พบผลลัพธ์ทั้งหมด 25 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 239/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ที่ดินมัสยิด: การครอบครองปรปักษ์ต้องนับจากวันที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล
มัสยิดอาจได้กรรมสิทธิที่ดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ได้
ตามพระราชบัญญัติมัสยิดอิสลาม พ.ศ. 2490 มาตรา 5 ให้มัสยิดซึ่งได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว เป็นนิติบุคคล ซึ่งหมายความว่า ให้เป็นนิติบุคคลตั้งแต่วันที่ได้จดทะเบียนเป็นต้นไป แต่ปรากฏว่ามัสยิดจำเลยร่วมจดทะเบียนเมื่อ 26 กรกฎาคม 2499 การที่จะถือว่า อ. ยกที่ดินพิพาทให้จำเลยตั้งแต่ พ.ศ. 2498 ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะการให้ต้องมีผู้รับ แม้จะฟังว่าจำเลยร่วมครอบครองปรปักษ์ต่อมาหลังจากการยกให้ที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ก็ต้องนับการครอบครองแต่วันเป็นนิติบุคคลเป็นต้นไป แต่ถ้านับตั้งแต่วันที่ 26 กรกฎาคม 2499 จนถึงวันที่โจทก์ฟ้อง คือ วันที่ 15 กรกฎาคม 2509 แล้ว ก็เห็นได้ว่ายังไม่ครบ 10 ปี จึงไม่อาจได้กรรมสิทธิ์ตามมาตรา 1382
ตามพระราชบัญญัติมัสยิดอิสลาม พ.ศ. 2490 มาตรา 5 ให้มัสยิดซึ่งได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว เป็นนิติบุคคล ซึ่งหมายความว่า ให้เป็นนิติบุคคลตั้งแต่วันที่ได้จดทะเบียนเป็นต้นไป แต่ปรากฏว่ามัสยิดจำเลยร่วมจดทะเบียนเมื่อ 26 กรกฎาคม 2499 การที่จะถือว่า อ. ยกที่ดินพิพาทให้จำเลยตั้งแต่ พ.ศ. 2498 ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะการให้ต้องมีผู้รับ แม้จะฟังว่าจำเลยร่วมครอบครองปรปักษ์ต่อมาหลังจากการยกให้ที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ก็ต้องนับการครอบครองแต่วันเป็นนิติบุคคลเป็นต้นไป แต่ถ้านับตั้งแต่วันที่ 26 กรกฎาคม 2499 จนถึงวันที่โจทก์ฟ้อง คือ วันที่ 15 กรกฎาคม 2509 แล้ว ก็เห็นได้ว่ายังไม่ครบ 10 ปี จึงไม่อาจได้กรรมสิทธิ์ตามมาตรา 1382
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 239/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ที่ดินมัสยิด: การครอบครองปรปักษ์ต้องนับจากวันที่เป็นนิติบุคคล
มัสยิดอาจได้กรรมสิทธิที่ดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 ได้
ตามพระราชบัญญัติมัสยิดอิสลาม พ.ศ. 2490 มาตรา 5 ให้มัสยิดซึ่งได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว เป็นนิติบุคคลซึ่งหมายความว่าให้เป็นนิติบุคคลตั้งแต่วันที่ได้จดทะเบียนเป็นต้นไป แต่ปรากฏว่ามัสยิดจำเลยร่วมจดทะเบียนเมื่อ 26 กรกฎาคม 2499 การที่จะถือว่าอ. ยกที่ดินพิพาทให้จำเลยตั้งแต่ พ.ศ. 2498 ย่อมเป็นไปไม่ได้เพราะการให้ต้องมีผู้รับ แม้จะฟังว่าจำเลยร่วมครอบครองปรปักษ์ต่อมาหลังจากการยกให้ที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ก็ต้องนับการครอบครองแต่วันเป็นนิติบุคคลเป็นต้นไป แต่ถ้านับตั้งแต่วันที่ 26 กรกฎาคม 2499จนถึงวันที่โจทก์ฟ้อง คือ วันที่ 15 กรกฎาคม 2509 แล้ว ก็เห็นได้ว่ายังไม่ครบ 10 ปี จึงไม่อาจได้กรรมสิทธิ์ตามมาตรา 138
ตามพระราชบัญญัติมัสยิดอิสลาม พ.ศ. 2490 มาตรา 5 ให้มัสยิดซึ่งได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว เป็นนิติบุคคลซึ่งหมายความว่าให้เป็นนิติบุคคลตั้งแต่วันที่ได้จดทะเบียนเป็นต้นไป แต่ปรากฏว่ามัสยิดจำเลยร่วมจดทะเบียนเมื่อ 26 กรกฎาคม 2499 การที่จะถือว่าอ. ยกที่ดินพิพาทให้จำเลยตั้งแต่ พ.ศ. 2498 ย่อมเป็นไปไม่ได้เพราะการให้ต้องมีผู้รับ แม้จะฟังว่าจำเลยร่วมครอบครองปรปักษ์ต่อมาหลังจากการยกให้ที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ก็ต้องนับการครอบครองแต่วันเป็นนิติบุคคลเป็นต้นไป แต่ถ้านับตั้งแต่วันที่ 26 กรกฎาคม 2499จนถึงวันที่โจทก์ฟ้อง คือ วันที่ 15 กรกฎาคม 2509 แล้ว ก็เห็นได้ว่ายังไม่ครบ 10 ปี จึงไม่อาจได้กรรมสิทธิ์ตามมาตรา 138
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2211/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องของมัสยิด: กรรมการ, เจ้าหน้าที่บริหาร และการจัดการทรัพย์สิน
มัสยิดซึ่งจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลนั้น เมื่อกรรมการมัสยิดซึ่งกฎหมายบัญญัติให้มีหน้าที่จัดการทรัพย์สินของมัสยิดได้ลงมติให้ดำเนินคดีกับจำเลยซึ่งอยู่ในที่ดินของมัสยิด เจ้าหน้าที่บริหารของมัสยิดอันได้แก่อิหม่าม คอเต็บ และบิหลั่นก็ย่อมดำเนินการแต่งตั้งทนายความให้ฟ้องคดีในนามของมัสยิดได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2211/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องของมัสยิด: กรรมการมีอำนาจจัดการทรัพย์สินและมอบหมายให้เจ้าหน้าที่บริหารดำเนินการฟ้องคดีได้
มัสยิดซึ่งจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลนั้น เมื่อกรรมการมัสยิดซึ่งกฎหมายบัญญัติให้มีหน้าที่จัดการทรัพย์สินของมัสยิดได้ลงมติให้ดำเนินคดีกับจำเลยซึ่งอยู่ในที่ดินของมัสยิด เจ้าหน้าที่บริหารของมัสยิดอันได้แก่อิหม่าม คอเต็บ และบิหลั่นก็ย่อมดำเนินการแต่งตั้งทนายความให้ฟ้องคดีในนามของมัสยิดได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1073/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีอาญาเกี่ยวกับทรัพย์สินของมัสยิด: ผู้มีอำนาจจัดการคือกรรมการมัสยิด ไม่ใช่สัปบุรุษ
ตามคำฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยทุกคนซึ่งเป็นกรรมการของมัสยิดกุฎีหลวงได้สมคบกับยักยอกทรัพย์สินของมัสยิดซึ่งเป็นนิติบุคคล ฉะนั้น ผู้เสียหายในคดีนี้ก็คือมัสยิดกุฎีหลวงและผู้ที่มีอำนาจจัดการแทนได้ก็ต้องเป็นกรรมการของมัสยิดตามพระราชบัญญัติมัสยิดอิสลาม พ.ศ. 2490 มาตรา 7 โจทก์มีฐานะเป็นแต่เพียงสัปบุรุษและผู้รับมอบอำนาจจากสัปบุรุษเท่านั้น ไม่มีหน้าที่จัดการในกิจการและทรัพย์สินของมัสยิดแต่ประการใด จึงไม่มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5 (3) ไม่มีอำนาจฟ้อง
การที่โจทก์กล่าวหาว่ากรรมการมัสยิดทั้งชุดสมคบกันทำให้มัสยิดเสียหายถึงหากจะเป็นความจริง ก็มีทางแก้ได้โดยให้คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดถอดถอนกรรมการมัสยิดเสียตามมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติมัสยิดอิสลาม พ.ศ. 2490 แต่จะฟ้องเองโดยลำพังไม่ได้
การที่โจทก์กล่าวหาว่ากรรมการมัสยิดทั้งชุดสมคบกันทำให้มัสยิดเสียหายถึงหากจะเป็นความจริง ก็มีทางแก้ได้โดยให้คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดถอดถอนกรรมการมัสยิดเสียตามมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติมัสยิดอิสลาม พ.ศ. 2490 แต่จะฟ้องเองโดยลำพังไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1073/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีอาญา: ผู้มีหน้าที่จัดการทรัพย์สินมัสยิดเท่านั้นที่มีอำนาจฟ้องแทน
ตามคำฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยทุกคนซึ่งเป็นกรรมการของมัสยิดกุฎีหลวงได้สมคบกันยักยอกทรัพย์สินของมัสยิดซึ่งเป็นนิติบุคคล ฉะนั้น ผู้เสียหายในคดีนี้ก็คือมัสยิดกุฎีหลวงและผู้ที่มีอำนาจจัดการแทนได้ก็ต้องเป็นกรรมการของมัสยิดตามพระราชบัญญัติมัสยิดอิสลาม พ.ศ.2490 มาตรา 7 โจทก์มีฐานะเป็นแต่เพียงสัปบุรุษและผู้รับมอบอำนาจจากสัปบุรุษเท่านั้น ไม่มีหน้าที่จัดการในกิจการและทรัพย์สินของมัสยิดแต่ประการใด จึงไม่มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5(3) ไม่มีอำนาจฟ้อง
การที่โจทก์กล่าวหาว่ากรรมการมัสยิดทั้งชุดสมคบกันทำให้มัสยิดเสียหายถึงหากจะเป็นความจริง ก็มีทางแก้ได้โดยให้คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดถอดถอนกรรมการมัสยิดเสียตามมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติมัสยิดอิสลาม พ.ศ.2490 แต่จะฟ้องเองโดยลำพังไม่ได้
การที่โจทก์กล่าวหาว่ากรรมการมัสยิดทั้งชุดสมคบกันทำให้มัสยิดเสียหายถึงหากจะเป็นความจริง ก็มีทางแก้ได้โดยให้คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดถอดถอนกรรมการมัสยิดเสียตามมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติมัสยิดอิสลาม พ.ศ.2490 แต่จะฟ้องเองโดยลำพังไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1073/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีอาญา: ผู้มีหน้าที่จัดการทรัพย์สินมัสยิดเท่านั้นที่มีอำนาจฟ้อง ยักยอกทรัพย์
ตามคำฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยทุกคนซึ่งเป็นกรรมการของมัสยิดกุฎีหลวงได้สมคบกันยักยอกทรัพย์สินของมัสยิดซึ่งเป็นนิติบุคคล. ฉะนั้น ผู้เสียหายในคดีนี้ก็คือมัสยิดกุฎีหลวงและผู้ที่มีอำนาจจัดการแทนได้ก็ต้องเป็นกรรมการของมัสยิดตามพระราชบัญญัติมัสยิดอิสลาม พ.ศ.2490 มาตรา 7. โจทก์มีฐานะเป็นแต่เพียงสัปบุรุษและผู้รับมอบอำนาจจากสัปบุรุษเท่านั้น. ไม่มีหน้าที่จัดการในกิจการและทรัพย์สินของมัสยิดแต่ประการใด. จึงไม่มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5(3) ไม่มีอำนาจฟ้อง.
การที่โจทก์กล่าวหาว่ากรรมการมัสยิดทั้งชุดสมคบกันทำให้มัสยิดเสียหายถึงหากจะเป็นความจริง. ก็มีทางแก้ได้โดยให้คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดถอดถอนกรรมการมัสยิดเสียตามมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติมัสยิดอิสลาม พ.ศ.2490. แต่จะฟ้องเองโดยลำพังไม่ได้.
การที่โจทก์กล่าวหาว่ากรรมการมัสยิดทั้งชุดสมคบกันทำให้มัสยิดเสียหายถึงหากจะเป็นความจริง. ก็มีทางแก้ได้โดยให้คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดถอดถอนกรรมการมัสยิดเสียตามมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติมัสยิดอิสลาม พ.ศ.2490. แต่จะฟ้องเองโดยลำพังไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1004/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งมรดกและผลของสัญญาประนีประนอมยอมความที่อ้างถึงมัสยิดที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์จำเลยไม่อาจตกลงแบ่งที่ดินมรดกตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำกันไว้ในศาลได้ ที่ดินที่โจทก์จำเลยตกลงอุทิศให้มัสยิดหัวหมากตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น ไม่มีมัสยิดหัวหมากที่จะได้รับประโยชน์ ข้อตกลงข้อนี้เป็นโมฆะต้องนำที่ดินส่วนที่ยกให้มัสยิดหัวหมากมาแบ่งให้โจทก์จำเลยคนละเท่าๆ กัน โจทก์จำเลยได้จดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินแปลงนี้ร่วมกันต่อเจ้าพนักงานที่ดินแล้ว ดังนี้ เห็นได้ว่าเป็นกรณีที่โจทก์ใช้สิทธิฟ้องจำเลยขอแบ่งที่ดินโดยอ้างว่ามัสยิดหัวหมากไม่มีตัวตนอยู่ ต้องนำที่ดินส่วนนั้นมาแบ่งระหว่างโจทก์จำเลย แต่ไม่อาจตกลงกันได้ ประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งโจทก์จำเลยมีสิทธิร่วมกันในที่ดินมรดกแปลงนี้ ไม่อาจตกลงแบ่งกันได้ โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของร่วมย่อมมีสิทธิฟ้องขอแบ่งจากจำเลยได้เสมอตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1363, 1364 ฟ้องของโจทก์ได้แสดงชัดแจ้งแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งขออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา จึงเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55, 172
เมื่อโจทก์กล่าวอ้างข้อเท็จจริงว่า มัสยิดหัวหมากไม่มีตัวตนดังที่ปรากฏตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่โจทก์จำเลยทำไว้ต่อกันในศาล แต่จำเลยให้การว่ามัสยิดหัวหมากมีตัวตนอยู่ ประเด็นหน้าที่นำสืบจึงตกแก่โจทก์ต้องนำสืบก่อนให้สมตามฟ้อง
เมื่อโจทก์กล่าวอ้างข้อเท็จจริงว่า มัสยิดหัวหมากไม่มีตัวตนดังที่ปรากฏตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่โจทก์จำเลยทำไว้ต่อกันในศาล แต่จำเลยให้การว่ามัสยิดหัวหมากมีตัวตนอยู่ ประเด็นหน้าที่นำสืบจึงตกแก่โจทก์ต้องนำสืบก่อนให้สมตามฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 751/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ของมัสยิด: การครอบครองโดยสงบและเปิดเผยต่อเนื่องเกิน 10 ปี
พระราชบัญญัติมัสยิดอิสลาม พ.ศ.2490 บัญญัติให้การดำเนินงานของคณะกรรมการมัสยิดเป็นไปตามเสียงข้างมาก อิหม่ามกับกรรมการอื่น ๆ ซึ่งเป็นเสียงข้างมากจึงมีอำนาจดำเนินคดีในนามของมัสยิดโจทก์ได้
ผู้มีชื่อยกที่พิพาทให้โจทก์โดยมิได้ทำเป็นหนังสือ แล้วเก็บผลประโยชน์ในที่พิพาทให้โจทก์ตลอด จำเลยซึ่งเป็นซึ่งผู้มีกรรมสิทธิ์ร่วมก็มิได้คัดค้านการกระทำของผู้มีชื่อนั้น เมื่อผู้มีชื่อตายทายาทก็เข้ามารับเก็บผลประโยชน์ในที่พิพาทนำส่งโจทก์ตลอดมา ย่อมถือได้ว่าโจทก์เข้าถือสิทธิครอบครองเป็นเจ้าของที่พิพาทโดยทายาทของผู้มีชื่อนั้นเป็นผู้ดูแลแทน เมื่อทายาทงดเก็บผลประโยชน์ในที่พิพาทนำส่งโจทก์ โจทก์ก็เข้าเก็บทำเอง โดยจำเลยหรือบุคคลอื่นใดมิได้ขัดขวางดังนี้ ถือว่าโจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทโดยสงบและเปิดเผยตลอดมา และเมื่อได้ครอบครองเกินกว่า 10 ปี โจทก์ย่อมได้กรรมสิทธิ์
ผู้มีชื่อยกที่พิพาทให้โจทก์โดยมิได้ทำเป็นหนังสือ แล้วเก็บผลประโยชน์ในที่พิพาทให้โจทก์ตลอด จำเลยซึ่งเป็นซึ่งผู้มีกรรมสิทธิ์ร่วมก็มิได้คัดค้านการกระทำของผู้มีชื่อนั้น เมื่อผู้มีชื่อตายทายาทก็เข้ามารับเก็บผลประโยชน์ในที่พิพาทนำส่งโจทก์ตลอดมา ย่อมถือได้ว่าโจทก์เข้าถือสิทธิครอบครองเป็นเจ้าของที่พิพาทโดยทายาทของผู้มีชื่อนั้นเป็นผู้ดูแลแทน เมื่อทายาทงดเก็บผลประโยชน์ในที่พิพาทนำส่งโจทก์ โจทก์ก็เข้าเก็บทำเอง โดยจำเลยหรือบุคคลอื่นใดมิได้ขัดขวางดังนี้ ถือว่าโจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทโดยสงบและเปิดเผยตลอดมา และเมื่อได้ครอบครองเกินกว่า 10 ปี โจทก์ย่อมได้กรรมสิทธิ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 751/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ของมัสยิด การยกที่ดินให้โดยไม่ทำหนังสือ และการครอบครองโดยสงบและเปิดเผย
พระราชบัญญัติมัสยิดอิสลาม พ.ศ.2490 บัญญัติให้การดำเนินงานของคณะกรรมการมัสยิดเป็นไปตามเสียงข้างมากอิหม่ามกับกรรมการอื่นๆ ซึ่งเป็นเสียงข้างมากจึงมีอำนาจดำเนินคดีในนามของมัสยิดโจทก์ได้
ผู้มีชื่อยกที่พิพาทให้โจทก์โดยมิได้ทำเป็นหนังสือ แล้วเก็บผลประโยชน์ในที่พิพาทให้โจทก์ตลอดมาจำเลยซึ่งเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ร่วมก็มิได้คัดค้านการกระทำของผู้มีชื่อนั้นเมื่อผู้มีชื่อตายทายาทก็เข้ารับเก็บผลประโยชน์ในที่พิพาทนำส่งโจทก์ตลอดมาย่อมถือได้ว่าโจทก์เข้าถือสิทธิครอบครองเป็นเจ้าของที่พิพาทโดยทายาทของผู้มีชื่อนั้นเป็นผู้ดูแลแทนเมื่อทายาทงดเก็บผลประโยชน์ในที่พิพาทนำส่งโจทก์ โจทก์ก็เข้าเก็บทำเอง โดยจำเลยหรือบุคคลอื่นใดมิได้ขัดขวาง ดังนี้ ถือว่าโจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทโดยสงบและเปิดเผยตลอดมา และเมื่อได้ครอบครองเกินกว่า10 ปี โจทก์ย่อมได้กรรมสิทธิ์
ผู้มีชื่อยกที่พิพาทให้โจทก์โดยมิได้ทำเป็นหนังสือ แล้วเก็บผลประโยชน์ในที่พิพาทให้โจทก์ตลอดมาจำเลยซึ่งเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ร่วมก็มิได้คัดค้านการกระทำของผู้มีชื่อนั้นเมื่อผู้มีชื่อตายทายาทก็เข้ารับเก็บผลประโยชน์ในที่พิพาทนำส่งโจทก์ตลอดมาย่อมถือได้ว่าโจทก์เข้าถือสิทธิครอบครองเป็นเจ้าของที่พิพาทโดยทายาทของผู้มีชื่อนั้นเป็นผู้ดูแลแทนเมื่อทายาทงดเก็บผลประโยชน์ในที่พิพาทนำส่งโจทก์ โจทก์ก็เข้าเก็บทำเอง โดยจำเลยหรือบุคคลอื่นใดมิได้ขัดขวาง ดังนี้ ถือว่าโจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทโดยสงบและเปิดเผยตลอดมา และเมื่อได้ครอบครองเกินกว่า10 ปี โจทก์ย่อมได้กรรมสิทธิ์