พบผลลัพธ์ทั้งหมด 63 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 983/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยอมรับหนี้โดยปริยายจากคำให้การที่ไม่ชัดเจนและการฟ้องร้องเช็คของผู้ถือ
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทชำระหนี้ให้โจทก์ แต่จำเลยให้การแต่เพียงว่าจำเลยไม่เคยเป็นหนี้โจทก์ ไม่เคยรู้จักและไม่มีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับโจทก์มาก่อน โจทก์ฟ้องจำเลยโดยไม่สุจริต โดยไม่ได้อ้างเหตุแห่งการปฏิเสธไว้ว่าเป็นเพราะเหตุใด รวมทั้งไม่ได้ปฏิเสธว่าเช็คพิพาทไม่ใช่เป็นเช็คของจำเลยหรือจำเลยไม่ได้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาท คำให้การจำเลยจึงเป็นคำให้การที่มิได้ปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์โดยชัดแจ้ง รวมทั้งไม่ได้อ้างเหตุแห่งการปฏิเสธไว้ ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 177 วรรคสอง จึงต้องถือว่าจำเลยยอมรับว่า จำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทและธนาคารตามเช็คได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน เช็คพิพาทเป็นเช็คสั่งจ่ายเงินแก่ผู้ถือ เมื่อโจทก์เป็นผู้ถือจึงเป็นผู้ทรงเช็คพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมายมีอำนาจฟ้องและจำเลยต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็ค
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 983/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยอมรับหนี้โดยปริยายจากคำให้การที่ไม่ชัดเจน และผลของการเป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบ
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทชำระหนี้ให้โจทก์แต่จำเลยให้การแต่เพียงว่าจำเลยไม่เคยเป็นหนี้โจทก์ไม่เคยรู้จักและไม่มีนิติสัมพันธ์ใดๆกับโจทก์มาก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยโดยไม่สุจริตโดยไม่ได้อ้างเหตุแห่งการปฏิเสธไว้ว่าเป็นเพราะเหตุใดรวมทั้งไม่ได้ปฏิเสธว่าเช็คพิพาทไม่ใช่เป็นเช็คของจำเลยหรือจำเลยไม่ได้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทคำให้การจำเลยจึงเป็นคำให้การที่มิได้ปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์โดยชัดแจ้งรวมทั้งไม่ได้อ้างเหตุแห่งการปฏิเสธไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา177วรรคสองจึงต้องถือว่าจำเลยยอมรับว่าจำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทและธนาคารตามเช็คได้ปฏิเสธการจ่ายเงินเช็คพิพาทเป็นเช็คสั่งจ่ายเงินแก่ผู้ถือเมื่อโจทก์เป็นผู้ถือจึงเป็นผู้ทรงเช็คพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมายมีอำนาจฟ้องและจำเลยต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็ค
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7277/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องเรียกเงินค่าหนี้: การยอมรับหนี้บางส่วน และประเด็นการไม่ฟ้องซ้ำ
คดีเดิมโจทก์ฟ้องเรียกเงินจากจำเลยทั้งหมด 150,000 บาทตามบันทึกรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารท้ายฟ้อง อ้างว่าจำเลยผิดนัดไม่ได้ชำระเงินตามที่ตกลงผ่อนชำระเลย ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยผ่อนชำระหนี้ตั้งแต่งวดแรกบางส่วนแล้ว ถือว่าจำเลยไม่ได้ผิดนัด แต่คดีนี้โจทก์ยอมรับว่าได้รับเงินจากจำเลยบางส่วนแล้วเป็นเงิน 38,000 บาท ตามที่จำเลยให้การไว้ในคดีเดิมพ้นกำหนดเวลา 60 เดือน แล้ว จำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ที่เหลืออีก 112,000 บาทจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่าจำเลยยังไม่ผิดนัด กลับต่อสู้ว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดตามบันทึกรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารท้ายฟ้องเพราะเหตุอื่น จึงไม่มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกับคดีเดิม ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 148ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5667/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือยอมรับหนี้ค่าบริการโทรศัพท์ ไม่ใช่สัญญาประนีประนอมยอมความ มีอายุความ 2 ปี
เอกสารมีใจความว่า จำเลยยอมรับว่าเป็นหนี้โจทก์และยินยอมผ่อนชำระเป็น 3 งวด หากผิดนัดงวดใดงวดหนึ่งยินยอมชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี หากจำเลยถูกฟ้องเป็นคดีล้มละลายและศาลมีคำสั่งพิทักษ์-ทรัพย์หรือจำเลยถูกเจ้าหนี้ตามคำพิพากษายึดหรืออายัดทรัพย์ให้ถือว่าสัญญาสิ้นสุดจำเลยยินยอมชำระเงินที่ค้าง แต่หนี้ที่โจทก์เรียกร้องจากจำเลยเป็นมูลหนี้อันเนื่องมาจากค่าบริการในการพูดโทรศัพท์ โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้จึงมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ค่าบริการในการพูดโทรศัพท์ เมื่อ ท. ผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยมาทำเอกสารดังกล่าวยอมใช้หนี้แก่โจทก์ เอกสารฉบับนี้จึงเป็นเพียงหนังสือที่ฝ่ายจำเลยผู้เป็นลูกหนี้ยอมรับสภาพหนี้ต่อโจทก์ ผู้เป็นเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร้องหาใช่เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความไม่
โจทก์เป็นผู้จัดให้มีบริการพูดโทรศัพท์ถือได้ว่าเป็นผู้ประกอบธุรกิจในการรับทำการงานต่าง ๆ เรียกร้องเอาสินจ้างอันพึงจะได้รับในการนั้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 165 (7) เดิม หรือ 193/37 (7) ใหม่ สิทธิเรียกร้องค่าบริการในการพูดโทรศัพท์ติดต่อไปต่างประเทศของโจทก์มีอายุความ 2 ปี
โจทก์เป็นผู้จัดให้มีบริการพูดโทรศัพท์ถือได้ว่าเป็นผู้ประกอบธุรกิจในการรับทำการงานต่าง ๆ เรียกร้องเอาสินจ้างอันพึงจะได้รับในการนั้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 165 (7) เดิม หรือ 193/37 (7) ใหม่ สิทธิเรียกร้องค่าบริการในการพูดโทรศัพท์ติดต่อไปต่างประเทศของโจทก์มีอายุความ 2 ปี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1141/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาระการพิสูจน์เมื่อจำเลยยอมรับหนี้แต่ต่อสู้ว่าได้ชำระหนี้แล้ว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองไม่ชำระเงินค่าแชร์ จำเลยทั้งสองให้การว่าได้ชำระเงินให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว เท่ากับจำเลยทั้งสองยอมรับว่าเป็นหนี้ค่าแชร์ตามที่โจทก์ฟ้องจริง แต่ต่อสู้ว่าได้ชำระหนี้ค่าแชร์นั้นให้โจทก์หมดแล้ว จำเลยทั้งสองจึงมีภาระการพิสูจน์หรือมีหน้าที่นำสืบให้สมกับข้อต่อสู้ของตน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1141/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยอมรับหนี้และการพิสูจน์การชำระหนี้: จำเลยมีหน้าที่พิสูจน์การชำระหนี้เมื่อต่อสู้คดี
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองไม่ชำระเงินค่าแชร์จำเลยทั้งสองให้การว่าได้ชำระเงินให้โจทก์ครบถ้วนแล้วเท่ากับจำเลยทั้งสองยอมรับว่าเป็นหนี้ค่าแชร์ตามที่โจทก์ฟ้องจริงแต่ต่อสู้ว่าได้ชำระหนี้ค่าแชร์นั้นให้โจทก์หมดแล้วจำเลยทั้งสองจึงมีภาระการพิสูจน์หรือมีหน้าที่นำสืบให้สมกับข้อต่อสู้ของตน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5631/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความสัญญาชดใช้ทุนรัฐบาล: เริ่มนับเมื่อมีสิทธิเรียกร้อง การยอมรับหนี้ไม่เกิดขึ้นจากโทรเลข
จำเลยที่ 1 ได้รับทุนของรัฐบาลประเทศออสเตรเลีย ภายใต้แผนโคลัมโบเพื่อไปศึกษาที่ประเทศออสเตรเลีย โดยมีข้อสัญญากับโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 สำเร็จการศึกษาแล้วจะต้องกลับมารับราชการกับโจทก์ หากไม่กลับมายอมคืนเงินค่าใช้จ่ายเต็มจำนวนทันที โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน ต่อมาจำเลยที่ 1 สำเร็จการศึกษาเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2512 และโจทก์อนุมัติให้ลาศึกษาต่อที่ประเทศหกรัฐอเมริกาอีก 2 ปี หลังจากครบกำหนดแล้ว จำเลยที่ 1 ไม่กลับมารับราชการกับโจทก์ตามสัญญา ดังนี้ ตามสัญญาดังกล่าว โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ชดใช้เงินค่าใช้จ่ายทันทีเมื่อจำเลยที่ 1 ไม่กลับมารับราชการอายุความจึงเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2514 อันเป็นวันที่โจทก์อาจบังคับใช้สิทธิเรียกร้องตามสัญญาได้ โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2532 จึงพ้นกำหนด10 ปี ฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ขาดอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 164เดิมแล้ว
โจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินตามสัญญาการที่จำเลยที่ 1 ส่งโทรเลขถึงโจทก์ว่า ได้ทราบข้อความในจดหมายแล้วจะกลับมาติดต่อกับโจทก์โดยเร็วนั้น ข้อความในโทรเลขเป็นเพียงการตอบโจทก์ว่าจะติดต่อกับโจทก์เท่านั้น ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 รับสภาพหนี้ต่อโจทก์ และถือไม่ได้เป็นการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งอันปราศจากเคลือบคลุมสงสัยว่ายอมรับสภาพหนี้ต่อโจทก์อายุความจึงไม่สะดุดหยุดลง
โจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินตามสัญญาการที่จำเลยที่ 1 ส่งโทรเลขถึงโจทก์ว่า ได้ทราบข้อความในจดหมายแล้วจะกลับมาติดต่อกับโจทก์โดยเร็วนั้น ข้อความในโทรเลขเป็นเพียงการตอบโจทก์ว่าจะติดต่อกับโจทก์เท่านั้น ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 รับสภาพหนี้ต่อโจทก์ และถือไม่ได้เป็นการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งอันปราศจากเคลือบคลุมสงสัยว่ายอมรับสภาพหนี้ต่อโจทก์อายุความจึงไม่สะดุดหยุดลง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 716/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความสะดุดหยุดเมื่อมีการผ่อนชำระหนี้ แม้จำเลยอ้างเพียงยอมรับหนี้เพื่อบรรเทาโทษทางอาญา
คำให้การของจำเลยเป็นเรื่องต่อสู้ว่า จำเลยมิได้รับสภาพหนี้ซึ่งไม่เป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงเท่านั้น การที่จำเลยอุทธรณ์ว่าหนี้ค่าจ้างทำฟิล์มโปร่งแสงโฆษณาระงับด้วยการแปลงหนี้ใหม่มาเป็นมูลหนี้ตามเช็คนั้น จึงเป็นคนละเรื่องกับที่จำเลยให้การต่อสู้ไว้เป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น จำเลยจึงยกขึ้นมาอุทธรณ์ไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225 วรรคแรก จำเลยรับว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คชำระหนี้ค่าจ้างทำฟิล์มโปร่งแสงโฆษณาให้โจทก์ เมื่อเช็คเรียกเก็บเงินไม่ได้และโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญา จำเลยก็รับสารภาพและตกลงผ่อนชำระหนี้ให้ดังนี้ จึงเป็นการชำระหนี้ค่าจ้างบางส่วนให้โจทก์ ย่อมทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172เดิม (มาตรา 193/14 ใหม่) เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้หลังจากจำเลยงดการผ่อนชำระหนี้ ยังไม่เกิน 2 ปี ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 716/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องไม่เคลือบคลุม อายุความสะดุดหยุดเมื่อจำเลยยอมรับหนี้และผ่อนชำระ แม้ต่อมาจะอ้างว่าเป็นการบรรเทาโทษอาญา
โจทก์ฟ้องอ้างมูลหนี้ตามสัญญาว่าจ้างทำฟิลม์โปร่งแสงโฆษณาโดยบรรยายมาในคำฟ้องว่า จำเลยจ้างโจทก์ทำจำนวนกี่แผ่น ค้างชำระค่าจ้างอยู่จำนวนเท่าใด และจำเลยได้รับสภาพหนี้ในเงินค่าจ้างดังกล่าวอย่างไร จึงเป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น สามารถทำให้จำเลยเข้าใจฟ้องได้ดีแล้ว ไม่เคลือบคลุม เมื่อคำให้การจำเลยเป็นเรื่องที่ต่อสู้ว่าจำเลยมิได้รับสภาพหนี้ ไม่เป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลง การที่จำเลยอุทธรณ์ว่าหนี้ค่าจ้างทำฟิล์มโปร่งแสงโฆษณาระงับด้วยการแปลงหนี้ใหม่มาเป็นมูลหนี้ตามเช็คจึงเป็นคนละเรื่องกับที่ให้การต่อสู้ไว้และเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น จำเลยยกขึ้นมาอุทธรณ์ไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225 วรรคแรก เมื่อจำเลยให้การยอมรับว่า จำเลยได้สั่งจ่ายเช็คชำระหนี้ค่าจ้างทำฟิล์มโปร่งแสงโฆษณาให้แก่โจทก์ เมื่อเช็คเรียกเก็บเงินไม่ได้ โจทก์ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาในข้อหาความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คต่อศาลอาญาธนบุรีในการพิจารณาคดีดังกล่าว จำเลยให้การรับสารภาพและตกลงผ่อนชำระหนี้ให้แก่โจทก์ โดยได้ผ่อนชำระให้ไปแล้ว 40,000 บาท ตามที่โจทก์ฟ้อง ซึ่งเป็นการชำระหนี้ค่าจ้างทำฟิล์มโปร่งแสงโฆษณาบางส่วนให้แก่โจทก์ เมื่อได้กระทำภายในอายุความ 2 ปี ย่อมทำให้อายุความสะดุดหยุดลง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172 เดิม(มาตรา 193/14 ใหม่) โจทก์ฟ้องหลังจากจำเลยงดการผ่อนชำระหนี้ให้แก่โจทก์ยังไม่เกิน 2 ปี คดีจึงไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3180/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความหนี้แพ่งสะดุดหยุดลงจากการยอมรับหนี้โดยการสั่งจ่ายเช็คใหม่ และการร่วมรับผิดของหุ้นส่วนผู้จัดการ
จำเลยที่ 1 สั่งซื้อและรับสินค้าไปจากโจทก์หลายคราวแล้วสั่งจ่ายเช็คจำนวน 25 ฉบับ ลงวันที่สั่งจ่ายระหว่างเดือนมิถุนายน 2528 ถึงเดือนสิงหาคม 2529 ให้โจทก์เพื่อชำระค่าสินค้า เมื่อโจทก์เรียกเก็บเงินธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยที่ 1 ก็ได้สั่งจ่ายเช็คฉบับใหม่แทนฉบับเดิมพร้อมดอกเบี้ยตลอดมาและเมื่อเช็คที่เปลี่ยนถึงกำหนด โจทก์เรียกเก็บธนาคารตามเช็คก็ปฏิเสธการจ่ายเงินอีก การกระทำดังกล่าวเป็นกรณีจำเลยที่ 1 กระทำอันปราศจากเคลือบคลุมสงสัยตระหนักเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพสิทธิเรียกร้องของโจทก์แล้วอายุความในการเรียกร้องค่าสินค้าของจำเลยที่ 1 ย่อมสะดุดหยุดลงและอายุความจะเริ่มนับใหม่ตั้งแต่วันที่ลงในเช็คแต่ละฉบับอันเป็นวันที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องตามเช็คเป็นต้นไป เมื่อเช็คฉบับหลังสุดที่จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเงินจำนวน 531,134 บาท ลงวันที่ 25 สิงหาคม 2529 โจทก์นำหนี้จำนวนดังกล่าวมาฟ้องให้ลูกหนี้ล้มละลายเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2530 จึงยังไม่เกิน 2 ปี หนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องจึงไม่ขาดอายุความ การที่โจทก์เคยฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 3 ในข้อหาความผิดต่อพระราชบัญญัติ ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค และศาลพิพากษายกฟ้องโดยฟังว่าเป็นเช็คประกันหนี้ค่าสินค้าที่ซื้อนั้น เป็นเรื่องวินิจฉัยว่า จำเลยไม่มีเจตนากระทำผิดตามพระราชบัญญัติดังกล่าวไม่ได้หมายความว่าไม่มีหนี้สินต่อกันประกอบกับการฟ้องคดีเช็คทางอาญานั้น ไม่ใช่คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญา ดังนั้นในการพิจารณาคดีแพ่งศาลจึงไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา