พบผลลัพธ์ทั้งหมด 88 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2303/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้ขนส่งทางทะเลต่อความเสียหายสินค้า และการรับช่วงสิทธิของผู้รับประกันภัย
จำเลยที่ 2 ผู้ขนส่ง อ้างว่า ผู้รับตราส่งไม่ได้บอกกล่าวให้ผู้ขนส่งหรือผู้ที่มีหน้าที่ตามกฎหมายทราบถึงความเสียหายภายใน 15 วัน นับแต่วันรับมอบของ จึงเข้าข้อสันนิษฐานตาม พ.ร.บ.การรับขนของทางทะเล พ.ศ.2534 มาตรา 49 ว่าผู้ขนส่งได้มอบของที่มีสภาพดีแก่ผู้รับตราส่งแล้วนั้น ข้อสันนิษฐานดังกล่าวเป็นข้อสันนิษฐานเบื้องต้น ไม่ใช่ข้อสันนิษฐานเด็ดขาด จึงสามารถนำสืบหักล้างได้ เมื่อฟังได้ว่าสินค้าพิพาทได้รับความเสียหายจากการขนส่งทางทะเลจริง ผู้ขนส่งก็ต้องรับผิด
โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยสินค้าพิพาท และได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้รับตราส่งไปแล้ว โจทก์จึงเป็นผู้รับช่วงสิทธิมาจากผู้รับตราส่งตามกฎหมาย มีสิทธิฟ้องร้องให้จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้ขนส่งและผู้ขนส่งอื่นรับผิดต่อโจทก์ได้
โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยสินค้าพิพาท และได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้รับตราส่งไปแล้ว โจทก์จึงเป็นผู้รับช่วงสิทธิมาจากผู้รับตราส่งตามกฎหมาย มีสิทธิฟ้องร้องให้จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้ขนส่งและผู้ขนส่งอื่นรับผิดต่อโจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2013/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับประกันภัยและรับผิดร่วมกันในความเสียหายจากอุบัติเหตุทางรถยนต์
ศาลชั้นต้นระบุในคำพิพากษาว่าจำเลยที่ 5 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา และมิได้ระบุว่าได้มีการ ชี้สองสถานและกำหนดหน้าที่นำสืบไว้ ซึ่งตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำให้การของ จำเลยที่ 5 ไว้ และได้ชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทที่คู่ความโต้เถียงกันทุกประเด็น ข้อผิดหลงดังกล่าวเป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นระบุรายการแห่งคดีไม่ถูกต้องครบถ้วนเท่านั้น มิใช่เป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยให้เหตุผลในประเด็น แห่งคดีให้ครบถ้วนตามประเด็นข้อพิพาทที่คู่ความโต้แย้งกันไม่ จึงไม่เป็นข้อสาระสำคัญแห่งคดีที่จะทำให้ผลแห่ง คำพิพากษาเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น เมื่อความข้อนี้ปรากฏในชั้นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีอำนาจแก้ไขใหม่ให้ถูกต้องได้เพราะมิใช่การแก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นในเหตุผลแห่งคำวินิจฉัย และเมื่อศาลอุทธรณ์ได้แก้ไขข้อผิดหลงดังกล่าวให้ถูกต้องแล้ว จึงไม่มีเหตุสมควรที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่อีก
เหตุรถยนต์ชนกันเกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 6 ด้วยกันทั้งสองฝ่าย แม้ทั้งสองฝ่ายจะมิได้มีเจตนาหรือจงใจร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์ก็ตาม แต่เมื่อได้ก่อความเสียหายแก่โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกจึงต้องถือว่าจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 6 ล้วนมีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายดังกล่าวด้วยกันทั้งหมด และเป็นความเสียหายเดียวกัน ผู้ทำละเมิดทุกคนต้องร่วมกันรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 301 ประกอบ มาตรา 291 จำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุน ต้องร่วมรับผิดในความเสียหายทั้งหมดต่อโจทก์ร่วมกับจำเลยคนอื่น ๆ อย่างลูกหนี้ร่วม
เหตุรถยนต์ชนกันเกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 6 ด้วยกันทั้งสองฝ่าย แม้ทั้งสองฝ่ายจะมิได้มีเจตนาหรือจงใจร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์ก็ตาม แต่เมื่อได้ก่อความเสียหายแก่โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกจึงต้องถือว่าจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 6 ล้วนมีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายดังกล่าวด้วยกันทั้งหมด และเป็นความเสียหายเดียวกัน ผู้ทำละเมิดทุกคนต้องร่วมกันรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 301 ประกอบ มาตรา 291 จำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุน ต้องร่วมรับผิดในความเสียหายทั้งหมดต่อโจทก์ร่วมกับจำเลยคนอื่น ๆ อย่างลูกหนี้ร่วม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7157/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้รับประกันภัยเมื่อตัวแทนของผู้เอาประกันภัยกระทำละเมิด
คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายไว้ชัดแจ้งแล้วว่า จำเลยที่ 1 ผู้ขับรถยนต์คันที่จำเลยที่ 2 รับประกันภัยไว้ ได้ขับรถยนต์ คันดังกล่าวในฐานะตัวแทนผู้มีอำนาจกระทำการแทน ช.แม้จะมิได้บรรยายว่าช.เป็นผู้เอาประกันภัย แต่ก็มีความหมายอยู่ในตัวแล้ว โดยบรรยายว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับประกันภัย รถยนต์คันดังกล่าวซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของ ช.แสดงว่าช. เป็นผู้เอาประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวเมื่อตัวแทน ของผู้เอาประกันภัยไปกระทำละเมิด ผู้เอาประกันภัย ในฐานะตัวการย่อมต้องรับผิดด้วย ฟ้องโจทก์จึงชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง ไม่เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2555/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้ขนส่งสินค้าสูญหาย/เสียหาย และการรับช่วงสิทธิของผู้รับประกันภัย
เมื่อปรากฏว่าสินค้าประตูอัตโนมัติซึ่งจำเลยเป็นผู้ขนส่งได้สูญหายไปบางส่วนและจำเลยไม่สามารถพิสูจน์ให้เห็นได้ว่า การสูญหายดังกล่าวเกิดแต่เหตุสุดวิสัยหรือเกิดแต่สภาพแห่งของนั้นเองหรือเกิดเพราะความผิดของผู้ส่งหรือผู้รับตราส่ง เช่นนี้ จำเลยก็ต้องรับผิดในการที่สินค้าประตูอัตโนมัติสูญหายไปบางส่วนดังกล่าวต่อผู้รับตราส่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 616 ข้อกำหนดในใบตราส่งที่ว่าในกรณีที่ความเสียหายต่อสินค้าที่สามารถเห็นได้ บุคคลที่มีสิทธิรับสินค้าจะต้องทำคำร้องเรียนต่อผู้ขนส่งเป็นหนังสืออย่างช้าที่สุดภายใน14 วัน จากวันรับสินค้านั้น เป็นข้อความยกเว้นหรือจำกัดความรับผิดของจำเลยผู้ขนส่ง เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้ส่งได้แสดงความตกลงด้วยชัดแจ้งในการยกเว้นหรือจำกัดความรับผิดเช่นว่านั้น ข้อความดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 625 เมื่อปรากฏว่าชิ้นส่วนของสินค้าสูญหายไป ผู้รับตราส่งได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรและเจ้าหน้าที่รายงานความเสียหายของคลังสินค้า ทำรายงานความเสียหายของสินค้าไว้แล้ว ถือไม่ได้ว่าผู้รับตราส่งได้รับสินค้าเอาไว้แล้วโดย ไม่อิดเอื้อนความรับผิดของจำเลยผู้ขนส่งจึงไม่สิ้นสุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 623 วรรคหนึ่ง จำเลยผู้ขนส่งจะต้องรับผิดในความเสียหายของสินค้าต่อ ผู้รับตราส่ง และโจทก์ได้ชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าวให้แก่ผู้รับตราส่งในฐานะผู้รับประกันภัยไป โจทก์ย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของผู้รับตราส่งมาเรียกร้องเอาค่าเสียหายจำนวนดังกล่าวจากจำเลยได้ ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 880 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6114/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาให้บริการแจ้งเหตุฉุกเฉิน ไม่ครอบคลุมความรับผิดชดใช้ค่าเสียหายจากทรัพย์สินถูกโจรกรรม ผู้รับประกันภัยไม่มีสิทธิรับช่วง
ตามสัญญาให้บริการเป็นหน้าที่ของจำเลยที่ 2 จะต้องให้บริการเป็นผู้ประสานงานส่งข้อมูลขอความช่วยเหลือไปยังหน่วยงานที่ระบุไว้เพื่อขอความช่วยเหลือที่รวดเร็วและทันต่อเหตุการณ์ และเมื่อปรากฏว่าเครื่องส่งสัญญาณเอส.โอ.เอส. ที่จำเลยที่ 2 ติดตั้งไว้ที่เครื่องบริการเงินด่วนของธนาคาร ท. ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือไปยังศูนย์ข้อมูลของจำเลยที่ 2 เนื่องจากถูกคนร้ายงัดทำลายเข้าไปในเครื่องบริการเงินด่วนแล้ว เจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 2ละเลยไม่แจ้งเหตุร้ายต่อไปยังสถานีตำรวจท้องที่เพื่อขอความช่วยเหลือตามข้อตกลงที่ระบุไว้ในสัญญา จึงต้องถือว่าจำเลยที่ 2 ปฏิบัติผิดสัญญาต่อธนาคาร ท. ผู้ซื้อบริการ แต่การที่จำเลยที่ 2 ละเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาดังกล่าวไม่อาจถือได้ว่าเป็นการทำละเมิดต่อธนาคาร ท. คู่สัญญาเพราะการละเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาในกรณีดังกล่าวมิได้เป็นการกระทำโดยผิดกฎหมายต่อบุคคลอื่น เป็นเหตุให้เขาเสียหายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยวินาศภัยในความเสียหายของเงินสดในเครื่องบริการเงินด่วน ของธนาคาร ท. ที่ถูกคนร้ายลักไป ได้ใช้ค่าเสียหายแก่เจ้าหนี้ผู้เอาประกันภัยไปแล้วมาฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในฐานะผู้รับช่วงสิทธิจากเจ้าหนี้ โดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 880 วรรคแรก เมื่อไม่ปรากฏว่ามีข้อสัญญาว่าหากจำเลยที่ 2 ผิดสัญญา จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ธนาคาร ท. สัญญาให้บริการเป็นเพียงสัญญาให้บริการแก่ธนาคาร ท. เพื่อช่วยป้องกันการโจรกรรมทรัพย์สินของธนาคารอีกทางหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่สัญญา ที่จำเลยที่ 2 ตกลงยอมชดใช้ค่าเสียหายแก่ธนาคาร ท.ในกรณีที่ทรัพย์สินของธนาคารถูกโจรกรรม ธนาคาร ท.คงมีสิทธิตามสัญญาข้อ 3 ที่กำหนดให้ธนาคาร ท. ได้รับการประกันตามขอบข่ายของกรมธรรม์ประกันภัยของบริษัท ค.ซึ่งตามกรมธรรม์ประกันภัยได้ระบุว่า ธนาคาร ท.ผู้ใช้บริการเป็นผู้เอาประกันภัยด้วย ดังนั้น ธนาคาร ท.จึงไม่มีสิทธิตามสัญญาที่จะฟ้องจำเลยที่ 2 เพื่อเรียกค่าเสียหายตามจำนวนเงินที่ถูกคนร้ายลักไปได้ และโจทก์ย่อมไม่อาจรับช่วงสิทธิของธนาคาร ท. มาฟ้องเรียกให้จำเลยที่ 2 รับผิดต่อโจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4002/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้รับประกันภัยตามกรมธรรม์ประกันภัยค้ำจุนเมื่อผู้ขับขี่ได้รับความยินยอม
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์ไว้จากจำเลยที่ 1 เพื่อความรับผิดต่อบุคคลภายนอกในลักษณะประกันภัยค้ำจุนในขณะเกิดเหตุคดีนี้ โดยมีเงื่อนไขตามกรมธรรม์ประกันภัยระบุว่า จำเลยที่ 2 จะให้ความคุ้มครองความเสียหายของบุคคลภายนอกซึ่งเกิดจากผู้ขับขี่ซึ่งได้รับความยินยอมจากจำเลยที่ 1 หรือผู้เอาประกันภัยเสมือนหนึ่งผู้เอาประกันภัยเอง จำเลยที่ 2ไม่ได้ให้การเกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงต้องถือว่า จำเลยที่ 2 ยอมรับข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้ว ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 183 วรรคสอง
คดีนี้ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้ให้การปฏิเสธว่าไม่ได้รับประกันภัยรถยนต์คันที่ผู้ตายขับ จำเลยที่ 2 ผู้รับประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวจากจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามผู้ขับขี่เสมือนหนึ่งผู้เอาประกันภัยเป็นผู้ขับขี่เอง เมื่อผู้ตายขับขี่รถยนต์คันเกิดเหตุโดยได้รับความยินยอมจากจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 2อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายว่า เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัย จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้รับประกันภัยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามป.พ.พ. มาตรา 887 วรรคแรก การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่ามีข้อตกลงในกรมธรรม์ประกันภัยว่า จำเลยที่ 2 ผู้รับประกันภัยค้ำจุนจะรับผิดในความเสียหายต่อบุคคลภายนอกที่เกิดจากผู้ขับขี่ซึ่งได้รับความยินยอมจากจำเลยที่ 1 หรือผู้เอาประกันภัยเสมือนหนึ่งผู้เอาประกันภัยเอง ทั้งมิได้นำกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าวมาแสดงจึงไม่อาจรับฟังได้นั้น เป็นการมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ.ว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งโดยวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 2 มิได้อุทธรณ์ และเป็นข้อเท็จจริงที่ถือว่าจำเลยที่ 2 ยอมรับแล้วเพราะไม่ได้ให้การถึง ศาลอุทธรณ์ต้องฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นอย่างเดียวกับศาลชั้นต้นจะวินิจฉัยเป็นอย่างอื่นหาชอบด้วยวิธีพิจารณาไม่ ศาลฎีกาจึงมีอำนาจวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ใหม่ โดยฟังข้อเท็จจริงตามศาลชั้นต้น โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย
จำเลยที่ 2 เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันเกิดเหตุไว้จากจำเลยที่ 1 ตามกรมธรรม์ประกันภัยระบุเรื่องการคุ้มครองความเสียหายต่อบุคคลภายนอกไว้ว่า จำเลยที่ 2 จะให้ความคุ้มครองความเสียหายของบุคคลภายนอกซึ่งเกิดจากผู้ขับขี่ซึ่งได้รับความยินยอมจากจำเลยที่ 1 หรือผู้เอาประกันภัยเสมือนหนึ่งผู้เอาประกันภัยเอง ซึ่งหมายความว่า จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้รับประกันภัยจะเป็นผู้ใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามผู้ขับขี่เสมือนหนึ่งผู้เอาประกันภัยเป็นผู้ขับขี่เองเมื่อ พ.ผู้ตายขอยืมรถยนต์คันที่จำเลยที่ 2 รับประกันภัยไว้ไปขับขี่โดยได้รับความยินยอมจากจำเลยที่ 1 และเหตุรถยนต์ชนกันเกิดจากความประมาทของผู้ตายฝ่ายเดียว จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกตามนัยแห่งกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าว จำเลยที่ 2 จะอ้างบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ. มาตรา887 วรรคหนึ่ง เพื่อให้จำเลยที่ 2 พ้นความรับผิดเพราะจำเลยที่ 1 ผู้เอาประกันภัยไม่ต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกอันเป็นการขัดกับข้อความในกรมธรรม์ประกันภัยหาได้ไม่
คดีนี้ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้ให้การปฏิเสธว่าไม่ได้รับประกันภัยรถยนต์คันที่ผู้ตายขับ จำเลยที่ 2 ผู้รับประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวจากจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามผู้ขับขี่เสมือนหนึ่งผู้เอาประกันภัยเป็นผู้ขับขี่เอง เมื่อผู้ตายขับขี่รถยนต์คันเกิดเหตุโดยได้รับความยินยอมจากจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 2อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายว่า เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัย จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้รับประกันภัยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามป.พ.พ. มาตรา 887 วรรคแรก การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่ามีข้อตกลงในกรมธรรม์ประกันภัยว่า จำเลยที่ 2 ผู้รับประกันภัยค้ำจุนจะรับผิดในความเสียหายต่อบุคคลภายนอกที่เกิดจากผู้ขับขี่ซึ่งได้รับความยินยอมจากจำเลยที่ 1 หรือผู้เอาประกันภัยเสมือนหนึ่งผู้เอาประกันภัยเอง ทั้งมิได้นำกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าวมาแสดงจึงไม่อาจรับฟังได้นั้น เป็นการมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ.ว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งโดยวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 2 มิได้อุทธรณ์ และเป็นข้อเท็จจริงที่ถือว่าจำเลยที่ 2 ยอมรับแล้วเพราะไม่ได้ให้การถึง ศาลอุทธรณ์ต้องฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นอย่างเดียวกับศาลชั้นต้นจะวินิจฉัยเป็นอย่างอื่นหาชอบด้วยวิธีพิจารณาไม่ ศาลฎีกาจึงมีอำนาจวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ใหม่ โดยฟังข้อเท็จจริงตามศาลชั้นต้น โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย
จำเลยที่ 2 เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันเกิดเหตุไว้จากจำเลยที่ 1 ตามกรมธรรม์ประกันภัยระบุเรื่องการคุ้มครองความเสียหายต่อบุคคลภายนอกไว้ว่า จำเลยที่ 2 จะให้ความคุ้มครองความเสียหายของบุคคลภายนอกซึ่งเกิดจากผู้ขับขี่ซึ่งได้รับความยินยอมจากจำเลยที่ 1 หรือผู้เอาประกันภัยเสมือนหนึ่งผู้เอาประกันภัยเอง ซึ่งหมายความว่า จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้รับประกันภัยจะเป็นผู้ใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามผู้ขับขี่เสมือนหนึ่งผู้เอาประกันภัยเป็นผู้ขับขี่เองเมื่อ พ.ผู้ตายขอยืมรถยนต์คันที่จำเลยที่ 2 รับประกันภัยไว้ไปขับขี่โดยได้รับความยินยอมจากจำเลยที่ 1 และเหตุรถยนต์ชนกันเกิดจากความประมาทของผู้ตายฝ่ายเดียว จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกตามนัยแห่งกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าว จำเลยที่ 2 จะอ้างบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ. มาตรา887 วรรคหนึ่ง เพื่อให้จำเลยที่ 2 พ้นความรับผิดเพราะจำเลยที่ 1 ผู้เอาประกันภัยไม่ต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกอันเป็นการขัดกับข้อความในกรมธรรม์ประกันภัยหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2747/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าขาดประโยชน์จากรถยนต์: ความรับผิดของผู้รับประกันภัยแยกต่างหากจากเหตุชำระค่าซ่อมไม่ครบ
แม้ว่าตามกรมธรรม์ประกันภัยข้อ 3.7.5 ระบุว่า การประกันภัยนี้ไม่คุ้มครองความเสียหายอันเกิดจากการขาดการใช้รถยนต์ซึ่งหมายความว่า จำเลยที่ 1 ผู้รับประกันภัยไม่ต้องรับผิดในความเสียหายส่วนที่เกิดแก่โจทก์ผู้เอาประกันภัยที่ไม่อาจใช้ประโยชน์จากรถยนต์ที่ประกันภัย เนื่องจากอุบัติเหตุจนรถยนต์เสียหายใช้การไม่ได้ กล่าวคือ ค่าขาดประโยชน์ส่วนนี้เริ่มนับแต่รถยนต์ที่ประกันภัยเกิดอุบัติเหตุเสียหายใช้การไม่ได้จนกระทั่งซ่อมเสร็จใช้การได้ตามปกติ โจทก์จะเรียกร้องค่าขาดประโยชน์ส่วนนี้จากจำเลยที่ 1 ไม่ได้ เพราะเข้ายกเว้นความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยข้อ 3.7.5 ดังกล่าวก็ตาม แต่ความเสียหายที่เป็นค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์ของโจทก์ตามฟ้อง เป็นค่าขาดประโยชน์ที่เกิดขึ้นหลังจากซ่อมรถยนต์ของโจทก์เสร็จแล้วและเกิดจากเหตุที่จำเลยที่ 1 ไม่ยอมชำระค่าซ่อมครบถ้วนแก่ผู้ซ่อม ทำให้ผู้ซ่อมใช้สิทธิยึดหน่วงรถยนต์ของโจทก์ไว้ ทำให้โจทก์ขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์ของโจทก์ดังกล่าว เป็นคนละส่วนกับค่าขาดประโยชน์ที่จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดตามกรมธรรม์ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกันเพราะเกิดจากคนละเหตุ โจทก์จึงเรียกร้องค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์ส่วนนี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2747/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าขาดประโยชน์รถยนต์: ความรับผิดของผู้รับประกันภัยแยกจากเหตุการณ์ยึดหน่วงรถยนต์
แม้ว่าตามกรมธรรม์ประกันภัยข้อ3.7.5ระบุว่าการประกันภัยนี้ไม่คุ้มครองความเสียหายอันเกิดจากการขาดการใช้รถยนต์ซึ่งหมายความว่าจำเลยที่1ผู้รับประกันภัยไม่ต้องรับผิดในความเสียหายส่วนที่เกิดแก่โจทก์ผู้เอาประกันภัยที่ไม่อาจใช้ประโยชน์จากรถยนต์ที่ประกันภัยเนื่องจากอุบัติเหตุจนรถยนต์เสียหายใช้การไม่ได้กล่าวคือค่าขาดประโยชน์ส่วนนี้เริ่มนับแต่รถยนต์ที่ประกันภัยเกิดอุบัติเหตุเสียหายใช้การไม่ได้จนกระทั่งซ่อมเสร็จใช้การได้ตามปกติโจทก์จะเรียกร้องค่าขาดประโยชน์ส่วนนี้จากจำเลยที่1ไม่ได้เพราะเข้ายกเว้นความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยข้อ3.7.5ดังกล่าวก็ตามแต่ความเสียหายที่เป็นค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์ของโจทก์ตามฟ้องเป็นค่าขาดประโยชน์ที่เกิดขึ้นหลังจากซ่อมรถยนต์ของโจทก์เสร็จแล้วและเกิดจากเหตุที่จำเลยที่1ไม่ยอมชำระค่าซ่อมครบถ้วนแก่ผู้ซ่อมทำให้ผู้ซ่อมใช้สิทธิยึดหน่วงรถยนต์ของโจทก์ไว้ทำให้โจทก์ขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์ของโจทก์ดังกล่าวเป็นคนละส่วนกับค่าขาดประโยชน์ที่จำเลยที่1ไม่ต้องรับผิดตามกรมธรรม์ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกันเพราะเกิดจากคนละเหตุโจทก์จึงเรียกร้องค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์ส่วนนี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 189/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเรียกร้องของผู้รับประกันภัยเมื่อสินค้าเสียหายระหว่างขนส่ง และการพิสูจน์ความรับผิดของผู้ขนส่ง
คดีนี้เป็นเรื่องรับขนของทางทะเล ซึ่งขณะเกิดข้อพิพาทพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ. 2534 ยังไม่มีผลใช้บังคับ ทั้งไม่ปรากฏคลองจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นว่าด้วยรับขนของทางทะเล จึงต้องวินิจฉัยคดีโดยอาศัยเทียบกฎหมายใกล้เคียงอย่างยิ่ง ตามมาตรา 4 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ อันได้แก่บทบัญญัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ลักษณะ 8มาตรา 627 ซึ่งบัญญัติว่า "เมื่อของถึงตำบลที่กำหนดให้ส่งและผู้รับตราส่งได้เรียกให้ส่งมอบแล้ว ท่านว่าแต่นั้นไปสิทธิทั้งหลายของผู้ส่งอันเกิดแต่สัญญารับขนนั้นย่อมตกไปได้แก่ผู้รับตราส่ง"แต่ข้อเท็จจริงปรากฎว่าสินค้ารายพิพาทมิได้ไปถึงตำบลที่กำหนดให้ส่ง เพราะถูกไฟไหม้เสียหายไปหมดก่อนระหว่างการขนส่ง บริษัท ย.ผู้รับโอนตราส่งจากธนาคารมาจึงไม่อาจเรียกร้องให้จำเลยที่ 5ซึ่งเป็นผู้ขนส่งทอดสุดท้ายให้ส่งมอบสินค้ารายพิพาทได้ สิทธิทั้งหลายของผู้ส่งอันเกิดแต่สัญญารับขนไม่อาจตกไปได้แก่บริษัทย.บริษัทย. จึงไม่ใช่ผู้เสียหายและไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 5ให้รับผิดตามสัญญารับขนรายพิพาทได้ ดังนั้น โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัย และอ้างว่ารับช่วงสิทธิจากบริษัท ย.ผู้เอาประกันภัยในสินค้ารายพิพาทย่อมไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 5ด้วยเช่นกัน เมื่อจำเลยที่ 5 ผู้ขนส่งทอดไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้องแล้ว แม้จำเลยที่ 2 และที่ 4 ผู้ขนส่งหลายทอดเช่นกันซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ร่วมรับผิดเป็นลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 5 มิได้อุทธรณ์ฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาให้มีผลไปถึงจำเลยที่ 2และที่ 4 ได้ด้วย เพราะเป็นเรื่องการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245(1) ประกอบด้วยมาตรา 247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 189/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเรียกร้องของผู้รับประกันภัยเมื่อสินค้าเสียหายระหว่างขนส่ง สิทธิของผู้รับโอนตราส่ง และการไม่มีสิทธิเรียกร้องตามสัญญารับขน
คดีนี้เป็นเรื่องรับขนของทางทะเลซึ่งขณะเกิดข้อพิพาทพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเลพ.ศ.2534ยังไม่มีผลใช้บังคับทั้งไม่ปรากฏคลองจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นว่าด้วยรับขนของทางทะเลจึงต้องวินิจฉัยคดีโดยอาศัยเทียบกฎหมายใกล้เคียงอย่างยิ่งตามมาตรา4แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์อันได้แก่บทบัญญัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ3ลักษณะ8มาตรา627ซึ่งบัญญัติว่า"เมื่อของถึงตำบลที่กำหนดให้ส่งและผู้รับตราส่งได้เรียกให้ส่งมอบแล้วท่านว่าแต่นั้นไปสิทธิทั้งหลายของผู้ส่งอันเกิดแต่สัญญารับขนนั้นย่อมตกไปได้แก่ผู้รับตราส่ง"แต่ข้อเท็จจริงปรากฎว่าสินค้ารายพิพาทมิได้ไปถึงตำบลที่กำหนดให้ส่งเพราะถูกไฟไหม้เสียหายไปหมดก่อนระหว่างการขนส่งบริษัทย.ผู้รับโอนตราส่งจากธนาคารมาจึงไม่อาจเรียกร้องให้จำเลยที่5ซึ่งเป็นผู้ขนส่งทอดสุดท้ายให้ส่งมอบสินค้ารายพิพาทได้สิทธิทั้งหลายของผู้ส่งอันเกิดแต่สัญญารับขนไม่อาจตกไปได้แก่บริษัทย.บริษัทย. จึงไม่ใช่ผู้เสียหายและไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่5ให้รับผิดตามสัญญารับขนรายพิพาทได้ดังนั้นโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยและอ้างว่ารับช่วงสิทธิจากบริษัทย.ผู้เอาประกันภัยในสินค้ารายพิพาทย่อมไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่5ด้วยเช่นกัน เมื่อจำเลยที่5ผู้ขนส่งทอดไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้องแล้วแม้จำเลยที่2และที่4ผู้ขนส่งหลายทอดเช่นกันซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ร่วมรับผิดเป็นลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่5มิได้อุทธรณ์ฎีกาขึ้นมาศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาให้มีผลไปถึงจำเลยที่2และที่4ได้ด้วยเพราะเป็นเรื่องการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา245(1)ประกอบด้วยมาตรา247