พบผลลัพธ์ทั้งหมด 50 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2023/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจการอายัดทรัพย์สินจากการค้างภาษีอากร: จำกัดเฉพาะผู้ต้องรับผิดเสียภาษี หรือผู้ส่งภาษีอากรเท่านั้น
คำฟ้องโจทก์ที่ขอให้จำเลยทั้งสองเพิกถอนคำสั่งอายัดที่ดินพิพาทของโจทก์มิใช่เป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหายจึงไม่ตกอยู่ในอายุความ1ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา448 ประมวลรัษฎากรมาตรา12ให้อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้ต้องรับผิดเสียภาษีอากรหรือนำส่งภาษีอากรเท่านั้นเมื่อโจทก์มิใช่ผู้ที่ต้องรับผิดเสียภาษีอากรหรือนำส่งภาษีอากรของ ส. และโจทก์ยังเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทตามกฎหมายอยู่แม้จำเลยที่1จะได้ยื่นฟ้องโจทก์และ ส. ขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินพิพาทโดยฉ้อฉลไว้แล้วก็ตามจำเลยที่2ก็ไม่มีอำนาจอายัดที่ดินพิพาทของโจทก์ กรมสรรพากรจำเลยที่1มิได้เป็นผู้สั่งอายัดที่ดินพิพาทจึงไม่ชอบที่จะให้จำเลยที่1เพิกถอนคำสั่งอายัดของผู้ว่าราชการจังหวัดจำเลยที่2ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 541/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีละเมิด: การรับรู้การละเมิดและตัวผู้รับผิด, ผลกระทบคำพิพากษาคดีอาญาต่อคดีแพ่ง
ข้อเท็จจริงในคดีอาญาซึ่งมูลกรณีเป็นเรื่องเดียวกันกับคดีนี้ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาถึงที่สุดได้วินิจฉัยไว้ว่าข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้เบียดบังเอาทรัพย์ตามฟ้องไป ดังนั้นย่อมเห็นได้ว่าคำพิพากษาคดีส่วนอาญาได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงไว้แล้วว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้เบียดบังหรือยักยอกทรัพย์ของโจทก์ไป ฉะนั้นในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจึงต้องถือตามข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 บัญญัติไว้กรณีหาจำต้องคำนึงถึงว่า คำพิพากษาคดีส่วนอาญาศาลได้วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดแล้วหรือไม่ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนได้มีเอกสารรายงานให้กรมตำรวจโจทก์ทราบถึงการละเมิดและตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้วว่าคือจำเลยทั้งสาม เอกสารดังกล่าวส่งถึงกรมตำรวจเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2529 แม้ไม่ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ได้เสนอให้อธิบดีกรมตำรวจทราบเมื่อใด แต่พลตำรวจโท ป. ผู้ปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมตำรวจได้มีคำสั่งตั้งกรรมการสอบสวนจำเลยที่ 1ทางวินัยเกี่ยวกับการละเมิดดังกล่าวเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2529เนื่องจากผู้ปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมตำรวจได้รับรายงานข้อเท็จจริงเอกสารจากกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน จึงฟังได้ว่าโจทก์ได้ทราบถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนว่าคือจำเลยที่ 2 และที่ 3 แล้วตั้งแต่วันที่ 16ธันวาคม 2529 เป็นอย่างช้า เมื่อโจทก์นำคดีมาฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดในวันที่ 2 พฤษภาคม 2531 พ้น 1 ปีนับแต่วันที่โจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน คดีโจทก์จึงขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4742/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องสัญญาจ้างทำของ: เริ่มนับแต่วันตรวจพบความชำรุดบกพร่อง ไม่ใช่นับแต่วันรู้ตัวผู้รับผิด
อายุความเกี่ยวกับการฟ้องผู้รับจ้างตามสัญญาจ้างทำของนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 601ได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะว่าห้ามฟ้องผู้รับจ้างเมื่อพ้นปีหนึ่งนับแต่วันการชำรุดบกพร่องได้ปรากฏขึ้น กล่าวคือ นับแต่วันที่ตรวจพบความชำรุดบกพร่องหาใช่นับแต่เมื่ออธิบดีกรมโจทก์ ซึ่งเป็นผู้ว่าจ้างรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเช่นคดีละเมิดไม่ เพราะผู้ที่พึงต้องใช้ค่าเสียหายก็คือผู้รับจ้างนั่นเอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2417/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงชื่อสลักหลังเช็คด้วยชื่อร้านค้า ถือเป็นการลงลายมือชื่อของตนตามกฎหมาย
คำว่า บุคคลผู้ลงลายมือชื่อของตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 900 วรรคแรก หมายถึง บุคคลธรรมดาที่เขียนลายมือชื่อด้วยตนเองหรือนิติบุคคลตามกฎหมายที่ผู้แทนผู้มีอำนาจกระทำการแทนลงลายมือชื่อกระทำการแทน โดยจะลงชื่อสมมติหรือนามแฝงหรือชื่อเสียงที่ใช้ในทางการค้าซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าหมายถึงบุคคลใด โดยมีเจตนาให้ลายมือชื่อที่ลงในตั๋วเงินเป็นชื่อของตน การที่จำเลยที่ 2เขียนคำว่า แสงรุ้งเรือง ซึ่งเป็นชื่อร้านของจำเลยที่ 2ลงด้านหลังเช็คพิพาททั้งสองฉบับ ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ลงลายมือชื่อของตนในเช็คดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 507/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีชดใช้ค่าเสียหาย: การนับระยะเวลาเริ่มเมื่อโจทก์ทราบการละเมิดและตัวผู้รับผิด
จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่ได้ขับรถโดยประมาทจนเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย แต่ความเสียหายเกิดขึ้นเพราะเหตุสุดวิสัยนั้น แม้ในชั้นอุทธรณ์จำเลยเคยยกปัญหาดังกล่าวขึ้นโต้เถียงไว้ในคำแก้อุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยปัญหาดังกล่าวให้ เพราะจำเลยไม่ได้ยกข้อโต้เถียงเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าไม่ถูกต้องอย่างไร ฎีกาของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย คณะกรรมการสอบสวนหาผู้รับผิดทางแพ่งของโจทก์ได้สอบสวนแล้วมีความเห็นว่า กรณีไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายเพราะเป็นเหตุสุดวิสัยโจทก์จึงไม่อาจรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะต้องพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนได้ โจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเมื่อกระทรวงการคลังแจ้งความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนหาผู้รับผิดทางแพ่งว่าจำเลยขับรถโดยประมาทต้องรับผิดทางแพ่ง โจทก์ฟ้องคดีนี้ยังไม่เกินหนึ่งปีนับแต่โจทก์รู้ถึงการละเมิด และรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 448 วรรคแรก.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 153/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีความรับผิดจากสินค้าขาดบัญชี เริ่มนับแต่วันที่รู้ถึงการละเมิดและตัวผู้รับผิด
ร้านสหกรณ์โจทก์ดำเนินการโดยคณะกรรมการได้ว่าจ้างจำเลยที่ 1เป็นผู้จัดการร้านมีสัญญาว่าถ้า โจทก์ได้รับความเสียหายใด ๆ จำเลยที่ 1 ยอม รับผิดชอบต่อมาผู้ตรวจบัญชี กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ได้ตรวจพบว่าสินค้าของโจทก์ ขาดบัญชี คณะกรรมการของโจทก์ได้ประชุมเมื่อวันที่10 พฤศจิกายน 2526 เห็นว่าการตรวจสอบดังกล่าวถูกต้อง แต่จำเลยที่ 1 จะให้ผู้ตรวจบัญชีเอกชนตรวจสอบใหม่ และมีการประชุมคณะกรรมการอีกในวันที่ 4 และ 17 ธันวาคม 2526 โดยการประชุม2 ครั้งหลัง ปัญหาตัวผู้จะต้องรับผิดต่อสินค้าขาดบัญชีหาได้พิจารณากันไม่ แสดงว่าคณะกรรมการของโจทก์ทราบจากสัญญาและข้อบังคับของโจทก์ตั้งแต่ต้น ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้รับผิดค่าสินค้าที่ขาดบัญชีต้องถือว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะต้องใช้ค่าสินค้าขาดบัญชีตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน 2526 โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 17ธันวาคม 2526 ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 448 หนังสือของจำเลยที่ 1 มีข้อความยอมรับว่ามีสินค้าของโจทก์ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของจำเลยที่ 1 ขาดบัญชี หาได้มีข้อความว่าจำเลยที่ 1 ยอมรับว่าเป็นหนี้ตามสิทธิเรียกร้องของโจทก์และยินยอมจะใช้ค่าสินค้าที่ขาดบัญชีนั้นต่อโจทก์ไม่ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 รับสภาพหนี้ต่อโจทก์ หนังสือของ ป. ซึ่งเป็นภริยาจำเลยที่ 1 ทำถึงโจทก์มีข้อความว่า จำเลยที่ 1 มอบให้ ป. เป็นตัวแทนในการตกลงประนอมหนี้กับโจทก์ เมื่อเป็นการกล่าวอ้างของ ป. เองโดยไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยที่ 1 มอบให้ ป. ดำเนินการดังกล่าวจึงรับฟังเอกสารมายันจำเลยที่ 1 ไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 153/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดี: การรู้ตัวผู้รับผิดและผลของการรับสภาพหนี้
ร้านสหกรณ์ของโจทก์ดำเนินการโดยคณะกรรมการ ตามสัญญาจ้างได้กำหนดความรับผิดของจำเลยที่ 1 ผู้รับจ้างซึ่งทำหน้าที่ผู้จัดการร้านค้าของโจทก์ไว้ว่า ถ้าโจทก์ได้รับความเสียหายใด ๆ ที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ก่อให้เกิดขึ้น จำเลยที่ 1 จะยอมรับผิดชดใช้ให้แก่โจทก์ นอกจากนี้ยังมีข้อบังคับของโจทก์กำหนดให้เป็นหน้าที่ของผู้จัดการร้านค้าของโจทก์ที่จะต้องตรวจตราดูแลสินค้าของโจทก์ให้อยู่ในสภาพอันดีและปลอดภัยอีกด้วย ต่อมาผู้ตรวจบัญชีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ตรวจพบว่าสินค้าของโจทก์ขาดบัญชี คณะกรรมการร้านค้าของโจทก์พิจารณากันในการประชุมครั้งแรก เมื่อวันที่ 10พฤศจิกายน 2526 แล้วเห็นว่าการตรวจสอบของผู้ตรวจบัญชีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ถูกต้อง ฝ่ายจำเลยที่ 1 เห็นว่าไม่ถูกต้องจะขอให้มีการตรวจสอบใหม่โดยผู้ตรวจบัญชีเอกชนซึ่งจำเลยที่ 1จะจัดหามาเอง ต่อมามีการประชุมอีก 2 ครั้ง แต่ก็ไม่ได้พิจารณาถึงปัญหาเกี่ยวกับตัวผู้จะพึงต้องรับผิดใช้ค่าสินค้าขาดบัญชีเพราะคณะกรรมการร้านค้าของโจทก์ทราบจากสัญญาและข้อบังคับของโจทก์อยู่แล้วตั้งแต่ต้นว่าจำเลยที่ 1 จะต้องเป็นผู้รับผิดใช้ค่าสินค้าที่ขาดบัญชี ดังนี้จึงต้องถือว่าโจทก์รู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินค้าขาดบัญชีตั้งแต่วันที่มีการประชุมคณะกรรมการร้านค้าของโจทก์ครั้งแรก แต่โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2527พ้นหนึ่งปีนับแต่วันที่โจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนจึงขาดอายุความ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 448 วรรคแรก เอกสารที่โจทก์อ้างว่าเป็นหนังสือรับสภาพหนี้มีข้อความสำคัญแต่เพียงว่า จำเลยที่ 1 ได้ยอมรับว่ามีสินค้าของโจทก์ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของจำเลยที่ 1 ขาดบัญชีคิดตามราคาทุนเป็นเงิน846,773.97 บาทเท่านั้น หามีข้อความว่าจำเลยที่ 1 ยอมรับว่าเป็นหนี้ตามสิทธิเรียกร้องของโจทก์และยินยอมจะใช้ค่าสินค้าที่ขาดบัญชีนั้นต่อโจทก์ไม่ ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 รับสภาพต่อโจทก์ตามสิทธิเรียกร้องด้วยทำหนังสือรับสภาพให้ อันจะเป็นเหตุให้อายุความฟ้องคดีของโจทก์สะดุดหยุดลง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 172
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4735/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องละเมิด: การรู้ตัวผู้รับผิดและวันที่รู้ถึงการละเมิดเป็นสำคัญ
ผู้บัญชาการทหารอากาศมีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อหาสาเหตุและผู้รับผิดชอบพัสดุสูญหายโดยมิได้ระบุให้แจ้งชัดว่าหาผู้รับผิดชอบในทางแพ่งทางอาญาหรือทางวินัย และจากรายงานผลการสอบสวนของคณะกรรมการมีความเห็นว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดทางวินัยฐานบกพร่องต่อหน้าที่ ส่วนความรับผิดทางแพ่งจะต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อหาตัวผู้รับผิดทางแพ่งต่อไป คณะกรรมการสอบสวนชุดดังกล่าวจึงไม่ใช่คณะกรรมการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดในทางแพ่งดังนั้น ยังถือไม่ได้ว่าผู้บัญชาการทหารอากาศผู้แทนโจทก์ได้รู้ถึงตัวผู้พึงจะต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนในวันที่สั่งลงทัณฑ์จำเลยทั้งสอง ต่อมาเมื่อผู้บัญชาการทหารอากาศมีคำสั่งตั้งคณะกรรมการขึ้นทำการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดในทางแพ่ง คณะกรรมการสอบสวนแล้วมีความเห็นว่าจำเลยทั้งสอง จะต้องรับผิดในทางแพ่ง แล้วรายงานผลการสอบสวนต่อผู้บัญชาการทหารอากาศและผู้บัญชาการทหารอากาศสั่งการให้จำเลยทั้งสองรับผิดในทางแพ่ง เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน2523 ดังนี้ ต้องถือว่าผู้บัญชาการทหารอากาศ ผู้แทนโจทก์รู้ตัวผู้พึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิดในวันดังกล่าว โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2524 ยังไม่พ้น 1 ปี นับแต่วันที่โจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้ที่พึงจะใช้ค่าสินไหมทดแทนฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4735/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความละเมิด: การรู้ตัวผู้รับผิดและวันเริ่มนับอายุความ
การที่ผู้แทนโจทก์สั่งลงทัณฑ์จำเลยทั้งสองตามรายงานของคณะกรรมการ ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์รู้ตัวผู้จะพึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน ต่อมาคณะกรรมการสอบสวนหาผู้รับผิดทางแพ่งรายงานไปยังผู้แทนโจทก์ตามลำดับชั้น ผู้แทนโจทก์รับทราบเมื่อวันที่ 18พฤศจิกายน 2523 จึงถือได้ว่าโจทก์รู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนตั้งแต่วันดังกล่าว โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 3พฤศจิกายน 2524 คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1040/2534 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีแพ่ง: การทราบตัวผู้รับผิดจากการสอบสวนภายใน
การที่โจทก์ได้มีคำสั่งให้คณะกรรมการสอบสวนเพิ่มเติมในประเด็นเกี่ยวกับความรับผิดของจำเลยบางรายการให้ชัดเจน แสดงว่าโจทก์ได้ทราบรายงานผลการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดในทางแพ่งแล้วว่าจำเลยเป็นผู้พึงใช้ค่าสินไหมทดแทน แม้จะไม่ปรากฏแน่ชัดว่าอธิบดีโจทก์ได้ลงนามรับทราบรายงานดังกล่าวเมื่อใด ก็ฟังได้ว่าต้องเป็นช่วงเวลาก่อนหรืออย่างช้าที่สุดในวันที่มีคำสั่งให้คณะกรรมการสอบสวนทำการสอบสวนเพิ่มเติม การที่โจทก์มีคำสั่งดังกล่าวไม่ใช่เหตุที่จะอ้างว่ายังไม่รู้ตัวผู้รับผิด มิฉะนั้นอายุความ 1 ปีที่กฎหมายกำหนดไว้ก็จะขยายออกไปเรื่อย ๆแล้วแต่ความล่าช้าในการดำเนินการของโจทก์ เมื่อนับจากวันที่โจทก์มีคำสั่งดังกล่าวจนถึงวันที่โจทก์ฟ้องคดีพ้นกำหนดเวลา 1 ปีแล้ว คดีโจทก์จึงขาดอายุความ