พบผลลัพธ์ทั้งหมด 14 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1442/2495
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หมิ่นประมาท: การแยกแยะคำด่าหยาบคายกับใส่ความทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง และการพิสูจน์ความจริงตามกฎหมาย
ด่าเขาว่า "อีร้อยควย อีดอกทอง" เป็นเพียงคำด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย มิใช่เรื่องใส่ความ จึงเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทซึ่งหน้าตาม กฎหมายลักษณะอาญามาตรา 339(2) แต่ถ้อยคำที่กล่าวตอนต่อจากนั้นว่า "มันเย็ดกันทั่วเมืองใครๆ เขาก็รู้กันทั้งนั้น เย็ดกันรอบบ้านเย็ดกับยี่เกฯลฯ" เหล่านี้มิใช่เป็นคำด่าว่ากันด้วยถ้อยคำหยาบคายธรรมดา แต่เป็นถ้อยคำที่ผู้ด่ากล่าวยืนยันให้เห็นว่าผู้ถูกด่าเป็นหญิงไม่ดี เที่ยวร่วมประเวณีกับคนทั่วไป โดยไม่เลือกสถานที่ จึงเป็นถ้อยคำที่ทำให้ผู้ถูกด่าเสื่อมเสียชื่อเสียงและอาจทำให้ผู้อื่นดูหมิ่นเกลียดชังได้ จึงเป็นการหมิ่นประมาทใส่ความตาม กฎหมายลักษณะอาญามาตรา 282 มิใช่เรื่องหมิ่นประมาทซึ่งหน้า
คดีหมิ่นประมาท ซึ่งโจทก์ร้องขอให้พิสูจน์ความจริง ตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 284 นั้น เมื่อปรากฏว่าในชั้นต้นจำเลยปฏิเสธว่ามิได้ทำผิด จนเมื่อศาลสืบพยานไปสิ้นแล้ว จำเลยจึงกลับรับสารภาพว่าได้ทำผิดตามฟ้อง ศาลสอบถามถึงเรื่องที่โจทก์ขอให้พิสูจน์ความจริง จำเลยก็แถลงว่า ไม่สามารถพิสูจน์ได้ เช่นนี้ คดีเข้าลักษณะที่ว่าศาลได้บังคับให้จำเลยพิสูจน์ความจริง แต่จำเลยพิสูจน์ให้เห็นจริงมิได้ ดั่งที่บัญญัติไว้ในมาตรา 284 แล้ว คดีจึงลงโทษจำเลยตาม กฎหมายลักษณะอาญามาตรา 284 ได้ (ประชุมใหญ่)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานหมิ่นประมาทตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 282,284,339(2) และขอให้เพิ่มโทษฐานไม่เข็ดหลาบด้วย จำเลยรับสารภาพตลอดถึงข้อเพิ่มโทษด้วย แต่ศาลชั้นต้นเห็นว่า
จำเลยผิดตามมาตรา 339 ซึ่งเป็นผิดฐานลหุโทษอันจะเพิ่มโทษฐานไม่เข็ดหลาบไม่ได้ จึงไม่ได้กล่าว ถึงการเพิ่มโทษด้วย โจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยควรมีผิดตามมาตรา 282,284 ในเรื่องเพิ่มโทษหรือไม่ ไม่ได้โต้เถียงกัน ดังนี้เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยผิดตามมาตรา 282 ซึ่งอาจเพิ่มโทษตามมาตรา 72 ได้แล้ว ศาลอุทธรณ์ก็ต้องเพิ่มโทษจำเลยตามฟ้องด้วย จะถือว่าฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ ไม่ได้ขอให้เพิ่มโทษไม่ได้
คดีหมิ่นประมาท ซึ่งโจทก์ร้องขอให้พิสูจน์ความจริง ตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 284 นั้น เมื่อปรากฏว่าในชั้นต้นจำเลยปฏิเสธว่ามิได้ทำผิด จนเมื่อศาลสืบพยานไปสิ้นแล้ว จำเลยจึงกลับรับสารภาพว่าได้ทำผิดตามฟ้อง ศาลสอบถามถึงเรื่องที่โจทก์ขอให้พิสูจน์ความจริง จำเลยก็แถลงว่า ไม่สามารถพิสูจน์ได้ เช่นนี้ คดีเข้าลักษณะที่ว่าศาลได้บังคับให้จำเลยพิสูจน์ความจริง แต่จำเลยพิสูจน์ให้เห็นจริงมิได้ ดั่งที่บัญญัติไว้ในมาตรา 284 แล้ว คดีจึงลงโทษจำเลยตาม กฎหมายลักษณะอาญามาตรา 284 ได้ (ประชุมใหญ่)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานหมิ่นประมาทตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 282,284,339(2) และขอให้เพิ่มโทษฐานไม่เข็ดหลาบด้วย จำเลยรับสารภาพตลอดถึงข้อเพิ่มโทษด้วย แต่ศาลชั้นต้นเห็นว่า
จำเลยผิดตามมาตรา 339 ซึ่งเป็นผิดฐานลหุโทษอันจะเพิ่มโทษฐานไม่เข็ดหลาบไม่ได้ จึงไม่ได้กล่าว ถึงการเพิ่มโทษด้วย โจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยควรมีผิดตามมาตรา 282,284 ในเรื่องเพิ่มโทษหรือไม่ ไม่ได้โต้เถียงกัน ดังนี้เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยผิดตามมาตรา 282 ซึ่งอาจเพิ่มโทษตามมาตรา 72 ได้แล้ว ศาลอุทธรณ์ก็ต้องเพิ่มโทษจำเลยตามฟ้องด้วย จะถือว่าฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ ไม่ได้ขอให้เพิ่มโทษไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 735/2482
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ความจริงในคดีหมิ่นประมาทตามมาตรา 284(3) จำเลยต้องพิสูจน์ไม่ได้
การที่จะลงโทษตามมาตรา 284(3) ได้จะต้องเป็นเรื่องจำเลยยืนยันความจริงและโจทก์ขอให้พิศูจน์ความจริง ฝ่ายจำเลยพิศูจน์ความจริงไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 542/2478
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
แจ้งความเท็จ: โจทก์ไม่จำต้องพิสูจน์เหตุการณ์ที่แจ้ง หากพิสูจน์ได้จำเลยรู้อยู่แล้วว่าเป็นเท็จ
พยาน น่าที่นำสืบความผิดฐานแจ้งความเท็จนั้นเพียงแต่จำเลยเอาความที่รู้เห็นหรือมิได้รู้เห็นไปแจ้งให้ผิดจากความจริงโดยโจทก์สืบได้ว่าจำเลยรู้อยู่ว่าเป็นเท็จดังนี้ ก็ลงโทษจำเลยฐานนี้ได้ โจทก์หาจำต้องสืบถึงเหตุการณ์ด้วยไม่ว่าจะได้ เกิดขึ้นจริงหรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3905/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานบอกเล่าประกอบกับหลักฐานอื่นพิสูจน์ความจริงได้ การสนับสนุนการกระทำผิดฐานฆ่าโดยเจตนา
แม้บันทึกคำให้การของ ม. ในชั้นสอบสวนจะเป็นพยานบอกเล่าและมีลักษณะเป็นคำให้การซัดทอดของผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันกับจำเลยก็ตาม แต่คำให้การดังกล่าวก็มีลักษณะของการเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น ทั้งผู้ให้ถ้อยคำก็มิได้ให้ถ้อยคำในลักษณะของการปัดความรับผิดไปให้จำเลยแต่เพียงฝ่ายเดียว หากแต่ยอมรับว่าตนเป็นผู้กระทำความผิดด้วย อีกทั้งเมื่อพิจารณาคำให้การของ ม. ประกอบกันกับคำเบิกความของ ช. เจ้าพนักงานตำรวจซึ่งเป็นผู้สืบสวนหาตัวผู้กระทำความผิดที่ว่าได้ติดต่อขอบันทึกข้อมูลการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ของ ม. จากบริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ก็ปรากฏว่าในช่วงก่อนวันเกิดเหตุและในวันเกิดเหตุมีการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ของ ม. ติดต่อกับโทรศัพท์เคลื่อนที่ของจำเลยบ่อยครั้ง ซึ่งจำเลยก็เบิกความตอบโจทก์ถามค้านรับว่าหมายเลขโทรศัพท์ดังกล่าวเป็นของจำเลยจริง ประกอบกับ ม. ได้ให้ถ้อยคำตามบันทึกคำให้การ ต่อพนักงานสอบสวนโดยมี พ. ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านและเป็นบุคคลที่ ม. ให้ถ้อยคำในชั้นสอบสวนด้วยว่าเป็นบุคคลที่ ม. ไว้วางใจให้ร่วมฟังการสอบสวนด้วย ดังนั้นแม้บันทึกคำให้การดังกล่าวจะเป็นพยานบอกเล่าหรือเป็นพยานชั้นสองไม่ใช่พยานชั้นหนึ่ง แต่เมื่อพิเคราะห์ถึงลักษณะ แหล่งที่มา และข้อเท็จจริงแวดล้อมของบันทึกคำให้การดังกล่าว ซึ่ง ม. ได้ให้การไว้ต่อพนักงานสอบสวนโดยสมัครใจและเป็นการให้ถ้อยคำทันทีหลังจากถูกจับกุม รวมทั้งข้อเท็จจริงที่ปรากฏก็สอดคล้องต้องกันสมเหตุสมผลในอันที่จะเป็นเหตุให้มีการกระทำและสอดคล้องกันกับพยานหลักฐานอื่นที่ปรากฏ น่าเชื่อว่าจะพิสูจน์ความจริงได้จึงเป็นพยานหลักฐานที่รับฟังได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 226/3 วรรคสอง (1)
ม. พยานโจทก์และจำเลยต่างก็เบิกความเจือสมกันว่าจำเลยกับ ม. หลังจากพบกันที่ร้านซ่อมรถยนต์แล้วจำเลยกับ ม. ก็พูดคุยกันในเชิงชู้สาวมาตลอด มีการลักลอบนัดพบกันที่รีสอร์ตและมีความสัมพันธ์กันในทางชู้สาวแสดงให้เห็นได้ว่าบุคคลทั้งสองมีความสนิทสนมชอบพอกัน ทั้งไม่ปรากฏข้อเท็จจริงใดว่าก่อนและหลังเกิดเหตุบุคคลทั้งสองมีสาเหตุโกรธเคืองกัน จึงไม่มีเหตุผลใดที่ ม. จะเบิกความปรักปรำให้เป็นผลร้ายแก่จำเลยว่าจำเลยเป็นผู้ที่ช่วยเหลือติดต่อหาคนมาฆ่าผู้ตาย รวมทั้งระบุว่าจำเลยเป็นผู้ที่พาคนร้ายมาพบที่รีสอร์ต ดังนั้นการที่ ม. เบิกความในทำนองว่าเคยพูดกับหลายๆ คนว่าหากใครช่วยจัดการฆ่าผู้ตายได้จะให้เงินนั้น ก็น่าจะเป็นคำเบิกความที่ต้องการเบี่ยงเบนให้ปรากฏข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่เพื่อให้เห็นว่าบุคคลที่ติดต่อผู้ที่มาฆ่าผู้ตายอาจไม่ใช่จำเลยก็ได้ หรือบุคคลที่มาฆ่าผู้ตายอาจไม่ใช่บุคคลที่จำเลยติดต่อมาซึ่งไม่ตรงกันกับที่ ม. เบิกความตอบโจทก์หรือที่เคยให้การในชั้นสอบสวน คำเบิกความของ ม. ดังกล่าวก็เป็นเพียงเพื่อช่วยจำเลยให้พ้นผิด ถ้อยคำที่ ม. เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านดังกล่าวจึงไม่มีน้ำหนักในการรับฟัง
ม. พยานโจทก์และจำเลยต่างก็เบิกความเจือสมกันว่าจำเลยกับ ม. หลังจากพบกันที่ร้านซ่อมรถยนต์แล้วจำเลยกับ ม. ก็พูดคุยกันในเชิงชู้สาวมาตลอด มีการลักลอบนัดพบกันที่รีสอร์ตและมีความสัมพันธ์กันในทางชู้สาวแสดงให้เห็นได้ว่าบุคคลทั้งสองมีความสนิทสนมชอบพอกัน ทั้งไม่ปรากฏข้อเท็จจริงใดว่าก่อนและหลังเกิดเหตุบุคคลทั้งสองมีสาเหตุโกรธเคืองกัน จึงไม่มีเหตุผลใดที่ ม. จะเบิกความปรักปรำให้เป็นผลร้ายแก่จำเลยว่าจำเลยเป็นผู้ที่ช่วยเหลือติดต่อหาคนมาฆ่าผู้ตาย รวมทั้งระบุว่าจำเลยเป็นผู้ที่พาคนร้ายมาพบที่รีสอร์ต ดังนั้นการที่ ม. เบิกความในทำนองว่าเคยพูดกับหลายๆ คนว่าหากใครช่วยจัดการฆ่าผู้ตายได้จะให้เงินนั้น ก็น่าจะเป็นคำเบิกความที่ต้องการเบี่ยงเบนให้ปรากฏข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่เพื่อให้เห็นว่าบุคคลที่ติดต่อผู้ที่มาฆ่าผู้ตายอาจไม่ใช่จำเลยก็ได้ หรือบุคคลที่มาฆ่าผู้ตายอาจไม่ใช่บุคคลที่จำเลยติดต่อมาซึ่งไม่ตรงกันกับที่ ม. เบิกความตอบโจทก์หรือที่เคยให้การในชั้นสอบสวน คำเบิกความของ ม. ดังกล่าวก็เป็นเพียงเพื่อช่วยจำเลยให้พ้นผิด ถ้อยคำที่ ม. เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านดังกล่าวจึงไม่มีน้ำหนักในการรับฟัง