่ายเงินให้จำเลยที่ 1 ด้วยความเกรงกลัวต่ออำนาจในการเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ การกระทำของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ดังกล่าวเป็นการร่วมกันใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบข่มขืนใจเพื่อให้คนขับรถยนต์บรรทุกมอบเงินให้แก่จำเลยที่ 1ซึ่งเป็นพวกของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 อันเป็นความผิดตาม ป.อ.มาตรา 148 แล้วและหากรถยนต์บรรทุกคันใดมีการกระทำที่เป็นความผิดต่อกฎหมาย ถ้าจำเลยที่ 1เรียกเอาเงินจากคนขับรถได้แล้ว จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ก็จะไม่ทำการจับกุมการกระทำของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ดังกล่าวย่อมเป็นการร่วมกันเรียกและรับเงินจากคนขับรถยนต์บรรทุกสำหรับตนเองโดยมิชอบเพื่อไม่กระทำการในตำแหน่งคือไม่จับกุมตามหน้าที่ อันเป็นความผิดตามป.อ.มาตรา 149 แต่คืนเกิดเหตุมีการเรียกเก็บเงินหลายครั้งหลายหน จากบรรดาคนขับรถหลาย ๆ คนดังนี้ เมื่อโจทก์รวมการกระทำเหล่านี้ไว้ในฟ้องข้อเดียวกันโดยถือเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท คือผิดทั้งป.อ.มาตรา 148 และ 149 จึงต้องบังคับให้เป็นไปตามคำขอของโจทก์ ซึ่งแต่ละบทมาตรามีโทษเท่ากัน และเมื่อผิดตามบทเฉพาะเช่นนี้แล้วก็ไม่จำต้องปรับบทความผิดตาม ป.อ.มาตรา 157 อันเป็นบททั่วไปอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5594/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้ขับรถไม่ผิด เพราะรถผู้ตายฝ่าไฟแดงตัดหน้า ทำให้เกิดอุบัติเหตุ
ขณะเกิดเหตุจำเลยขับรถมาตามถนนรัชดาภิเษกขาเข้ามุ่งหน้าจะไปห้วยขวางด้วยความเร็วประมาณ 70 - 80 กิโลเมตร ต่อชั่วโมงเป็นการใช้ความเร็วไม่เกินอัตราที่กฎหมายกำหนด อีกทั้งก่อนเกิดเหตุชนกันรถของจำเลยแล่นอยู่ในทางตรงและขณะผ่านสี่แยกที่เกิดเหตุ ช่องเดินรถของจำเลยได้รับสัญญาณไฟเขียว เมื่อปรากฎว่าชนกับรถของ พ. ซึ่งแล่นมาตามถนนรัชดาภิเษกขาออกจะเลี้ยวขวาเข้าถนนสุทธิสารย่อมแสดงว่า พ. เป็นผู้ฝ่าฝืนสัญญาณไฟแดงเลี้ยวขวาตรงสี่แยกที่เกิดเหตุตัดหน้ารถจำเลย ทำให้ภ. ซึ่งโดยสารมากับรถคันดังกล่าวถึงแก่ความตาย ดังนี้ ผลที่เกิดขึ้นหาได้เป็นผลโดยตรงมาจากการที่จำเลยมิได้ชะลอความเร็วของรถลงแต่อย่างใดการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5178/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา การพิสูจน์ผู้ขับรถจริงเพื่อรับผิดละเมิด แม้คดีอาญายกฟ้อง
คดีอาญาที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและได้รับอันตรายสาหัส ถึงที่สุด โดยศาลพิพากษายกฟ้องด้วยเหตุผลว่าพยานหลักฐานโจทก์ยังมีข้อสงสัยว่าจำเลยจะเป็นผู้ขับรถคันเกิดเหตุหรือไม่ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยศาลในคดีแพ่งที่โจทก์ ฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยจึงจำต้องวินิจฉัยให้ได้ความชัดว่าจำเลยเป็นผู้ขับรถคันเกิดเหตุและเป็นผู้ก่อเหตุ ละเมิดหรือไม่ เนื่องจากคำพิพากษาคดีส่วนอาญามิได้ชี้ขาด ว่าจำเลยเป็นผู้ขับรถยนต์โดยประมาทหรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3762/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้ขับรถบรรทุกประมาทเลินเล่อและนายจ้างต่อความเสียหายจากอุบัติเหตุทางถนน
การที่จำเลยที่1ห้ามล้อรถยนต์บรรทุกเป็นระยะทางถึง50เมตรแล้วรถยนต์บรรทุกยังพุ่งข้ามเกาะกลางถนนไปชนรถยนต์ที่ผู้ตายขับสวนทางมาเป็นการแสดงแจ้งชัดอยู่ในตัวว่าจำเลยที่1ขับรถยนต์บรรทุกด้วยความเร็วสูงและโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงถึงขนาดข้ามเกาะกลางถนนไปขวางอยู่ในช่องเดินรถของผู้อื่นที่ไม่อาจจะคาดหมายได้ว่าจำเลยที่1จะขับรถเข้ามาเช่นนั้นดังนั้นเหตุที่เกิดจึงมิใช่เพราะความประมาทเลินเล่อของผู้ตายหากแต่เป็นความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่1เพียงฝ่ายเดียว จำเลยที่1และที่3เคยเป็นลูกจ้างของจำเลยที่2จำเลยที่3ใช้ชื่อจำเลยที่2ในการประกอบการขนส่งวันเกิดเหตุจำเลยที่2สั่งให้จำเลยที่1ขับรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุบรรทุกทรายไปส่งให้ลูกค้าที่กรุงเทพมหานครและยอมรับว่าจำเลยที่1ขับรถยนต์บรรทุกคันดังกล่าวเพื่อกิจการขนส่งและผลประโยชน์ทางการค้าของจำเลยที่2หลังจากเกิดเหตุแล้วจำเลยที่2เป็นผู้เจรจาเรื่องค่าเสียหายกับโจทก์นอกจากนั้นจำเลยที่2มีชื่อเป็นผู้ประกอบการขนส่งโดยได้รับอนุญาตประกอบการขนส่งส่วนบุคคลซึ่งเป็นการขนส่งเพื่อการค้าหรือธุรกิจของจำเลยที่2เองดังนั้นแม้จำเลยที่2จะให้จำเลยที่3เช่าซื้อรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุไปก็เป็นเรื่องกรรมสิทธิ์ในรถเท่านั้นส่วนกิจการขนส่งจำเลยที่2หาได้เลิกไปไม่จำเลยที่2ยังทำกิจการขนส่งร่วมกับจำเลยที่3จำเลยที่2จึงเป็นนายจ้างจำเลยที่1ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ในผลแห่งละเมิดที่จำเลยที่1กระทำต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 406/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทเลินเล่อของผู้ขับรถทั้งสองฝ่าย ทำให้จำเลยไม่ต้องรับผิดค่าเสียหาย
ลูกจ้างของจำเลยขับรถยนต์ด้วยความประมาทเลินเล่อเช่นเดียวกับผู้ขับรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัย ความประมาทเลินเล่อของลูกจ้างจำเลยย่อมไม่อาจมากหรือเกินไปกว่าความประมาทเลินเล่อของผู้ขับรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยได้ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 442 ประกอบด้วยมาตรา 223
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6203/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดเกี่ยวกับป่าไม้ ผู้ขับรถบรรทุกไม้ไม่มีส่วนรู้เห็น ไม่ถือเป็นความผิดสนับสนุน
เจ้าของถ่านไม้ของกลางได้ครอบครองถ่านไม้ของกลางซึ่งเป็นของป่าหวงห้ามปริมาณเกินกว่าที่บุคคลอาจมีไว้ในครอบครองโดยไม่ต้องรับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่อยู่ด้วยตนเอง จำเลยเป็นเพียงผู้รับจ้างขับรถยนต์บรรทุกถ่านไม้ของกลาง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการครอบครองถ่านไม้ของกลาง จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยร่วมกระทำผิดกับเจ้าของถ่านไม้ และจำเลยไม่รู้ว่าเจ้าของถ่านไม้ของกลางไม่มีใบเบิกทางและไม่รู้ว่าถ่านไม้ของกลางมีปริมาณเกินกว่าที่กำหนดตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2526 จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าของถ่านไม้ของกลาง เมื่อจำเลยไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้อง รถยนต์ของกลางจึงไม่ใช่ทรัพย์ที่จำเลยได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำผิด จึงริบรถยนต์ของกลางไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5628/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทเลินเล่อในการขับแซงและปาดเข้าเส้นทาง ทำให้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ ผู้ขับรถต้องรับผิดชอบ
คนขับรถยนต์ของจำเลยที่ 1 เห็นรถยนต์ของจำเลยที่ 3 แล่นสวนทางมาอยู่แล้วก่อนแซงรถยนต์ของโจทก์ อีกทั้งเป็นเวลาพลบค่ำและรถยนต์ของจำเลยที่ 3 ที่แล่นสวนทางลงมาจากเนินเขาย่อมจะเพิ่มอัตราความเร็วขึ้นมาก ซึ่งอาจเป็นเหตุให้กะระยะผิดพลาดได้ แต่คนขับรถยนต์ของจำเลยที่ 1 ยังขับแซงรถยนต์ของโจทก์ แล้วรีบปาดรถเข้ามาในเส้นทางโดยต้องหลีกรถยนต์ของจำเลยที่ 3 ที่แซงรถยนต์คันอื่นแล่นกินทางสวนทางมา ทำให้เกิดภาวะคับขันอันบุคลในภาวะคนขับรถยนต์ทั่ว ๆ ไปไม่ควรกระทำ การที่คนขับรถยนต์ของจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ในลักษณะดังกล่าว เป็นเหตุให้รถยนต์ของจำเลยที่ 1 เฉี่ยวชนกับรถยนต์ของจำเลยที่ 3 แล้วรถยนต์ของจำเลยที่ 3 แฉลบไปชนรถยนต์ของโจทก์ รถยนต์ของโจทก์จึงเสียหลักแล่นไปชนท้ายรถยนต์ของจำเลยที่ 1 เป็นเหตุให้รถยนต์ของโจทก์เสียหาย เช่นนี้ คนขับรถยนต์ของจำเลยที่ 1 จึงเป็นฝ่ายประมาทเลินเล่อด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5188/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดจากสะพานชำรุด: ประมาททั้งสุขาภิบาลและผู้ขับรถบรรทุก, สัญญาประนีประนอมไม่สมบูรณ์
จำเลยซึ่งเป็นสุขาภิบาลมีหน้าที่ดูแลรักษาสะพานให้มีความมั่นคงแข็งแรงและเรียบร้อย เพื่อให้บริการสาธารณูปโภคแก่ประชาชนและผู้ขับรถยนต์ที่สัญจรไปมา การที่จำเลยปล่อยปละละเลยไม่แสดงป้ายห้ามรถยนต์บรรทุกหนักผ่านข้ามสะพาน จึงเป็นความประมาทเลินเล่อของจำเลย แต่เมื่อพิเคราะห์ถึงการที่ ส. ลูกจ้างโจทก์ขับรถยนต์บรรทุกสิบล้อมีน้ำหนัก 9 ตัน และบรรทุกรำหนัก 7,230 กิโลกรัมผ่านสะพานไม้ดังกล่าวซึ่งบุคคลทั่วไปเห็นสภาพแล้วย่อมจะไม่แน่ใจว่าจะรับน้ำหนักรถและสิ่งของที่บรรทุกรวมกันประมาณ 16 ตัน ได้ เหตุที่เกิดขึ้นจึงเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างมากของ ส. อยู่ด้วยและตามพฤติการณ์ ส. มีส่วนประมาทมากกว่า
สำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีมีข้อความเพียงว่า ส.ลูกจ้างโจทก์ตกลงกับกรรมการของจำเลยว่า ส. จะทำสะพานใหม่ได้ ไม่มีข้อความที่แสดงว่าคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายระงับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน จึงมิใช่เป็นสัญญาข้อตกลงระงับหนี้ละเมิดแต่อย่างใด โจทก์ทั้งสองและจำเลยต่างยังคงต้องรับผิดในมูลละเมิดต่อกันอยู่.
สำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีมีข้อความเพียงว่า ส.ลูกจ้างโจทก์ตกลงกับกรรมการของจำเลยว่า ส. จะทำสะพานใหม่ได้ ไม่มีข้อความที่แสดงว่าคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายระงับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน จึงมิใช่เป็นสัญญาข้อตกลงระงับหนี้ละเมิดแต่อย่างใด โจทก์ทั้งสองและจำเลยต่างยังคงต้องรับผิดในมูลละเมิดต่อกันอยู่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 395/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประมาทเลินเล่อทั้งสองฝ่าย: ผู้ขับรถตัดหน้าและผู้ขับรถเร็วเกินไป ทำให้เกิดอุบัติเหตุ ศาลยกฟ้อง
จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ตัดหน้ารถที่ ว. ขับในระยะกระชั้นชิดในขณะที่ ว. ก็ขับรถผ่านทางร่วมทางแยกมาด้วยความเร็วสูงจนไม่อาจหยุดรถได้ทันเป็นเหตุให้รถ ว. เฉี่ยว ชนรถจำเลยที่ 1เช่นนี้ถือได้ว่า ว. มีส่วนประมาทเลินเล่อก่อให้เกิดเหตุรถชนกันให้ได้รับความเสียหายไม่ยิ่งหย่อนกว่าจำเลยที่ 1 โจทก์ที่ 1จึงไม่อาจรับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสองได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3970/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
แม้คดีอาญาศาลยกฟ้อง แต่คดีแพ่งยังฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้ขับรถและประมาท ทำให้เกิดความเสียหาย
จำเลยเคยถูกอัยการฟ้องเป็นคดีอาญา ต่อศาลแขวงในข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส ศาลแขวงวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีพยานยืนยันว่าจำเลยเป็นผู้ขับรถคันเกิดเหตุ คงมีเพียงปากเดียวยืนยันว่าผู้ขับรถเป็นหญิง แต่ไม่ยืนยันว่าเป็นจำเลยจำเลยก็นำสืบปฏิเสธว่าจำเลยไม่ได้เป็นผู้ขับรถคันดังกล่าวพยานหลักฐานโจทก์ไม่พอฟังลงโทษจำเลย พิพากษายกฟ้องคดีถึงที่สุด ดังนี้ถือว่าศาลในคดีอาญาไม่ได้ชี้ขาดว่าจำเลยไม่ได้เป็นคนขับรถคันเกิดเหตุ เมื่อผู้เสียหายในคดีอาญาดังกล่าวเป็นโจทก์ฟ้องทางแพ่งเป็นคดีนี้เรียกค่าเสียหายฐานละเมิดจากจำเลย โจทก์จึงมีสิทธินำพยานเข้าสืบให้ฟังได้ว่าจำเลยเป็นคนขับรถคันเกิดเหตุ