พบผลลัพธ์ทั้งหมด 49 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2703/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทของผู้ขับขบวนรถไฟ การไม่ปฏิบัติตามระเบียบความปลอดภัย ส่งผลให้เกิดการชนและเสียชีวิต
ตามข้อบังคับและระเบียบการเดินรถ พ.ศ.2524 ข้อ 260ซึ่งผู้ขับขบวนรถไฟจะต้องปฏิบัติตามกำหนดไว้ว่า ในกรณีที่พนักงานขับรถไม่เห็นสัญญาณอนุญาต ให้พนักงานขับรถหยุดขบวนรถใกล้ถึงถนนผ่านเสมอระดับทาง และดูให้แน่ชัดว่าไม่มีสิ่งใดกีดขวางทางแล้ว ก็ให้นำขบวนรถผ่านไปได้ด้วยความระมัดระวังการที่จำเลยที่ 1 มิได้หยุดรถก่อนถึงถนนคีรีรัฐยา ย่อมเป็นการงดเว้นการปฏิบัติตามข้อบังคับและระเบียบการเดินรถ พ.ศ.2524 ข้อ 260 ดังกล่าวที่กำหนดขึ้นเพื่อความปลอดภัยในการเดินรถไฟผ่านถนนที่ตัดกับรางรถไฟโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งผู้ขับขบวนรถไฟผ่านถนนเสมอระดับทางจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์จำเลยที่ 1 อาจใช้ความระมัดระวังโดยหยุดขบวนรถเสียก่อนจะถึงถนนคีรีรัฐยาแล้วนำขบวนรถผ่านถนนดังกล่าวไปด้วยความระมัดระวัง แต่จำเลยที่ 1 ก็หาได้กระทำเช่นนั้นไม่ จำเลยที่ 1 จึงเป็นผู้ขับขบวนรถไฟโดยประมาท และการที่จำเลยที่ 1 ขับขบวนรถไฟผ่านถนนคีรีรัฐยาแล้วเกิดชนกับรถยนต์กระบะที่จำเลยที่ 2ขับมาเป็นเหตุให้ผู้ที่นั่งมาในกระบะหลังของรถยนต์ถึงแก่ความตาย 2 คน ความตายของบุคคลทั้งสองจึงเป็นผลโดยตรงจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 ด้วยเช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2703/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทเลินเล่อของผู้ขับขบวนรถไฟและผู้ขับรถยนต์กระบะจนเกิดอุบัติเหตุและมีผู้เสียชีวิต
จำเลยที่ 2 ขับรถยนต์กระบะจะผ่านทางรถไฟ ซึ่งมีป้ายบอกเครื่องหมายว่ามีทางรถไฟข้างหน้าแสดงไว้ รวมทั้งมีป้ายสัญญาณ"หยุด" ในระยะ 5 เมตร ก่อนถึงทางรถไฟบอกไว้ แม้พนักงานเปิดปิดเครื่องกั้นยังไม่ได้นำแผงกั้นลงปิดทางรถยนต์ จำเลยที่ 2 ก็ควรใช้ความระมัดระวังดูแลความปลอดภัยให้แน่เสียก่อนโดยชะลอความเร็วและหยุดรถมองซ้ายขวา ต่อเมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้วจึงขับรถต่อไปได้แต่มิได้ปฏิบัติดังกล่าว กลับขับรถด้วยความเร็วสูงลอดเครื่องกั้นผ่านทางรถไฟจนเป็นเหตุให้รถยนต์กระบะเกิดชนกับขบวนรถไฟขึ้นแล้วมีคนที่นั่งมาในรถยนต์กระบะถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 2 จึงมีความผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ขับขบวนรถไฟมิได้หยุดรถก่อนถึงถนนที่จะตัดกับทางรถไฟโดยที่ยังไม่ปรากฏสัญญาณอนุญาตให้ขบวนรถไฟผ่านได้ เป็นการไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับและระเบียบการเดินรถพ.ศ. 2524 ข้อ 260 ที่กำหนดว่า ในกรณีที่พนักงานขับรถไม่เห็นสัญญาณอนุญาตให้หยุดขบวนรถใกล้ถึงถนนผ่านเสมอระดับทาง และดูให้แน่ชัดว่าไม่มีสิ่งใดกีดขวางทางแล้ว ก็ให้นำขบวนรถผ่านไปได้ด้วยความระมัดระวัง ซึ่งกำหนดขึ้นเพื่อความปลอดภัยในการเดินรถไฟผ่านถนนที่ตัดกับรางรถไฟ เมื่อจำเลยที่ 1 อาจใช้ความระมัดระวังโดยหยุดขบวนรถเสียก่อนจะถึงถนนดังกล่าว แล้วนำขบวนรถผ่านถนนไปด้วยความระมัดระวังได้ แต่จำเลยที่ 1 หาได้กระทำเช่นนั้นไม่เมื่อเกิดการชนกับรถยนต์กระบะที่จำเลยที่ 2 ขับมาจำเลยที่ 1จึงเป็นผู้ขับขบวนรถไฟโดยประมาทต้องรับผิดในผลแห่งความตายของคนที่นั่งมาในรถยนต์กระบะด้วยเช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2703/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทของผู้ขับขบวนรถไฟและผู้ขับขี่รถยนต์กระบะ ส่งผลให้เกิดการเสียชีวิต
ตามข้อบังคับและระเบียบการเดินรถ พ.ศ. 2524 ข้อ 260ซึ่งผู้ขับขบวนรถไฟจะต้องปฏิบัติตามกำหนดไว้ว่า ในกรณีที่พนักงานขับรถไม่เห็นสัญญาณอนุญาต ให้พนักงานขับรถหยุดขบวนรถใกล้ถึงถนนผ่านเสมอระดับทาง และดูให้แน่ชัดว่าไม่มีสิ่งใดกีดขวางทางแล้ว ก็ให้นำขบวนรถผ่านไปได้ด้วยความระมัดระวัง การที่จำเลยที่ 1มิได้หยุดรถก่อนถึงถนนคีรีรัฐยา ย่อมเป็นการงดเว้นการปฏิบัติตามข้อบังคับและระเบียบการเดินรถ พ.ศ. 2525 ข้อ 260 ดังกล่าวที่กำหนดขึ้นเพื่อความปลอดภัยในการเดินรถไฟผ่านถนนที่ตัดกับรางรถไฟโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งผู้ขับขบวนรถไฟผ่านถนนเสมอระดับทางจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ จำเลยที่ 1 อาจใช้ความระมัดระวังโดยหยุดขบวนรถเสียก่อนจะถึงถนนคีรีรัฐยา แล้วนำขบวนรถผ่านถนนดังกล่าวไปด้วยความระมัดระวัง แต่จำเลยที่ 1ก็หาได้กระทำเช่นนั้นไม่ จำเลยที่ 1 จึงเป็นผู้ขับขบวนรถไฟโดยประมาทและการที่จำเลยที่ 1 ขับขบวนรถไฟผ่านถนนคีรีรัฐยาแล้วเกิดชนกับรถยนต์กระบะที่จำเลยที่ 2 ขับมาเป็นเหตุให้ผู้ที่นั่งมาในกระบะหลังของรถยนต์ถึงแก่ความตาย 2 คน ความตายของบุคคลทั้งสองจึงเป็นผลโดยตรงจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 ด้วยเช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2642/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางละเมิดจากอุบัติเหตุทางรถไฟ: ค่าใช้จ่ายโรงงานเป็นค่าเสียหายโดยตรง
ค่าใช้จ่ายทั่วไปในโรงงาน เช่น ค่ากระแสไฟฟ้า ค่าน้ำประปาค่าใช้เครื่องจักร เครื่องมือกล และค่าควบคุม คือค่าใช้จ่ายบริหารส่วนกลางของโจทก์ เป็นค่าใช้จ่ายที่จะต้องมีแน่นอน และโจทก์ได้ใช้ไปในการซ่อมรถโบกี้ของโจทก์ที่ได้รับความเสียหาย จึงเป็นค่าเสียหายโดยตรงที่เกิดจากการกระทำละเมิดโจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายทั้งสองส่วนนี้ได้ เมื่อศาลฎีกากำหนดค่าเสียหายลดลง และมูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ซึ่งไม่อาจแบ่งแยกได้ แม้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ไม่ได้ฎีกาศาลฎีกาก็พิพากษาให้มีผลไปถึงจำเลยที่ไม่ได้ฎีกาได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245(1)ประกอบด้วย มาตรา 247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 934/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทเลินเล่อของพนักงานรถไฟและผลต่อความรับผิดทางอาญาต่อการชนจนมีผู้เสียชีวิตและทรัพย์สินเสียหาย
จำเลยที่ 1 เป็นนายตรวจกลประจำโรงจักรดีเซลบางซื่อติดเครื่องยนต์รถจักรดีเซล โดยมิได้ตรวจดูให้แน่ก่อนว่าคันเร่งรอบเครื่องยนต์คันเปลี่ยนอาการและคันบังคับการไฟฟ้าอยู่ในตำแหน่งที่ว่าง และลงจากรถจักรไปโดยไม่ได้ดับเครื่องยนต์ เป็นเหตุให้รถจักรดีเซลแล่นออกไปโดยไม่มีคนขับ ไปชนคนตายและบาดเจ็บ ถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยประมาท เครื่องตกรางที่ 1 อยู่ในเขตรางที่ 6 ซึ่งในวันเกิดเหตุมีประกาศปิดรางเพื่อซ่อมจึงเป็นทางปิด เมื่อปิดทางแล้วทางนั้นก็อยู่ในอำนาจของเจ้าหน้าที่ฝ่ายบำรุงทางที่จะถอดรางออกถอดประแจ ถอนไม้หมอนออกได้ ข้อบังคับและระเบียบการเดินรถพ.ศ. 2524 ข้อ 107(1) ที่กำหนดให้ปิดเครื่องตกรางและกลับประแจให้อยู่ในท่าทางประธานนั้นใช้สำหรับทางเปิดเดินรถเป็นปกติไม่ได้ใช้บังคับแก่ทางปิด เพราะทางปิดนั้นตามข้อบังคับและระเบียบการเดินรถห้ามมิให้ขบวนรถผ่านเข้าไปโดยเด็ดขาด จำเลยที่ 2 เป็นพนักงานควบคุมย่านสถานีรถไฟบางซื่อมีหน้าที่ควบคุมขบวนรถไฟต่าง ๆ ที่ผ่านสถานีรถไฟบางซื่อและควบคุมการเข้าออกของหัวรถจักรดีเซลบริเวณโรงรถจักรดีเซล การที่จำเลยที่ 2 เปิดเครื่องตกรางที่ 1 โดยไม่ได้ปิด จึงไม่อยู่ในข้อบังคับและระเบียบการเดินรถดังกล่าว อย่างไรก็ตามการที่จำเลยที่ 2 เปิดเครื่องตกรางที่ 1 ก็เนื่องจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายบำรุงทางขอให้เปิดเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่เจ้าหน้าที่ฝ่ายบำรุงทางนำรถผลักเบาบรรทุกอุปกรณ์การซ่อมทางเข้าไปจึงนับว่ามีเหตุผลอันสมควรในระหว่างที่จำเลยที่ 2 เปิดเครื่องตกรางที่ 1 นั้น รถจักรดีเซลคันเกิดเหตุได้แล่นออกไปโดยไม่มีคนขับและก่อให้เกิดความเสียหายเป็นเหตุให้คนตายและบาดเจ็บ ที่ปลายทางสถานีรถไฟหัวลำโพงซึ่งบุคคลในภาวะเช่นจำเลยที่ 2 ย่อมไม่อาจคาดคิดได้ว่าจะมีเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้น จึงไม่เป็นการกระทำโดยประมาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 80/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางละเมิดจากการชนรถไฟ: การประเมินค่าเสียหายที่สมเหตุสมผลและการแบ่งความรับผิด
จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกและได้นำเข้าไปร่วมในกิจการค้าของจำเลยที่ 3 ซึ่งจดทะเบียนประกอบการขนส่งไว้ เมื่อจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 มีหน้าที่ในการขับรถยนต์บรรทุกได้ขับรถยนต์บรรทุกไปในทางการที่จ้างให้แก่จำเลยที่ 2ด้วยความประมาทชนกับรถไฟของโจทก์ ดังนี้จำเลยที่ 2 และที่ 3ต้องร่วมกันรับผิดกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ในฐานะที่เป็นนายจ้างร่วมกันของจำเลยที่ 1 ค่าเสียหายในการซ่อมรถไฟคันเกิดเหตุ โจทก์มีสิทธิได้รับชดใช้ค่าแรงและค่าของที่โจทก์ได้ใช้จ่ายไปจริงในการซ่อมดังกล่าวส่วนค่าเสียหายซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายในโรงงาน ซึ่งมีค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา ค่าเชื้อเพลิง ค่าเครื่องจักรทำงาน ค่าเสื่อมราคากับค่าบำรุงรักษาเครื่องจักรและค่าควบคุมซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่โจทก์เสียไปในการสืบสวนสอบสวนหาข้อเท็จจริงที่เกิดเหตุละเมิดขึ้นนั้น โจทก์คิดคำนวณค่าใช้จ่ายทั้งสองรายการดังกล่าวมาจากสถิติตามระเบียบของการรถไฟปี พ.ศ. 2525 จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการคิดมาจากผลการทำละเมิด โจทก์ย่อมไม่สามารถเอาค่าใช้จ่ายทั้งสองรายการนี้มารวมกับค่าแรงและค่าของเพื่อคิดเป็นค่าเสียหายในการซ่อมรถไฟคันเกิดเหตุได้สำหรับค่าเสียหายด้านการโดยสารนั้น เนื่องจากเหตุที่รถไฟตกรางทำให้การเดินรถต้องหยุดชะงักเป็นเหตุให้โจทก์ขาดรายได้ โจทก์จึงมีสิทธิได้รับชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าว แต่โจทก์คำนวณค่าเสียหายดังกล่าวจากสถิติการจำหน่ายตั๋วรถไฟหลายขบวนที่โจทก์เคยได้รับค่าโดยสารมาถัวเฉลี่ย มิใช่รายได้ที่โจทก์ขาดไปจริง ศาลจึงมีอำนาจที่จะกำหนดค่าเสียหายจำนวนนี้ให้ได้ตามจำนวนที่เห็นว่าเหมาะสม นอกจากนี้โจทก์ยังมีสิทธิได้รับชดใช้ค่าเสียหายในการซ่อมทางของฝ่ายการช่างโยธาทั้งค่าแรงและค่าของ ค่าแรงในการยกรถตกราง และค่าลากจูงรถไฟคันเกิดเหตุตามจำนวนที่ได้ใช้จ่ายไปจริง แต่ค่าโอเวอร์เฮดชาร์จในการยกรถตกราง ค่าอาหารเลี้ยงดูผู้ปฏิบัติงานและค่าควบคุมนั้น โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าค่าโอเวอร์เฮดชาร์จกับค่าควบคุมซึ่งโจทก์คิดในอัตราร้อยละ51 และ 25 ของค่าแรงยกรถนั้นเกี่ยวข้องกับการซ่อมรายนี้อย่างไรและมีหลักการคิดคำนวณอย่างไร จึงฟังไม่ได้ว่าเป็นค่าเสียหายที่เป็นผลโดยตรงจากการละเมิด ส่วนค่าอาหารเลี้ยงดูผู้ปฏิบัติงานโจทก์มิได้สืบว่าเหตุใดเมื่อจ่ายค่าแรงแล้วต้องจ่ายค่าอาหารอีกจึงเป็นค่าเสียหายที่ซ้ำซ้อน โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องจากจำเลยทั้งสาม สำหรับค่าจัดรถพิเศษช่วยอันตรายที่โจทก์ต้องจัดขบวนรถไฟพิเศษไปจัดการเปิดทางนั้น โจทก์ได้คำนวณเพิ่มค่าควบคุมรถโดยสารในอัตราร้อยละ 20 รถสินค้าในอัตราร้อยละ 15 ไว้ด้วย โดยคิดคำนวณจากระเบียบของโจทก์ ค่าควบคุมส่วนที่คำนวณเพิ่มขึ้นนี้ถือไม่ได้ว่าเป็นค่าเสียหายโดยตรงจากการทำละเมิด ศาลมีอำนาจกำหนดค่าเสียหายส่วนนี้ให้โจทก์ใหม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 526/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทในการขับรถตัดหน้ารถไฟ ผู้ขับขี่มีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎจราจรและป้ายเตือน
ใกล้บริเวณที่เกิดเหตุมีป้ายจราจรติดตั้งไว้ 2 ป้าย ป้ายแรกเขียนว่า ให้ระวังรถไฟ และอีกป้ายหนึ่งเขียนว่า หยุด แต่จำเลยที่ 1ไม่ได้หยุดรถ และเมื่อเห็นรถไฟแล่นมาขณะอยู่ห่างประมาณ 30 เมตรจำเลยที่ 1 เร่ง เครื่องยนต์ เพื่อขับข้ามทางรถไฟให้พ้น แต่ไม่ทันจึงเป็นเหตุให้รถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับชนกับรถไฟ ดังนี้ จำเลยละเลยไม่ปฏิบัติตามกฎจราจร กลับฝ่าฝืนและเสี่ยงภัยอย่างชัดแจ้งตามพฤติการณ์แสดงว่าจำเลยที่ 1 ขับรถด้วยความประมาทอย่างร้ายแรงแม้การรถไฟแห่งประเทศไทยโจทก์ไม่มีแผงกั้นทางขณะรถไฟแล่นผ่านที่เกิดเหตุ ก็ไม่อาจถือได้ว่าโจทก์มีส่วนประมาทด้วย แต่เป็นความประมาทของจำเลยที่ 1 ฝ่ายเดียว โจทก์เคยตกลงค่าเสียหายกับพนักงานสอบสวนตามบันทึกประจำวันว่าโจทก์เสียหาย 50,000 บาท บันทึกดังกล่าวเป็นเพียงการประเมินความเสียหายชั้นต้น แต่ค่าเสียหายที่แท้จริงจะต้องรอตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง ไม่อาจถือได้ว่าข้อความที่บันทึกไว้ในเอกสารนั้นเป็นค่าเสียหายที่แน่นอนแล้ว โจทก์มีระเบียบในการคิดค่าเสียหายไว้ใช้เป็นหลักในการคิดค่าเสียหายไม่ได้ใช้เฉพาะกับกรณีของจำเลยเท่านั้นค่าขาดประโยชน์โจทก์ได้คิดเปรียบเทียบกับรถยนต์ว่าควรจะเป็นเท่าใด มีรายละเอียดที่พอเชื่อถือได้ ส่วนค่าปั้นจั่นยกรถ แม้ปั้นจั่นจะเป็นของโจทก์แต่ก็ต้องมีการขนย้ายและเสียค่าใช้จ่ายเมื่อจำเลยที่ 1 ทำละเมิดก็ต้องรับผิดในความเสียหายดังกล่าว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4553/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทเลินเล่อของคนขับรถยนต์ที่ชนรถไฟ และขอบเขตค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องได้
แม้ตาม พ.ร.บ.จัดวางการรถไฟและทางหลวง ฯ มาตรา 72 จะบัญญัติให้ทำประตูหรือขึงโซ่หรือทำราวกั้นขวางถนนหรือทางนั้นตามสมควร เมื่อทางรถไฟผ่านถนนสำคัญเสมอระดับก็ตาม แต่การทำเครื่องปิดกั้นถนนนั้นจะต้องพิจารณาถึงสภาพแวดล้อมและความจำเป็นที่จะต้องทำเฉพาะส่วนที่ทางรถไฟตัดกับถนนนั้นเป็นแห่ง ๆ ไป มิใช่ต้องทำทุกแห่งที่ทางรถไฟตัดกับถนน
สถานที่เกิดหตุอยู่นอกเมือง นาน ๆ จะมีรถยนต์แล่นผ่านสองข้างทางรถไฟเป็นป่าโปร่ง มองไปทั้งสองข้างทางรถไฟและถนนจะเห็นกันได้ง่าย ไม่จำเป็นต้องทำเครื่องปิดกั้นถนน ก่อนถึงทางรถไฟ 300 เมตร มีป้ายริมถนนบอกว่ามีทางรถไฟ เมื่อเข้ามาใกล้ 150 เมตรมีป้ายบอกอีกว่าข้างหน้ามีรถไฟตัดผ่านถนน และก่อนถึงทางรถไฟ 5 เมตร มีป้ายสัญญาณ "หยุด"การที่รถยนต์ของฝ่ายจำเลยไม่ชะลอความเร็วและไม่หยุดตามเครื่องหมายการจราจรไปชนรถไฟของโจทก์ซึ่งยาวเป็นขบวนและวิ่งมาตามรางนั้น เป็นความประมาทอย่างร้ายแรงฝ่ายเดียว
การซ่อมทรัพย์สินที่เสียหายเป็นงานตามหน้าที่ที่โจทก์จะต้องจัดคนของโจทก์ไปควบคุม มิได้จ้างบุคคลอื่นเป็นพิเศษ ถือไม่ได้ว่าค่าควบคุม 25 เปอร์เซ็นต์ ของค่าของและค่าแรงงานที่โจทก์เรียกร้องมาเป็นค่าเสียหายโดยตรงจากการละเมิด
ค่าเบี้ยเลี้ยงคือเงินที่โจทก์จ่ายให้เป็นค่าที่พักและอาหารประจำวันแก่คนของโจทก์ในการออกไปทำงานนอกสถานที่ทำงานประจำตามระเบียบของโจทก์ เมื่อจำเลยกระทำละเมิด โจทก์ต้องส่งพนักงานและกรรมกรออกไปทำงานนอกสถานที่ ค่าเบี้ยเลี้ยงจึงเป็นค่าใช้จ่ายอันจำเป็นเพื่อทำให้ทรัพย์สินกลับคืนดี แต่ค่าอาหารก็เป็นค่าเบี้ยเลี้ยงนั่นเอง แม้โจทก์จะจ่ายไปมากกว่าค่าเบี้ยเลี้ยงจะมาคิดซ้ำซ้อนกับค่าเบี้ยเลี้ยงที่โจทก์จ่ายตามระเบียบไม่ได้
สถานที่เกิดหตุอยู่นอกเมือง นาน ๆ จะมีรถยนต์แล่นผ่านสองข้างทางรถไฟเป็นป่าโปร่ง มองไปทั้งสองข้างทางรถไฟและถนนจะเห็นกันได้ง่าย ไม่จำเป็นต้องทำเครื่องปิดกั้นถนน ก่อนถึงทางรถไฟ 300 เมตร มีป้ายริมถนนบอกว่ามีทางรถไฟ เมื่อเข้ามาใกล้ 150 เมตรมีป้ายบอกอีกว่าข้างหน้ามีรถไฟตัดผ่านถนน และก่อนถึงทางรถไฟ 5 เมตร มีป้ายสัญญาณ "หยุด"การที่รถยนต์ของฝ่ายจำเลยไม่ชะลอความเร็วและไม่หยุดตามเครื่องหมายการจราจรไปชนรถไฟของโจทก์ซึ่งยาวเป็นขบวนและวิ่งมาตามรางนั้น เป็นความประมาทอย่างร้ายแรงฝ่ายเดียว
การซ่อมทรัพย์สินที่เสียหายเป็นงานตามหน้าที่ที่โจทก์จะต้องจัดคนของโจทก์ไปควบคุม มิได้จ้างบุคคลอื่นเป็นพิเศษ ถือไม่ได้ว่าค่าควบคุม 25 เปอร์เซ็นต์ ของค่าของและค่าแรงงานที่โจทก์เรียกร้องมาเป็นค่าเสียหายโดยตรงจากการละเมิด
ค่าเบี้ยเลี้ยงคือเงินที่โจทก์จ่ายให้เป็นค่าที่พักและอาหารประจำวันแก่คนของโจทก์ในการออกไปทำงานนอกสถานที่ทำงานประจำตามระเบียบของโจทก์ เมื่อจำเลยกระทำละเมิด โจทก์ต้องส่งพนักงานและกรรมกรออกไปทำงานนอกสถานที่ ค่าเบี้ยเลี้ยงจึงเป็นค่าใช้จ่ายอันจำเป็นเพื่อทำให้ทรัพย์สินกลับคืนดี แต่ค่าอาหารก็เป็นค่าเบี้ยเลี้ยงนั่นเอง แม้โจทก์จะจ่ายไปมากกว่าค่าเบี้ยเลี้ยงจะมาคิดซ้ำซ้อนกับค่าเบี้ยเลี้ยงที่โจทก์จ่ายตามระเบียบไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4553/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทเลินเล่อในการขับขี่และการปฏิบัติตามสัญญาณจราจร กรณีรถยนต์ชนรถไฟ
ในบริเวณที่เกิดเหตุก่อนถึงทางรถไฟ 300 เมตร มีป้ายริมถนนบอกว่ามีทางรถไฟ เมื่อเข้ามาใกล้ 150 เมตร มีป้ายเครื่องหมายบอกอีกว่าข้างหน้ามีรถไฟตัดผ่านถนน และก่อนถึงทางรถไฟ มีป้ายสัญญาณ "หยุด" การที่รถยนต์ของฝ่ายจำเลยไม่ชะลอความเร็วและไม่หยุดตามเครื่องหมายจราจรไปชนรถไฟของโจทก์ซึ่งยาวเป็นขบวนและวิ่งมาตามรางตามปกตินั้น นับว่าเป็นความประมาทอย่างร้ายแรงฝ่ายเดียว จะอ้างว่าโจทก์มิได้มีเครื่องปิดกั้นถนนขณะรถไฟแล่นผ่านหาได้ไม่ จำเลยจึงต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมด ถนนใดแม้จะเป็นถนนสำคัญแต่การต้องทำเครื่องปิดกั้นถนนนั้นจะต้องพิจารณาถึงสภาพแวดล้อมและความจำเป็นที่จะต้องทำเฉพาะส่วนที่ทางรถไฟตัดกับถนนนั้นเป็นแห่ง ๆ ไป มิใช่ต้องทำทุกแห่งที่ทางรถไฟตัดกับถนน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1787/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตีความพิกัดอัตราศุลกากร: สินค้าเป็นชุดอุปกรณ์ควบคุมการจราจรทางรถไฟ ต้องจัดอยู่ในพิกัด 85.16
สินค้าที่จำเลยนำเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องอุปกรณ์ควบคุมการจราจรด้วยไฟฟ้าสำหรับใช้กับรถไฟ จึงเป็นชุดของเครื่องอุปกรณ์ควบคุมการจราจรด้วยไฟฟ้าสำหรับใช้กับรถไฟ ซึ่งตามพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2503 ภาค 1 หลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากร ข้อ 6 บัญญัติว่า ของครบชุดสมบูรณ์หรือของซึ่งมีลักษณะอันเป็นสาระสำคัญที่ทำให้เห็นได้ว่าเป็นของครบชุดที่นำเข้ามาโดยแยกออกจากกันหรือมิได้ประกอบเข้าด้วยกัน แม้จะแยกนำเข้าต่างวาระกันก็ตามให้จัดเข้าในประเภทที่ว่าด้วยของครบชุดสมบูรณ์ได้ เมื่อเครื่องอุปกรณ์ควบคุมการจราจรด้วยไฟฟ้าสำหรับใช้กับรถไฟเป็นสินค้าประเภทพิกัดที่ 85.16 จึงต้องจัดสินค้าที่จำเลยนำเข้าเข้าในประเภทพิกัดที่ 85.16 ด้วย ที่เจ้าพนักงานกรมศุลกากรโจทก์จัดสินค้าดังกล่าวเข้าในประเภทพิกัดที่ 85.19ในฐานะเป็นเครื่องไฟฟ้าสำหรับต่อและตัดวงจรไฟฟ้า จึงไม่ชอบด้วยหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากร