พบผลลัพธ์ทั้งหมด 869 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1080/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยายามฆ่าด้วยอาวุธปืน: ความรุนแรงของอาวุธมีผลต่อการพิจารณาความผิด
จำเลยใช้อาวุธปืนลูกซองสั้นเล็งยิงผู้เสียหายที่บริเวณหน้าอกในระยะห่างเพียง 1.5 เมตร โดยปกติกระสุนปืนจะกระจายออกเป็นวงทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้ กลับปรากฏว่าผู้เสียหายมีบาดแผลถลอก และไม่พบบาดแผลที่บริเวณอื่นของร่างกาย แพทย์ลงความเห็นว่าใช้เวลาในการรักษา 5 ถึง 7 วัน และผู้เสียหายเบิกความยืนยันว่ากระสุนปืนไม่ทะลุร่างกายและไม่ทะลุเสื้อ แสดงให้เห็นว่า กระสุนปืนไม่มีความรุนแรงพอที่จะทำอันตรายทะลุเสื้อและผิวหนังเข้าสู่ร่างกายของผู้เสียหาย อาวุธปืนที่จำเลยใช้ยิงผู้เสียหายจึงไม่มีความร้ายแรงพอที่จะทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้อย่างแน่แท้ เพราะเหตุอาวุธปืนซึ่งเป็นปัจจัยที่ใช้ในการกระทำความผิด การกระทำของจำเลยจึงเป็นการพยายามกระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 81 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 985/2546 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่า พยายามฆ่า หน่วงเหนี่ยวกักขัง ชิงทรัพย์ อนาจาร: การกระทำผิดหลายกรรมต่างกัน
จำเลยใช้แขนล็อกคอผู้เสียหายแล้วลากไปที่คูน้ำข้างถนนกดตัวผู้เสียหายลงไปในน้ำจนมิดศีรษะหมดสติและปอดอักเสบเนื่องจากสำลักน้ำ ทำให้ปอดสูญเสียสมรรถภาพของถุงลมไม่สามารถแลกเปลี่ยนอากาศได้เป็นเวลา 4 สัปดาห์ ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจประมาณ 1 สัปดาห์ จำเลยย่อมเล็งเห็นผลว่าอาจทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้ ถือว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย เมื่อจำเลยลงมือกระทำความผิดไปโดยตลอดแล้ว แต่ไม่บรรลุผล จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย
จำเลยจับผู้เสียหายกดน้ำจนหมดสติ เป็นการกระทำผิดฐานพยายามฆ่าสำเร็จขาดตอนไปแล้ว จำเลยจึงอุ้มผู้เสียหายขึ้นรถยนต์ของจำเลย เมื่อ ก. ตามมาพูดขอตัวผู้เสียหายเพื่อนำไปส่งโรงพยาบาลจำเลยไม่ยอมคืนให้ จึงเป็นการหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหาย ซึ่งมีเจตนาต่างหากอีกกรรมหนึ่ง หลังจากผู้เสียหายรู้สึกตัวแล้วเปิดประตู รถยนต์ที่จำเลยขับทิ้งตัวลงบนถนนหลบหนี จำเลยจอดรถวิ่งไล่ตามแล้วกระชากผมผู้เสียหายลากเข้าไปที่พงหญ้าแล้วกระชากเสื้อผู้เสียหายหลุดออก เห็นสร้อยคอพร้อมพระเลี่ยมทองจึงกระชากมาเป็นของตนอันเป็นการกระทำผิดฐานชิงทรัพย์อีกกรรมหนึ่งต่อจากนั้นจำเลยดึงกางเกงของผู้เสียหายหลุดออกอันเป็นการกระทำผิดฐานอนาจารผู้เสียหายอีกกรรมหนึ่ง เมื่อการกระทำผิดของจำเลยกระทำด้วยเจตนาต่างกันในช่วงเวลาที่ต่างกันแม้จะกระทำต่อเนื่องกันแต่ได้กระทำความผิดแต่ละฐานหลังจากกระทำความผิดฐานหนึ่งเสร็จสิ้นแล้ว จึงเป็นการกระทำผิดหลายกรรมต่างกัน
จำเลยจับผู้เสียหายกดน้ำจนหมดสติ เป็นการกระทำผิดฐานพยายามฆ่าสำเร็จขาดตอนไปแล้ว จำเลยจึงอุ้มผู้เสียหายขึ้นรถยนต์ของจำเลย เมื่อ ก. ตามมาพูดขอตัวผู้เสียหายเพื่อนำไปส่งโรงพยาบาลจำเลยไม่ยอมคืนให้ จึงเป็นการหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหาย ซึ่งมีเจตนาต่างหากอีกกรรมหนึ่ง หลังจากผู้เสียหายรู้สึกตัวแล้วเปิดประตู รถยนต์ที่จำเลยขับทิ้งตัวลงบนถนนหลบหนี จำเลยจอดรถวิ่งไล่ตามแล้วกระชากผมผู้เสียหายลากเข้าไปที่พงหญ้าแล้วกระชากเสื้อผู้เสียหายหลุดออก เห็นสร้อยคอพร้อมพระเลี่ยมทองจึงกระชากมาเป็นของตนอันเป็นการกระทำผิดฐานชิงทรัพย์อีกกรรมหนึ่งต่อจากนั้นจำเลยดึงกางเกงของผู้เสียหายหลุดออกอันเป็นการกระทำผิดฐานอนาจารผู้เสียหายอีกกรรมหนึ่ง เมื่อการกระทำผิดของจำเลยกระทำด้วยเจตนาต่างกันในช่วงเวลาที่ต่างกันแม้จะกระทำต่อเนื่องกันแต่ได้กระทำความผิดแต่ละฐานหลังจากกระทำความผิดฐานหนึ่งเสร็จสิ้นแล้ว จึงเป็นการกระทำผิดหลายกรรมต่างกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 985/2546
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยายามฆ่า, หน่วงเหนี่ยว, ชิงทรัพย์, อนาจาร: การกระทำผิดหลายกรรมต่างกันและเจตนาต่อเนื่อง
จำเลยใช้แขนล็อกคอผู้เสียหายด้านหลังแล้วลากผู้เสียหายไปที่คูน้ำข้างถนนกดตัวผู้เสียหายลงไปในน้ำจนมิดศีรษะทำให้ผู้เสียหายหมดสติ ซึ่งจากการตรวจร่างกายผู้เสียหาย ปรากฏว่าปอดอักเสบเนื่องจากสำลักน้ำ โดยแพทย์ให้ความเห็นว่าคนที่สำลักน้ำหายใจเอาอากาศเข้าไปไม่ได้ หากไม่ได้หายใจภายใน 5 นาที จะถึงแก่ความตาย ถ้าถูกกดน้ำหายใจไม่ออกไม่ถึง 5 นาที จะมีผลต่อปอดและขาดโลหิตไปหล่อเลี้ยงสมองทำให้ไม่รู้สึกตัว และทำให้ถุงลมเสียสมรรถภาพในการแลกเปลี่ยนอากาศ ซึ่งกรณีของผู้เสียหายมีผลทางสมองเล็กน้อย แต่ปอดนั้นสูญเสียสมรรถภาพของถุงลมไม่สามารถแลกเปลี่ยนอากาศได้เป็นเวลา 4 สัปดาห์ ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจประมาณ 1 สัปดาห์ ดังนั้น การที่จำเลยกดหน้าผู้เสียหายลงไปในคูน้ำเป็นเวลานานจำเลยย่อมเล็งเห็นผลว่าอาจทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้ ถือว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย เมื่อจำเลยลงมือกระทำความผิดไปโดยตลอดแล้ว แต่การกระทำไม่บรรลุผล เนื่องจากผู้เสียหายเพียงแต่หมดสติไปชั่วขณะไม่ถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของจำเลย จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย
การที่จำเลยจับผู้เสียหายกดน้ำจนหมดสติ อันเป็นการกระทำผิดฐานพยายามฆ่าสำเร็จขาดตอนไปแล้ว จำเลยจึงอุ้มผู้เสียหายขึ้นรถยนต์ของจำเลย ซึ่ง ก. ได้ตามมาพูดขอตัวผู้เสียหายเพื่อนำไปส่งโรงพยาบาล แต่จำเลยไม่ยอมคืนให้ จึงเป็นการหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหาย ซึ่งมีเจตนาต่างหากอีกกรรมหนึ่ง หลังจากผู้เสียหายรู้สึกตัวแล้วเปิดประตูรถยนต์ที่จำเลยกำลังขับทิ้งตัวลงบนถนนเพื่อหลบหนี จำเลยจอดรถวิ่งไล่ตามแล้วกระชากผมผู้เสียหายลากเข้าไปที่พงหญ้าแล้วกระชากเสื้อผู้เสียหายหลุดออก เห็นสร้อยคอพร้อมพระเลี่ยมทองจึงกระชากมาเป็นของตน อันเป็นการกระทำผิดฐานชิงทรัพย์อีกกรรมหนึ่ง ต่อจากนั้นจำเลยดึงกางเกงของผู้เสียหายหลุดออกผู้เสียหายบอกจำเลยว่าเป็นโรคเอดส์ จำเลยมีอาการลังเล ผู้เสียหายจึงลุกขึ้นวิ่งหนีไปอันเป็นการกระทำฐานอนาจารผู้เสียหายอีกกรรมหนึ่ง เมื่อการกระทำผิดของจำเลยดังกล่าวกระทำด้วยเจตนาต่างกันในช่วงเวลาที่ต่างกัน แม้จะกระทำต่อเนื่องกันแต่ได้กระทำความผิดแต่ละฐานหลังจากกระทำความผิดฐานหนึ่งเสร็จสิ้นแล้ว จึงเป็นการกระทำผิดหลายกรรมต่างกัน
การที่จำเลยจับผู้เสียหายกดน้ำจนหมดสติ อันเป็นการกระทำผิดฐานพยายามฆ่าสำเร็จขาดตอนไปแล้ว จำเลยจึงอุ้มผู้เสียหายขึ้นรถยนต์ของจำเลย ซึ่ง ก. ได้ตามมาพูดขอตัวผู้เสียหายเพื่อนำไปส่งโรงพยาบาล แต่จำเลยไม่ยอมคืนให้ จึงเป็นการหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหาย ซึ่งมีเจตนาต่างหากอีกกรรมหนึ่ง หลังจากผู้เสียหายรู้สึกตัวแล้วเปิดประตูรถยนต์ที่จำเลยกำลังขับทิ้งตัวลงบนถนนเพื่อหลบหนี จำเลยจอดรถวิ่งไล่ตามแล้วกระชากผมผู้เสียหายลากเข้าไปที่พงหญ้าแล้วกระชากเสื้อผู้เสียหายหลุดออก เห็นสร้อยคอพร้อมพระเลี่ยมทองจึงกระชากมาเป็นของตน อันเป็นการกระทำผิดฐานชิงทรัพย์อีกกรรมหนึ่ง ต่อจากนั้นจำเลยดึงกางเกงของผู้เสียหายหลุดออกผู้เสียหายบอกจำเลยว่าเป็นโรคเอดส์ จำเลยมีอาการลังเล ผู้เสียหายจึงลุกขึ้นวิ่งหนีไปอันเป็นการกระทำฐานอนาจารผู้เสียหายอีกกรรมหนึ่ง เมื่อการกระทำผิดของจำเลยดังกล่าวกระทำด้วยเจตนาต่างกันในช่วงเวลาที่ต่างกัน แม้จะกระทำต่อเนื่องกันแต่ได้กระทำความผิดแต่ละฐานหลังจากกระทำความผิดฐานหนึ่งเสร็จสิ้นแล้ว จึงเป็นการกระทำผิดหลายกรรมต่างกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5874/2546 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสนับสนุนความผิดพยายามฆ่า: จำเลยต้องมีส่วนร่วมก่อนหรือขณะกระทำความผิด จึงจะมีความผิดฐานสนับสนุน
โจทก์ร่วมกับจำเลยและ ฉ. พวกจำเลยไม่เคยรู้จักและไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน โจทก์ร่วมพบกับจำเลยและ ฉ. ในที่เกิดเหตุโดยบังเอิญ การที่โจทก์ร่วมเดินเข้าไปหากลุ่มของจำเลยกับ ฉ. แล้วถูก ฉ. ใช้อาวุธปืนยิงถูกบริเวณช่องท้อง 1 นัด เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในทันทีทันใด การที่ ฉ. ใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมจึงเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า จำเลยหาได้ร่วมวางแผนหรือสมคบคิดกับ ฉ. ด้วยไม่ แม้ภายหลังที่ ฉ. ใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมแล้ว ฉ. กับจำเลยจะวิ่งออกไปจากที่เกิดเหตุด้วยกัน แล้ว ฉ. นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่จำเลยขับหลบหนีไปก็เป็นเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นภายหลังที่ ฉ. ใช้อาวุธปืนยิงพยายามฆ่าโจทก์ร่วมแล้ว การกระทำของจำเลยมิได้เกิดขึ้นก่อนหรือขณะ ฉ. ใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วม จึงไม่อาจถือว่าเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกก่อนหรือขณะที่ ฉ. ใช้อาวุธปืนยิง โจทก์ร่วมแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานสนับสนุนผู้อื่นกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5874/2546
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสนับสนุนการกระทำผิดฐานพยายามฆ่า: จำเลยไม่ได้มีส่วนร่วมวางแผนหรือช่วยเหลือขณะเกิดเหตุ
จำเลยและ ฉ. พวกจำเลยซึ่งใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมไม่เคยรู้จักและไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับโจทก์ร่วมมาก่อน การที่โจทก์ร่วมเดินเข้าไปหากลุ่มของจำเลยกับ ฉ. แล้วถูก ฉ. ใช้อาวุธปืนยิงถูกบริเวณช่องท้อง 1 นัด เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในทันทีทันใดโดยจำเลยไม่อาจคาดคิด การที่ ฉ. ใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมจึงเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า จำเลยมิได้ร่วมวางแผนหรือสมคบคิดกับ ฉ. ด้วย แม้ ฉ. กับจำเลยจะวิ่งออกไปจากที่เกิดเหตุด้วยกันแล้ว ฉ. นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่จำเลยขับหลบหนีไปก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลัง จึงไม่อาจถือได้ว่าเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกก่อนหรือขณะ ฉ. ใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วม จึงไม่เป็นความผิดฐานสนับสนุนผู้อื่นกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2721/2546
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยายามฆ่าจากอาการป่วยจิตเวช: ศาลลดโทษด้วยเหตุผลทางการแพทย์และรอการลงโทษ
จำเลยใช้อาวุธปืนลูกซองยาวขนาด 12 ยิงผู้เสียหายในระยะอยู่ห่างกันประมาณ7 วา ซึ่งโดยปกติย่อมมีความรุนแรงมากทั้งกระสุนปืนกระจายออกเป็นวง โอกาสที่จะยิงพลาดเป้าหมายในระยะดังกล่าวแทบไม่มี เมื่อเสื้อที่ผู้เสียหายสวมใส่ในขณะถูกยิงมีรอยกระสุน 5 แห่ง เป็นกลุ่ม แต่ละรอยห่างกันประมาณ 1 ถึง 2 นิ้ว ไม่มีรอยใดเป็นรูทะลุเสื้อ เพียงปรากฏเป็นรอยเท่านั้น กลุ่มรอยกระสุนปืนอยู่บริเวณใต้ชายโครงซ้ายและหน้าท้องด้านซ้าย แสดงว่ากระสุนปืนทั้ง 5 ลูก ถูกร่างกายของผู้เสียหายบริเวณดังกล่าวแต่ไม่มีความรุนแรงพอที่จะทำอันตรายทะลุเสื้อและผิวหนังเข้าไปสู่อวัยวะภายในร่างกายผู้เสียหายได้ อาวุธปืนที่จำเลยยิง จึงไม่มีความร้ายแรงพอที่จะทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้อย่างแน่แท้ เพราะเหตุอาวุธปืนซึ่งเป็นปัจจัยที่ใช้ในการกระทำความผิด การกระทำของจำเลยจึงเป็นการพยายามกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 81 วรรคหนึ่ง
จำเลยกับผู้เสียหายไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน ทั้งไม่มีมูลเหตุใดรุนแรงพอที่จะต้องทำร้ายกัน เมื่อฟังประกอบคำเบิกความของพี่สาวจำเลยที่ว่าจำเลยต้องไปพบแพทย์เพื่อรับยา 2 เดือนต่อครั้ง หากจำเลยไม่ได้รับประทานยาจะมีอาการคลุ้มคลั่ง การที่จำเลยคาดคิดว่าผู้เสียหายลักรองเท้าจำเลยไปจึงถือเอาเป็นเหตุโกรธแค้น นับว่าจำเลยมีความผิดปกติในความคิดและการรับรู้แล้วแสดงออกด้วยการใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย ซึ่งกระทำไปเพราะความเป็นโรคจิตเภทแต่การที่จำเลยเชื่อฟังและมีอาการสงบลงเมื่อมารดาและพี่สาวจำเลยเข้าห้ามปรามแสดงว่าจำเลยยังสามารถรู้ผิดชอบอยู่บ้างหรือยังสามารถบังคับตนเองได้บ้างจำเลยจึงต้องรับโทษสำหรับการกระทำความผิดนั้น ซึ่งศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้
จำเลยกับผู้เสียหายไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน ทั้งไม่มีมูลเหตุใดรุนแรงพอที่จะต้องทำร้ายกัน เมื่อฟังประกอบคำเบิกความของพี่สาวจำเลยที่ว่าจำเลยต้องไปพบแพทย์เพื่อรับยา 2 เดือนต่อครั้ง หากจำเลยไม่ได้รับประทานยาจะมีอาการคลุ้มคลั่ง การที่จำเลยคาดคิดว่าผู้เสียหายลักรองเท้าจำเลยไปจึงถือเอาเป็นเหตุโกรธแค้น นับว่าจำเลยมีความผิดปกติในความคิดและการรับรู้แล้วแสดงออกด้วยการใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย ซึ่งกระทำไปเพราะความเป็นโรคจิตเภทแต่การที่จำเลยเชื่อฟังและมีอาการสงบลงเมื่อมารดาและพี่สาวจำเลยเข้าห้ามปรามแสดงว่าจำเลยยังสามารถรู้ผิดชอบอยู่บ้างหรือยังสามารถบังคับตนเองได้บ้างจำเลยจึงต้องรับโทษสำหรับการกระทำความผิดนั้น ซึ่งศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1954/2546
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทำร้ายร่างกาย, ลักทรัพย์, พกพาอาวุธปืน: ศาลแก้โทษจำคุกจากความผิดฐานทำร้ายร่างกายและยกฟ้องพยายามฆ่า
ผู้เสียหายที่ 1 สวมกางเกงขายาวสีกากี สวมเสื้อยืดคอกลมสีขาวเข้าไปขอตรวจค้นตัวจำเลยโดยแจ้งว่าเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ แต่ไม่ได้แต่งเครื่องแบบตำรวจหรือแสดงหลักฐานให้เห็นว่าตนเป็นเจ้าพนักงานตำรวจผู้ทำการตามหน้าที่ กรณีอาจทำให้จำเลยเข้าใจผิดไปได้ แม้จำเลยจะต่อสู้ชกต่อยหรือใช้มีดแทงผู้เสียหายที่ 1 เพื่อขัดขวางไม่ให้ผู้เสียหายที่ 1 ตรวจค้นและจับกุม จำเลยก็หามีความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่และพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ไม่แม้ในชั้นสอบสวนจำเลยจะให้การรับสารภาพฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ แต่บันทึกคำให้การชั้นสอบสวนเป็นเพียงพยานบอกเล่าโดยลำพังไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังเพื่อลงโทษจำเลยได้
ศาลชั้นต้นกำหนดโทษและลดโทษให้แก่จำเลย แต่คำนวณโทษไม่ถูกต้องครบถ้วนเมื่อโจทก์ไม่อุทธรณ์และฎีกาในปัญหานี้ ศาลฎีกาจึงไม่อาจพิพากษาตามโทษจำคุกที่ถูกต้องได้ เพราะเป็นการพิพากษาเพิ่มโทษจำเลย ซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212
ศาลชั้นต้นกำหนดโทษและลดโทษให้แก่จำเลย แต่คำนวณโทษไม่ถูกต้องครบถ้วนเมื่อโจทก์ไม่อุทธรณ์และฎีกาในปัญหานี้ ศาลฎีกาจึงไม่อาจพิพากษาตามโทษจำคุกที่ถูกต้องได้ เพราะเป็นการพิพากษาเพิ่มโทษจำเลย ซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 896/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่มีส่วนร่วมในความผิดพยายามฆ่า แม้จะร่วมกันชิงทรัพย์และทราบว่าคู่กรณีมีอาวุธ
จำเลยอุทธรณ์เฉพาะความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น ขอให้ยกฟ้องหรือลงโทษในสถานเบา ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้เฉพาะในเรื่องที่ขอให้ลงโทษสถานเบา ส่วนอุทธรณ์ที่ขอให้ยกฟ้องไม่รับวินิจฉัยเพราะมิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นจึงถือว่าปัญหาข้อนี้มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ แต่ปัญหาว่าการกระทำของจำเลยที่ศาลชั้นต้นรับฟังมาเป็นความผิดหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย จำเลยจึงยกขึ้นฎีกาได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
หลังจากจำเลยกับ จ. ร่วมกันชิงทรัพย์ของผู้เสียหาย จ. ขึ้นซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่จำเลยขับพากันหลบหนีไป ผู้เสียหายขับรถยนต์กระบะติดตามจำเลยกับ จ. ไปในระยะห่างประมาณ 100 เมตร จ. ได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายไป 2 นัด โดยเจตนาฆ่า แต่กระสุนปืนไม่ถูกผู้ใด แม้จำเลยจะทราบว่า จ. มีอาวุธปืนติดตัวไปด้วยแต่จำเลยก็ไม่มีอาวุธปืนติดตัวไปต่างหากขณะที่ จ. ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายจำเลยกำลังขับรถจักรยานยนต์อยู่ไม่มีโอกาสที่จะรู้เห็นถึงการกระทำของ จ. ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยได้พูดหรือกระทำการใด ๆ อันอาจถือได้ว่าเป็นตัวการหรือผู้สนับสนุน จ. ในการพยายามฆ่าผู้เสียหาย การที่ จ. ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายเป็นการกระทำของ จ. ตามลำพังอันเป็นการตัดสินใจของ จ. โดยฉับพลันในขณะนั้นเอง ถือไม่ได้ว่า จำเลยเป็นตัวการร่วมกับ จ. ในการพยายามฆ่าผู้เสียหาย
หลังจากจำเลยกับ จ. ร่วมกันชิงทรัพย์ของผู้เสียหาย จ. ขึ้นซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่จำเลยขับพากันหลบหนีไป ผู้เสียหายขับรถยนต์กระบะติดตามจำเลยกับ จ. ไปในระยะห่างประมาณ 100 เมตร จ. ได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายไป 2 นัด โดยเจตนาฆ่า แต่กระสุนปืนไม่ถูกผู้ใด แม้จำเลยจะทราบว่า จ. มีอาวุธปืนติดตัวไปด้วยแต่จำเลยก็ไม่มีอาวุธปืนติดตัวไปต่างหากขณะที่ จ. ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายจำเลยกำลังขับรถจักรยานยนต์อยู่ไม่มีโอกาสที่จะรู้เห็นถึงการกระทำของ จ. ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยได้พูดหรือกระทำการใด ๆ อันอาจถือได้ว่าเป็นตัวการหรือผู้สนับสนุน จ. ในการพยายามฆ่าผู้เสียหาย การที่ จ. ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายเป็นการกระทำของ จ. ตามลำพังอันเป็นการตัดสินใจของ จ. โดยฉับพลันในขณะนั้นเอง ถือไม่ได้ว่า จำเลยเป็นตัวการร่วมกับ จ. ในการพยายามฆ่าผู้เสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 896/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวการร่วม ความผิดฐานพยายามฆ่า การกระทำของผู้อื่นที่ไม่สามารถถือเป็นความผิดของผู้ร่วมกระทำ
หลังจากที่จำเลยกับ จ. ร่วมกันชิงเงินสดของผู้เสียหายที่ 1 ไปจากผู้เสียหายที่ 2 แล้ว จ. ขึ้นซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่จำเลยขับพากันหลบหนีไป ผู้เสียหายที่ 3 ขับรถยนต์กระบะติดตามไปห่างประมาณ 100 เมตร จ. ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายที่ 3 ไป 2 นัดโดยเจตนาฆ่า แต่กระสุนปืนไม่ถูกผู้ใด ดังนี้ เมื่อจำเลยกับ จ. มีเจตนาที่จะชิงทรัพย์เท่านั้น แม้จำเลยจะทราบว่า จ. มีอาวุธปืนติดตัวไปด้วย แต่จำเลยก็ไม่มีอาวุธปืนติดตัวไปต่างหาก ขณะที่จ. ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายที่ 3 จำเลยกำลังขับรถจักรยานยนต์อยู่ ไม่มีโอกาสที่จะรู้เห็นถึงการกระทำของ จ. ทั้งจำเลยไม่ได้พูดหรือกระทำการใด ๆ อันอาจถือได้ว่าเป็นตัวการหรือผู้สนับสนุน จ. ในการพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ 3 การที่ จ. ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายที่ 3 จึงเป็นการกระทำของ จ. ตามลำพังอันเป็นการตัดสินใจของ จ. โดยฉับพลันในขณะนั้นเอง ถือไม่ได้ว่าจำเลยเป็นตัวการร่วมกับ จ. ในการพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ 3
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4533/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานฆ่าผู้อื่น-พยายามฆ่า-มีจิตบกพร่อง-การปรับบทลงโทษ-ความผิดอาวุธปืน
ก่อนเกิดเหตุประมาณ 6 ถึง 7 เดือน จำเลยเคยมีอาการผิดปกติทางจิตและเคยไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล และตามคำเบิกความของแพทย์หญิง ก. พยานจำเลยกับใบรับรองแพทย์ซึ่งระบุว่าจำเลยเป็นโรคจิตประเภทชนิดหวาดระแวงประกอบกับรายงานการวินิจฉัยโรคของโรงพยาบาลนิติจิตเวชซึ่งระบุเช่นกันว่าป่วยเป็นโรคจิต จึงเชื่อว่าจำเลยกระทำไปเพราะมีจิตบกพร่องหรือโรคจิต แต่ข้อเท็จจริงได้ความอีกว่า ขณะเกิดเหตุ อ. อยู่ใกล้กับจำเลยและเข้าแย่งอาวุธปืนจากจำเลยด้วย แต่จำเลยไม่ได้ใช้อาวุธปืนยิงหรือทำร้าย อ. แต่อย่างใด แสดงให้เห็นว่าภาวะจิตใจของจำเลยขณะกระทำความผิดยังสามารถรู้สึกผิดชอบหรือยังสามารถบังคับตนเองได้บ้าง
จำเลยกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่น ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น ฐานทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัวหรือตกใจโดยการขู่เข็ญและฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตอันเป็นการกระทำความผิดในคราวเดียวต่อเนื่องเป็นหลายกรรมต่างกัน ต้องปรับบทลงโทษจำเลยประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญามาตรา 65 วรรคสอง ทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปด้วย การปรับบทลงโทษแม้คู่ความจะมิได้ฎีกาแต่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้องได้
จำเลยกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่น ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น ฐานทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัวหรือตกใจโดยการขู่เข็ญและฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตอันเป็นการกระทำความผิดในคราวเดียวต่อเนื่องเป็นหลายกรรมต่างกัน ต้องปรับบทลงโทษจำเลยประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญามาตรา 65 วรรคสอง ทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปด้วย การปรับบทลงโทษแม้คู่ความจะมิได้ฎีกาแต่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้องได้