พบผลลัพธ์ทั้งหมด 251 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8149/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกู้ยืมเงิน, เช็คไม่ลงวันที่, การสลักหลัง, สิทธิเรียกร้องของผู้ทรงเช็ค, ความรับผิดของผู้สั่งจ่ายและผู้สลักหลัง
จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินจากโจทก์และสั่งจ่ายเช็คพิพาทซึ่งจำเลยที่ 2ลงลายมือชื่อสลักหลังให้โจทก์ยึดถือไว้ เมื่อจำเลยที่ 1 ผิดนัดผิดสัญญาไม่ชำระดอกเบี้ยและโจทก์กำหนดเวลาให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้แล้ว จำเลยที่ 1 ไม่ชำระโจทก์มีสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายจะจดแจ้งลงวันเดือนปีในเช็คพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 910 วรรคท้าย ประกอบด้วยมาตรา 989 วรรคหนึ่ง เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินจำเลยที่ 1 ผู้สั่งจ่ายและจำเลยที่ 2 ผู้สลักหลังเช็คพิพาทต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ผู้ทรง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6230/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การออกเช็คเพื่อชำระหนี้เงินกู้ การลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คโดยผู้ไม่ใช่เจ้าของบัญชี ถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.เช็ค
จำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ตามสัญญากู้เงิน ต่อมาจำเลยที่ 1 นำเช็คพิพาทมอบให้โจทก์ โดยมีจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายก่อนแล้ว ซึ่งจำเลยที่ 1ได้กรอกรายการและลงลายมือชื่อเป็นผู้สั่งจ่ายร่วมกับจำเลยที่ 2 และสลักหลังในเช็คพิพาทมอบให้โจทก์ ดังนี้ เมื่อจำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อเป็นผู้สั่งจ่ายในเช็คพิพาท แม้จำเลยที่ 1 ไม่ใช่เจ้าของบัญชีก็ตาม จำเลยที่ 1 ก็ต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คให้แก่ผู้ทรง โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายการที่จำเลยที่ 1 เป็นหนี้เงินกู้โจทก์ตามสัญญากู้เงินแล้วจำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อเป็นผู้สั่งจ่ายในเช็คพิพาทมอบให้โจทก์ เพื่อชำระหนี้เงินกู้ดังกล่าว ถือว่าเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ มาตรา 4
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 85/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คพิพาทจากการเล่นแชร์ แม้ผิดกฎหมายแต่ไม่ตกเป็นโมฆะ ผู้สั่งจ่ายต้องรับผิดตามเช็ค
จำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทและโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทแม้เช็คดังกล่าวโจทก์จะได้มาจากการเล่นแชร์ซึ่งตามพระราชบัญญัติการเล่นแชร์ พ.ศ. 2534 มาตรา 6 ห้ามมิให้บุคคลธรรมดาเป็นนายวงแชร์หรือจัดให้มีการเล่นแชร์ที่มีทุนกองกลางต่อหนึ่งงวดรวมกันทุกวงเป็นมูลค่ามากกว่าจำนวนที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง แต่ในมาตรา 7 ก็บัญญัติให้สิทธิแก่สมาชิกวงแชร์ที่จะฟ้องคดีหรือใช้สิทธิเรียกร้องเอากับนายวงแชร์หรือผู้จัดให้มีการเล่นแชร์ได้ ย่อมแสดงว่ากฎหมายมิได้กำหนดว่าการเล่นแชร์ดังกล่าวตกเป็นโมฆะเสียหมด การที่โจทก์จำเลยกับพวกซึ่งเป็นผู้เข้าร่วมเล่นแชร์มีการประมูลระหว่างกันและจำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ค่าแชร์แล้วเช็คมาอยู่ในความครอบครองของโจทก์ซึ่งเป็นลูกวงแชร์ด้วยกัน ย่อมไม่เป็นการฝ่าฝืนมาตรา 6 นิติกรรมการเล่นแชร์ของโจทก์จำเลยจึงไม่ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 173 จำเลยต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คให้โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 844/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ธนาคารต้องปฏิบัติตามคำสั่งผู้สั่งจ่ายเช็คขีดคร่อมอย่างเคร่งครัด การเรียกเก็บเงินผิดบัญชีถือเป็นการละเมิด
เช็คขีดคร่อมจะใช้เงินตามเช็คนั้นได้แต่เฉพาะให้แก่ธนาคารเท่านั้น ตาม ป.พ.พ. มาตรา 994 วรรคหนึ่ง ดังนี้ เมื่อเช็คพิพาทมีลักษณะพิเศษเช่นนั้น ธนาคารจำเลยที่ 6 ผู้รับเช็คมาเรียกเก็บเงินก็จะต้องปฏิบัติตามคำสั่งของผู้สั่งจ่ายโดยเคร่งครัด กล่าวคือจะต้องเรียกเก็บเงินตามเช็คเพื่อเข้าบัญชีเงินฝากของบริษัท ท. หรือบริษัทจำเลยที่ 1 ผู้รับเงินตามเช็คเท่านั้น จะเรียกเก็บเงินให้แก่ธนาคารจำเลยที่ 6 เพื่อเข้าบัญชีบริษัท อ. ซึ่งเป็นบริษัทอื่นที่มิใช่ผู้รับเงินตามเช็คนั้นไม่ได้เพราะเป็นการปฏิบัติที่ผิดทั้งกฎหมายและระเบียบธนาคารแห่งประเทศไทย จำเลยที่ 6 จะอ้างเพียงว่ากรรมการบริหารของบริษัทจำเลยที่ 1 บริษัท ท. และบริษัท อ. เป็นกรรมการบริหารชุดเดียวกันจึงอนุโลมให้หาได้ไม่ ดังนั้น จึงต้องถือว่าธนาคารจำเลยที่ 6 ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ที่ 1 และต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้น
แม้โจทก์ทั้งสองจะมิได้บรรยายฟ้องโดยใช้ข้อความว่าการที่ธนาคารจำเลยที่ 6 เรียกเก็บเงินตามเช็คเข้าบัญชีของบริษัท อ. ซึ่งเป็นบริษัทอื่น โดยไม่เรียกเก็บเงินเข้าบัญชีของบริษัท ท. หรือบริษัทจำเลยที่ 1 ผู้รับเงินตามที่ระบุในเช็คดังกล่าวเป็นการละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง แต่การที่โจทก์ทั้งสองบรรยายฟ้องว่าธนาคารจำเลยที่ 6 บังอาจเรียกเก็บเงินตามเช็คขีดคร่อมซึ่งขีดฆ่าคำว่า "ผู้ถือ" ออกและกำหนดห้ามโอนเปลี่ยนมือไว้ตามคำสั่งของจำเลยที่ 2 จนได้รับเงินไป การกระทำของจำเลยที่ 6 เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งสอง ย่อมแปลความหมายได้ว่าการกระทำของธนาคารจำเลยที่ 6 เป็นการไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของโจทก์ที่ 1 ผู้สั่งจ่ายเช็คเป็นเหตุให้เจ้าหนี้ของโจทก์ที่ 1 ไม่ได้รับเงินตามเช็คดังกล่าวและโจทก์ที่ 1 ต้องเสียหายเพราะโจทก์ที่ 1 ยังคงมีหน้าที่ต้องชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ของโจทก์ที่ 1 อันเป็นการจงใจทำละเมิดต่อโจทก์ที่ 1 เป็นเหตุให้โจทก์ที่ 1 ต้องเสียหายแก่ทรัพย์สินแล้ว ข้อที่โจทก์ทั้งสองยกขึ้นอุทธรณ์และฎีกาว่าการกระทำดังกล่าวของธนาคารจำเลยที่ 6 เป็นการละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง จึงเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น
แม้โจทก์ทั้งสองจะมิได้บรรยายฟ้องโดยใช้ข้อความว่าการที่ธนาคารจำเลยที่ 6 เรียกเก็บเงินตามเช็คเข้าบัญชีของบริษัท อ. ซึ่งเป็นบริษัทอื่น โดยไม่เรียกเก็บเงินเข้าบัญชีของบริษัท ท. หรือบริษัทจำเลยที่ 1 ผู้รับเงินตามที่ระบุในเช็คดังกล่าวเป็นการละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง แต่การที่โจทก์ทั้งสองบรรยายฟ้องว่าธนาคารจำเลยที่ 6 บังอาจเรียกเก็บเงินตามเช็คขีดคร่อมซึ่งขีดฆ่าคำว่า "ผู้ถือ" ออกและกำหนดห้ามโอนเปลี่ยนมือไว้ตามคำสั่งของจำเลยที่ 2 จนได้รับเงินไป การกระทำของจำเลยที่ 6 เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งสอง ย่อมแปลความหมายได้ว่าการกระทำของธนาคารจำเลยที่ 6 เป็นการไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของโจทก์ที่ 1 ผู้สั่งจ่ายเช็คเป็นเหตุให้เจ้าหนี้ของโจทก์ที่ 1 ไม่ได้รับเงินตามเช็คดังกล่าวและโจทก์ที่ 1 ต้องเสียหายเพราะโจทก์ที่ 1 ยังคงมีหน้าที่ต้องชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ของโจทก์ที่ 1 อันเป็นการจงใจทำละเมิดต่อโจทก์ที่ 1 เป็นเหตุให้โจทก์ที่ 1 ต้องเสียหายแก่ทรัพย์สินแล้ว ข้อที่โจทก์ทั้งสองยกขึ้นอุทธรณ์และฎีกาว่าการกระทำดังกล่าวของธนาคารจำเลยที่ 6 เป็นการละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง จึงเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4768/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คผู้ถือ การรับรอง (Aval) ความรับผิดของผู้สั่งจ่าย และการยกข้อต่อสู้เรื่องการฉ้อฉล
เช็คพิพาททั้ง 2 ฉบับ จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายระบุผู้รับเงินคือจำเลยที่ 2โดยมิได้ขีดฆ่าคำว่า ผู้ถือ ในเช็คออก จึงเป็นเช็คผู้ถือผู้จ่ายอาจจ่ายเงินให้แก่จำเลยที่ 2 หรือบุคคลใดก็ได้ที่มีเช็คอยู่ในครอบครอง การที่จำเลยที่ 2สลักหลังโอนให้แก่โจทก์ ย่อมเป็นประกัน (อาวัล) ผู้สั่งจ่าย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 921 จำเลยที่ 2 ต้องผูกพันตนเป็นอย่างเดียวกันกับจำเลยที่ 1ผู้สั่งจ่าย ตามมาตรา 940 วรรคหนึ่งโจทก์เป็นผู้ครอบครองเช็คพิพาทซึ่งเป็นเช็คผู้ถือ โจทก์ย่อมเป็นผู้ทรงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 904
การที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คอ้างว่าโจทก์รับโอนเช็คมาจากจำเลยที่ 2 ได้มีขึ้นด้วยคบคิดกันฉ้อฉล จำเลยที่ 1 จึงมีหน้าที่นำสืบและจะนำสืบได้ก็ต่อเมื่อจำเลยที่ 1 ได้ยกเรื่องดังกล่าวเป็นข้อต่อสู้ไว้ในคำให้การโดยชัดแจ้งว่าจำเลยที่ 1 ยอมรับหรือปฏิเสธคำฟ้องโจทก์ เหตุแห่งการนั้นอีกด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง
จำเลยที่ 1 ให้การแต่เพียงว่า จำเลยที่ 2 กับโจทก์ได้ร่วมกันกระทำการโดยไม่สุจริต กล่าวคือ จำเลยที่ 2 ได้โอนเช็คพิพาททั้งสองฉบับและฉบับอื่นให้แก่โจทก์ด้วยคบคิดกันฉ้อฉล โดยที่จำเลยที่ 2 มิได้เป็นหนี้โจทก์ โจทก์จึงมิใช่ผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายคำให้การดังกล่าวเป็นเพียงคำให้การปฏิเสธที่ไม่มีรายละเอียดแห่งการปฏิเสธว่าคบคิดกันฉ้อฉลอย่างไรจำเลยที่ 1 จึงไม่อาจนำพยานเข้าสืบตามข้อต่อสู้ได้ แต่ตามคำให้การที่ว่าจำเลยที่ 2 มิได้เป็นหนี้โจทก์โจทก์จึงมิใช่ผู้ทรงโดยชอบ เท่ากับจำเลยที่ 1ต่อสู้ว่าสิทธิของโจทก์ที่ได้เช็คมานั้นไม่สมบูรณ์ ซึ่งทำให้โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเงินตามเช็คที่ฟ้องในฐานะผู้ทรงเนื่องจากไม่มีมูลหนี้นั่นเอง จำเลยที่ 1ย่อมกล่าวอ้างและนำสืบได้เพราะเป็นการยกขึ้นต่อสู้ที่มีต่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงคนปัจจุบัน
การที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คอ้างว่าโจทก์รับโอนเช็คมาจากจำเลยที่ 2 ได้มีขึ้นด้วยคบคิดกันฉ้อฉล จำเลยที่ 1 จึงมีหน้าที่นำสืบและจะนำสืบได้ก็ต่อเมื่อจำเลยที่ 1 ได้ยกเรื่องดังกล่าวเป็นข้อต่อสู้ไว้ในคำให้การโดยชัดแจ้งว่าจำเลยที่ 1 ยอมรับหรือปฏิเสธคำฟ้องโจทก์ เหตุแห่งการนั้นอีกด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง
จำเลยที่ 1 ให้การแต่เพียงว่า จำเลยที่ 2 กับโจทก์ได้ร่วมกันกระทำการโดยไม่สุจริต กล่าวคือ จำเลยที่ 2 ได้โอนเช็คพิพาททั้งสองฉบับและฉบับอื่นให้แก่โจทก์ด้วยคบคิดกันฉ้อฉล โดยที่จำเลยที่ 2 มิได้เป็นหนี้โจทก์ โจทก์จึงมิใช่ผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายคำให้การดังกล่าวเป็นเพียงคำให้การปฏิเสธที่ไม่มีรายละเอียดแห่งการปฏิเสธว่าคบคิดกันฉ้อฉลอย่างไรจำเลยที่ 1 จึงไม่อาจนำพยานเข้าสืบตามข้อต่อสู้ได้ แต่ตามคำให้การที่ว่าจำเลยที่ 2 มิได้เป็นหนี้โจทก์โจทก์จึงมิใช่ผู้ทรงโดยชอบ เท่ากับจำเลยที่ 1ต่อสู้ว่าสิทธิของโจทก์ที่ได้เช็คมานั้นไม่สมบูรณ์ ซึ่งทำให้โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเงินตามเช็คที่ฟ้องในฐานะผู้ทรงเนื่องจากไม่มีมูลหนี้นั่นเอง จำเลยที่ 1ย่อมกล่าวอ้างและนำสืบได้เพราะเป็นการยกขึ้นต่อสู้ที่มีต่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงคนปัจจุบัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 457/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับผิดในตั๋วเงิน: ผู้สั่งจ่ายและผู้ลงลายมือชื่อในฐานะผู้แทน
++ เรื่อง ตั๋วเงิน รับช่วงสิทธิ ++
++
++ ทดสอบการทำงานในระบบ CW เพื่อค้นหาข้อมูลทาง online ++
++ ย่อข้อกฎหมายอย่างไม่เป็นทางการ
++ พิมพ์จากสำเนาชุดพิเศษ ++
++
++
++ ธนาคารตามเช็คได้มอบเช็คพิพาทให้แก่บริษัทจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกค้าประเภทบัญชีกระแสรายวัน จึงต้องถือว่าจำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียว เป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาท ส่วนการที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นกรรมการที่มีอำนาจได้ลงลายมือชื่อและประทับตราจำเลยที่ 1 ในช่องผู้สั่งจ่าย ก็เป็นไปตามข้อบังคับของจำเลยที่ 1 ต้องตามบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ.มาตรา 70 วรรคสอง และมาตรา 900 ต้องถือว่าจำเลยที่ 2ลงลายมือชื่อในฐานะผู้แทนของจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดตามเช็คต่อผู้ทรงเป็นส่วนตัวหากจำเลยที่ 2 กระทำการให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยที่ 1 เพราะปฏิบัติหน้าที่บกพร่องก็เป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 หรือผู้ถือหุ้นจะใช้สิทธิตามกฎหมายดำเนินการให้จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดต่อจำเลยที่ 1 ต่อไป
++
++ ทดสอบการทำงานในระบบ CW เพื่อค้นหาข้อมูลทาง online ++
++ ย่อข้อกฎหมายอย่างไม่เป็นทางการ
++ พิมพ์จากสำเนาชุดพิเศษ ++
++
++
++ ธนาคารตามเช็คได้มอบเช็คพิพาทให้แก่บริษัทจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกค้าประเภทบัญชีกระแสรายวัน จึงต้องถือว่าจำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียว เป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาท ส่วนการที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นกรรมการที่มีอำนาจได้ลงลายมือชื่อและประทับตราจำเลยที่ 1 ในช่องผู้สั่งจ่าย ก็เป็นไปตามข้อบังคับของจำเลยที่ 1 ต้องตามบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ.มาตรา 70 วรรคสอง และมาตรา 900 ต้องถือว่าจำเลยที่ 2ลงลายมือชื่อในฐานะผู้แทนของจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดตามเช็คต่อผู้ทรงเป็นส่วนตัวหากจำเลยที่ 2 กระทำการให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยที่ 1 เพราะปฏิบัติหน้าที่บกพร่องก็เป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 หรือผู้ถือหุ้นจะใช้สิทธิตามกฎหมายดำเนินการให้จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดต่อจำเลยที่ 1 ต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 457/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้สั่งจ่ายเช็คคือบริษัท ไม่ใช่กรรมการ แม้กรรมการลงลายมือชื่อตามข้อบังคับบริษัท
ธนาคารตามเช็คได้มอบเช็คพิพาทให้แก่บริษัทจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกค้าประเภทบัญชีกระแสรายวัน จึงต้องถือว่าจำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียว เป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาท ส่วนการที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นกรรมการที่มีอำนาจได้ลงลายมือชื่อและประทับตราจำเลยที่ 1 ในช่องผู้สั่งจ่าย ก็เป็นไปตามข้อบังคับของจำเลยที่ 1 ต้องตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 70 วรรคสอง และมาตรา 900 ต้องถือว่าจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อในฐานะผู้แทนของจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดตามเช็คต่อผู้ทรงเป็นส่วนตัวหากจำเลยที่ 2 กระทำการให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยที่ 1 เพราะปฏิบัติหน้าที่บกพร่องก็เป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 หรือผู้ถือหุ้นจะใช้สิทธิตามกฎหมายดำเนินการให้จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดต่อจำเลยที่ 1 ต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1173/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้สั่งจ่ายเช็ค: ภาระการพิสูจน์และเหตุยกเว้นความรับผิด
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 900 วรรคหนึ่ง,914และมาตรา 989 วรรคหนึ่ง บุคคลผู้ลงลายมือชื่อในเช็คจะต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็ค ภาระการพิสูจน์ว่าเช็คพิพาทไม่มีลูกหนี้ต่อโจทก์จึงตกแก่จำเลยผู้สั่งจ่ายแต่ทางนำสืบของจำเลยไม่ปรากฏเหตุผลให้รับฟังได้ว่า หากจำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทเพื่อการร่วมลงทุนในบริษัท ย. เหตุใดเมื่อบริษัทเลิกกิจการ จำเลยจึงไม่ทวงเช็คพิพาทคืนจากโจทก์และในทางนำสืบของจำเลยก็ระบุว่านาย ข. กรรมการบริษัทดังกล่าวถูกโจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็คซึ่งสั่งจ่ายให้ไว้แก่โจทก์เช่นเดียวกับจำเลยในวิสัยเช่นนี้ จำเลยก็ชอบที่จะสืบนาย ข. หรือกรรมการอีก 3 คน เป็น พยานสนับสนุนข้อต่อสู้ฝ่ายตนแต่จำเลยหากระทำไม่ ฉะนั้นพยานหลักฐาน จำเลยจึงยังไม่มีเหตุผลเพียงพอให้มีน้ำหนักรับฟังได้ว่า จำเลยไม่มีมูลหนี้ ตามเช็คพิพาทต่อโจทก์ตามหน้าที่ที่จำเลยมีภาระการพิสูจน์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7897/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสละสิทธิเรียกร้องตามเช็คจากการทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ทำให้ไม่มีสิทธิเรียกร้องจากผู้สั่งจ่ายอีก
จำเลยลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทในการซื้อเครื่องรับโทรทัศน์มอบให้แก่บริษัท พ. แต่บริษัทมิได้ส่งมอบเครื่องรับโทรทัศน์ให้ จำเลยจึงมีคำสั่งให้ธนาคารระงับการจ่ายเงิน เมื่อปรากฏว่าบริษัท พ. ได้นำเช็คพิพาทไปขายลดแก่โจทก์ต่อมาโจทก์ในฐานะผู้ทรงเช็คคนก่อนได้ฟ้องบริษัท พ. ให้ชำระหนี้ตามสัญญาขายลดเช็คซึ่งมีเช็คพิพาทรวมอยู่ด้วย โจทก์และบริษัท พ. ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยบริษัท พ. ยอมชำระเงินให้โจทก์ตามฟ้อง ถือได้ว่าโจทก์สละสิทธิเรียกร้องตามเช็คพิพาทไปแล้ว โดยโจทก์ได้สิทธิตามที่แสดงในสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์จึงไม่มีสิทธินำเช็คพิพาทมาเรียกร้องให้จำเลยซึ่งเป็นผู้สั่งจ่ายชำระเงินแก่โจทก์อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2201/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้สั่งจ่ายแคชเชียร์เช็คต้องรับผิดต่อผู้ทรงเช็คโดยตรง แม้จะออกเช็คฉบับใหม่แล้ว
++ เรื่อง ตั๋วเงิน
++ โปรดดูย่อจากหนังสือคำพิพากษาศาลฎีกา สำนักงานศาลยุติธรรม
++ เล่มที่ 8 หน้า 71 ++
++ ขอดูชุดพิเศษโปรดติดต่อห้องบริการเอกสารสำเนาคำพิพากษา (ห้องสมุด) ชั้น 4, 5 ++
++ โปรดดูย่อจากหนังสือคำพิพากษาศาลฎีกา สำนักงานศาลยุติธรรม
++ เล่มที่ 8 หน้า 71 ++
++ ขอดูชุดพิเศษโปรดติดต่อห้องบริการเอกสารสำเนาคำพิพากษา (ห้องสมุด) ชั้น 4, 5 ++