คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
มูลเหตุ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 26 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4803/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบอกล้างโมฆียะกรรมสัญญาประกันชีวิตต้องทำภายใน 1 เดือนนับแต่วันที่ทราบมูลเหตุ
จำเลยมีหนังสือบอกล้างโมฆียะกรรมเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2525แต่หนังสือไปถึงผู้รับคือโจทก์เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2525 ป.พ.พ.มาตรา 130 วรรคหนึ่งบัญญัติว่าการแสดงเจตนาทำให้บุคคลผู้อยู่ห่างโดยระยะทางย่อมมีผลนับแต่เวลาที่ไปถึงคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งนั้นเป็นต้นไป ดังนั้นหนังสือบอกล้างโมฆียะกรรมรายนี้ของจำเลยย่อมมีผลนับแต่วันที่ 12 พฤษภาคม 2525 เป็นต้นไป จึงพ้นกำหนด 1 เดือนนับแต่วันที่จำเลยทราบมูลอันจะบอกล้างได้ การบอกล้างโมฆียะกรรมของจำเลยจึงไม่ชอบตาม ป.พ.พ. มาตรา 865 วรรคสอง ดังนี้จำเลยต้องรับผิดชดใช้เงินให้โจทก์ตามสัญญาประกันชีวิต.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 368/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย: ศาลพิจารณาพฤติการณ์และมูลเหตุในการทำร้ายเพื่อวินิจฉัยเจตนา
จำเลยกับพวกร่วมกันทำร้าย ช. และ จ. พวกของผู้ตายก่อนช. และ จ. วิ่งหนีไปโดยจำเลยกับพวกมิได้ติดตามไปทำร้ายซ้ำเติมเมื่อผู้ตายกับ ธ. ขี่รถจักรยานยนต์มาถึง จำเลยกับพวกร่วมกันทำร้ายผู้ตายกับ ธ. อีก โดยพวกจำเลยใช้ไม้ตีผู้ตายล้มลง แล้วจำเลยกับพวกเข้ารุมทำร้ายโดยจำเลยมิได้มีอาวุธ ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยมีสาเหตุกับผู้ตายมาก่อน มูลเหตุที่จะทำร้ายผู้ตายก็มีเพียงว่าจำเลยกับพวกไม่ถูกกับคนในหมู่บ้านเดียวกับผู้ตายจึงทำร้ายฝากมา ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตาย คงฟังได้เพียงว่าจำเลยมีเจตนาร่วมกับพวกทำร้ายผู้ตายเท่านั้น เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะถูกพวกของจำเลยใช้ไม้และท่อนเหล็กตี จำเลยจึงต้องมีความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3949/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขอเลื่อนคดีโดยไม่มีมูลเหตุ และผลของการไม่ยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาล
การนัดสืบพยานโจทก์ตามที่ทนายจำเลยขอเลื่อนนั้น ทนายจำเลยเป็นผู้กำหนดขอให้ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานโจทก์เอง และตามคำร้องขอเลื่อนคดีของทนายจำเลยดังกล่าว ได้อ้างเหตุว่าติดว่าความในคดีอื่น ซึ่งปรากฏว่าในคดีนั้นคู่ความมิได้แต่งตั้งทนายจำเลยคดีนี้เป็นทนายความ ดังนี้การขอเลื่อนคดีของจำเลยจึงปราศจากมูลเหตุที่จะอ้าง
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87 บัญญัติห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานใด เว้นแต่คู่ความฝ่ายที่อ้างพยานหลักฐานได้แสดงความจำนงที่จะอ้างอิงพยานหลักฐานนั้นดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 88 และ 90 ดังนี้เมื่อจำเลยไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาลก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่าสามวัน ตามมาตรา 88 จำเลยจึงไม่อาจนำพยานหลักฐานหรือตนเองเข้าสืบได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 695/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องร่วมคดีละเมิด: ผลประโยชน์ร่วมกันในมูลเหตุเป็นสำคัญ แม้ค่าเสียหายต่างกัน
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 59 บัญญัติว่า'บุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปอาจเป็นคู่ความในคดีเดียวกันได้โดยเป็นโจทก์ร่วมหรือจำเลยร่วม ถ้าหากปรากฏว่าบุคคลเหล่านั้นมีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดี ......ฯลฯ' ซึ่งหมายความว่าต้องมีส่วนได้เสียร่วมกันในมูลเหตุอันเป็นรากฐานแห่งคดีนั้น โดยถือหนี้อันเป็นมูลของคดีนั้นเป็นสารสำคัญ ฉะนั้นในกรณีทำละเมิดต่อโจทก์หลายคนร่วมกันแม้ค่าเสียหายของโจทก์แต่ละคนจะแยกต่างหากจากกันได้ ก็อาจเป็นโจทก์ร่วมกันในคดีเดียวกันได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 819/2521

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความเสียหายต่อทรัพย์สินเช่าหลังสัญญาประนีประนอม ศาลตัดสินได้หากเป็นคนละมูลเหตุ
จำเลยเช่าตึกแถวของโจทก์ เมื่อครบกำหนดตามสัญญาเช่าแล้วจำเลยไม่ยอมออก โจทก์จึงฟ้องคดีขอให้ขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากการขาดประโยชน์ในการใช้ตึกแถวจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความยอมออกจากตึกแถว และยอมใช้ค่าเสียหาย ศาลพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุด ต่อมาโจทก์ฟ้องคดีนี้โดยบรรยายฟ้องว่า ในวันที่จำเลยและบริวารออกไปจากตึกแถวที่เช่า โจทก์ได้ตรวจดูอาคารปรากฏว่ากระเบื้องกันสาดด้านหน้าถูกรื้อออกหมด กระเบื้องหลังคาถูกรื้อไปบางส่วนประตูเหล็กด้านหน้าชำรุดเสียหาย ซึ่งจำเลยมีเจตนาก่อให้เกิดความเสียหาย มิใช่ความเสียหายที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติดังนี้ คำบรรยายฟ้องดังกล่าวย่อมคลุมถึงความเสียหายทั้งที่เกิดจากสัญญาเช่า ซึ่งจำเลยต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 562 และเกิดจากการละเมิดตาม มาตรา 420 เมื่อศาลฟังว่าการที่ประตูเหล็กผุกร่อนนั้น มิใช่เพราะเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา แต่เป็นเพราะจำเลยไม่สงวนรักษาทรัพย์สินที่เช่าจึงให้จำเลยใช้ค่าเสียหายที่โจทก์ต้องซ่อมแซม จึงตรงตามประเด็นแล้ว ไม่เป็นการนอกฟ้องและสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีก่อนเป็นเรื่องจำเลยไม่คืนทรัพย์ที่เช่า อันเป็นค่าเสียหายคนละมูลกรณีกับค่าเสียหายเกี่ยวกับประตูเหล็กในคดีนี้ ค่าเสียหายในคดีนี้จึงไม่ระงับสิ้นไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2880/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนี้จากการเล่นแชร์: ศาลพิจารณาจากมูลเหตุจริง แม้ฟ้องเป็นสัญญากู้
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองโดยอ้างว่าจำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันแต่คดีฟังได้ว่าสัญญากู้ตามฟ้องมีมูลหนี้มาจากการเล่นแชร์ดังนี้ถือว่าเป็นแต่เพียงรายละเอียดแห่งข้อเท็จจริงว่ามูลกรณีของการกู้ยืมรายนี้เป็นมาอย่างไรเท่านั้น มิใช่เป็นเรื่องได้ความแตกต่างผิดไปจากฟ้อง (ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 520/2503)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1293/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลสั่งวางเงินประกันเพื่อป้องกันการประวิงคดีขัดทรัพย์ แม้คำร้องโจทก์ไม่ได้ขอโดยตรง
ผู้ร้องยื่นคำร้องขัดทรัพย์ โจทก์ให้การต่อสู้คดีแล้วยื่นคำร้องว่าคำร้องของผู้ร้องขัดทรัพย์ไม่มีมูล ขอให้งดสืบพยาน หากศาลเห็นว่าคำร้องของผู้ร้องขัดทรัพย์ยื่นเข้ามาเพื่อประวิงคดีให้ชักช้า โดยมีหลักฐานสนับสนุนอยู่ในสำนวนแล้ว ศาลย่อมมีอำนาจสั่งให้ผู้ร้องขัดทรัพย์วางเงิน เพื่อเป็นประกันการชำระค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 (1) ได้
(วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 13/2514)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 671/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนำสืบมูลเหตุการกู้เงิน และการฟ้องภริยาต้องรับผิดในหนี้ที่เกิดขึ้นระหว่างสมรส
โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้ การที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ไปทำการค้าค้างดอกเบี้ย โจทก์จึงเอาดอกเบี้ยและต้นเงินรวมกันทำสัญญากู้ไว้ ดังนี้ เป็นการนำสืบถึงมูลเหตุที่นำมาสู่การทำสัญญากู้เงิน เพื่อแสดงว่าจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญากู้เงินโจทก์ตามฟ้องจริง และได้มีการตกลงกันให้ถือว่าจำเลยได้รับเงินแล้วอย่างไร ดังนี้ ย่อมสืบได้หาเป็นการสืบนอกฟ้องนอกประเด็นไม่ ทั้งโจทก์ไม่ต้องบรรยายฟ้องกล่าวอ้างตั้งประเด็นเรื่องที่นำสืบนั้นมาในฟ้องด้วย
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 2 เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 และเป็นหนี้ก่อขึ้นระหว่างสมรส เป็นหนี้ร่วม จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดใช้หนี้โจทก์ด้วย ดังนี้ เห็นได้ว่าคำฟ้องของโจทก์แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว ที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า "เป็นหนี้ร่วม" ก็หมายถึงหนี้ดังระบุไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1482 (1) (2) (3) (4) ฟ้องของโจทก์จึงสมบูรณ์ ไม่เคลือบคลุม ส่วนจะเป็นหนี้ร่วมชนิดใดนั้นเป็นรายละเอียดที่โจทก์จะต้องนำสืบต่อไปในชั้นพิจารณา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1053/2502

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนังสือรับสภาพหนี้ไม่ขัดกับคำฟ้อง แม้เหตุต่างกัน ศาลงดพยานจำเลยได้หากประวิงคดี
โจทก์เป็นสหกรณ์ มีวัตถุประสงค์ซื้อและขายข้าว จำเลยเป็นผู้จัดการของโจทก์ เมื่อคณะกรรมการมาตรวจ ปรากฏว่าข้าวขาดจำนวน แต่จำเลยไม่มีเงินมาให้ตรวจ จำเลยจึงทำหนังสือรับสภาพหนี้ไว้ ว่าจำเลยทำเงินขาดไป ซึ่งจะว่าเป็นเรื่องข้าวขาดหรือเงินขาดก็ได้ จำเลยก็จะต้องรับผิดตามหนังสือรับสภาพหนี้เช่นเดียวกัน หนังสือรับสภาพหนี้จึงไม่ขัดกับคำฟ้องที่ว่าจำเลยทำข้าวเปลือกขาดจำนวนไปอันเป็นเพียงการกล่าวไปถึงมูลเหตุที่จำเลยจะทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้โจทก์ไว้เท่านั้น แต่ข้อใหญ่ใจความของฟ้องโจทก์ก็คือ เรียกเงินตามหนังสือรับสภาพหนี้ที่จำเลยทำให้ไว้นั่นเอง
พยานจำเลยเป็นพยานหมาย แต่จำเลยไม่ขอหมายเรียกพยานให้มาศาล ถือได้ว่าเป็นความผิดของจำเลย ทั้งตัวจำเลยเองก็ไม่ได้มาศาล คงมีแต่โทรเลขบอกมายังทนายว่าป่วย ขอเลื่อนถึง 2 ครั้ง ซึ่งเป็นการบอกป่วยมาลอยๆ โดยไม่มีหลักฐานอย่างใด เมื่อพิเคราะห์ประกอบกับจำเลยไม่ขอหมายเรียกพยานล่วงหน้าเสียด้วย เลยไม่มีพยานมาศาลเช่นนี้ รูปเรื่องแสดงว่า จำเลยแกล้งประวิงคดีให้ล่าช้า ศาลย่อมสั่งงดพยานจำเลยเสียได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1268/2493

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจะซื้อขายและการฟ้องร้องผิดสัญญา: ไม่เป็นมูลเหตุฟ้องหากยังไม่ได้ทำสัญญาซื้อขาย
โจทก์ฟ้องว่า ได้เสนอขายสิ่งของแก่จำเลย จำเลยได้สนองรับซื้อสิ่งของนั้น ตามคำเสนอของโจทก์แล้ว แต่ต่อมาบิดพริ้วไม่ยอมทำสัญญาซื้อขายสิ่งของนั้นกับโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จึงขอให้ศาลแสดงว่าการกระทำระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาจะซื้อขายมีผลผูกพันและบังคับได้ตามกฎหมาย ดังนี้ ยังไม่เป็นเหตุผลที่โจทก์จะต้องมาขอใช้สิทธิทางศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 เพราะเป็นเรื่องที่ขอให้แสดงว่าได้มีการตกลงจะทำสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยหรือไม่เท่านั้นถ้าโจทก์ยืนยันว่าได้มีการตกลงกับจำเลยแล้ว และจำเลยกระทำผิดข้อตกลงอย่างใดโจทก์ชอบที่จะฟ้องร้องว่ากล่าวในทางนั้น ฉะนั้นในเรื่องนี้ จึงยังไม่เป็นมูลกรณีที่จะพึงฟ้องร้องกันได้ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 16/2493)
of 3