พบผลลัพธ์ทั้งหมด 22 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 202/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขนย้ายข้าวผิดกฎหมาย: การรับรู้ประกาศห้ามขนย้ายเป็นองค์ประกอบสำคัญ
โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยขนย้ายข้าวออกนอกเขตห้ามขนย้ายข้าวโดยไม่ได้รับอนุญาต และได้บรรยายในฟ้องว่า จำเลยได้ทราบประกาศคณะกรรมการฯ แล้วจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ในเรื่องทราบประกาศคณะกรรมการหรือไม่ คงปฏิเสธว่ามิได้นำข้าวออกนอกเขตห้ามขนย้ายข้าวดังนี้ เมื่อชั้นพิจารณาโจทก์มีพยานผู้สอบสวนมาเบิกความประกอบคำให้การจำเลยชั้นสอบสวนว่าจำเลยรับว่าได้ทราบประกาศแล้ว ดังปรากฏในคำให้การชั้นสอบสวน จึงพอถือได้ว่า โจทก์ได้สืบถึงความที่ว่าจำเลยได้ทราบประกาศนั้นแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 672/2489 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับของโจร: หลักฐานการลักทรัพย์ไม่ชัดเจน แต่มีหลักฐานการรับรู้ว่าเป็นของร้าย
ไม่มีคนเห็นในเวลาที่โคถูกลักไป จนรุ่งขึ้นเวลาบ่าย จึงมีผู้เห็นจำเลยพาโคไปดังนี้ ไม่พอที่จะชี้ขาดว่าจำเลยทำการลัก คงลงโทษได้เพียงฐานรับของโจร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 578-589/2486 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์การรับรู้ประกาศราคาสินค้าเพื่อเอาผิดฐานค้ากำไรเกินควร
การฟ้องคดีผิดพระราชบัญญัติป้องกันการค้ากำไรเกินควนนั้นโจทมีหน้าที่นำสืบสแดงไห้เห็นว่าประกาสของคนะกัมการป้องกันการค้ากำไรเกินควนได้ปิดโคสนาไว้ยังที่ซึ่งระบุไนมาตรา 7 วัค 3 แห่งพระราชบัญญัติที่กล่าว จึงจะเอาผิดจำเลยได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 287/2479
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ความผิดฐานรับของโจร: ต้องพิสูจน์ว่าของกลางเป็นของที่ถูกลักมาและจำเลยรับรู้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษฐานลักทรัพย์ ถ้าทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยกระทำผิดฐานรับของโจรและถ้าเป็นความผิดก่อนประมวลวิธีพิจารณาอาญา ดังนี้ ศาลอาจลงโทษจำเลยฐานรับของโจรได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 232/2473
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับของโจร: ความผิดเกิดขึ้นเมื่อรับรู้ว่าทรัพย์สินนั้นได้มาจากการกระทำความผิด
เพียงแต่เงื้อมีดจะทำร้ายยังไม่ผิดฐานพยายามจับโคที่ถูกลักได้จากจำเลยเมื่อเวลาล่วงมาวันกับคืน จำเลยมีผิดฐานรับของโจร ฎีกาที่ 833/69 โคหายไปแล้ว 2 วัน จึงมาพบที่จำเลย ๆ มีผิดฐานลักทรัพย์ เพราะจำเลยมิได้ต่อสู้และนำสืบว่าได้รับโคไว้จากผู้ใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1039-1040/2472
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดในภาวะวิกลจริต: ยกเว้นโทษเนื่องจากไม่สามารถรับรู้ความผิด
ทำร้ายคนตายในเวลาวิกลจริตกฎหมายยกเว้นโทษ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 237/2471
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
รับของโจร แม้ไม่มีหลักฐานการปล้น แต่รับรู้ว่าได้มาจากการกระทำผิด
ฟ้องว่าปล้น พิจารณาได้ความว่ารับของ โจรลงโทษได้ ในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ปรากฏว่า โจทก์สืบไม่ได้ว่าจำเลยรู้ว่าทรัพย์นั้นได้มาโดยการชิงทรัพย์หรือปล้นทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 693/2556
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องอาญา: ผู้แทนของนิติบุคคลรับรู้ความผิดเมื่อใด
ช. ผู้จัดการโจทก์ สาขาสำโรง เป็นเพียงลูกจ้างของโจทก์ แม้ ช. รู้ว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดก็จะถือว่าผู้แทนโจทก์รู้ด้วยไม่ได้ ผ. เป็นกรรมการคนหนึ่งของโจทก์ ซึ่งเป็นผู้แทนของโจทก์ เมื่อกรรมการตรวจสอบหาข้อเท็จจริงทำรายงานเสนอ ผ. ว่าจำเลยทั้งสองได้หลอกลวง ช. อันเป็นความผิดฐานฉ้อโกง และ ผ. ลงลายมือชื่อรับทราบในรายงานดังกล่าวเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2537 จึงต้องถือว่าโจทก์รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2537
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1817/2552
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การมีส่วนร่วมในความผิดอาญา: การรับรู้และการกระทำที่แยกจากกัน
พวกของจำเลยที่ 3 ฉุดดึงผู้เสียหายทั้งสองขึ้นไปบนกระบะด้านท้ายของรถยนต์ จำเลยที่ 3 นั่งอยู่ในรถด้านหน้าแถวเดียวกับคนขับ ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 3 มีส่วนร่วมในการฉุดดึงผู้เสียหายทั้งสองขึ้นรถแต่อย่างใด เมื่อรถมาจอดบริเวณที่เกิดเหตุมีจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับพวก พาผู้เสียหายทั้งสองลงจากรถและข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายทั้งสอง จำเลยที่ 3 ไม่ได้ลงจากรถเข้าไปมีส่วนร่วมในการพาผู้เสียหายลงจากรถหรือมีส่วนร่วมในขณะที่ผู้เสียหายทั้งสองถูกข่มขืนกระทำชำเราแต่อย่างใด จนกระทั่งผู้เสียหายที่ 2 ร้องขอความช่วยเหลือขณะถูก พ. ข่มขืนกระทำชำเรา จำเลยที่ 3 จึงลงจากรถไปขอร้อง พ. ให้หยุดกระทำและนำตัวผู้เสียหายที่ 2 ไปนั่งรอในรถด้านหน้ากับจำเลยที่ 3 จากนั้นจำเลยที่ 3 ได้ขอให้ ภ. ขับรถพาผู้เสียหายที่ 2 ไปส่งที่บ้านเพื่อนของจำเลยที่ 3 และให้นอนค้างที่นั้น โดยจำเลยที่ 3 ไม่ได้กระทำลวนลามหรือกระทำอนาจารผู้เสียหายที่ 2 แม้ก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ 3 ได้ยิน พ. พูดคุยกับจำเลยที่ 4 ว่าจะพาผู้หญิงชื่อ บ. ไปกระทำชำเรานั้น การที่ผู้ใดรับรู้ว่าผู้อื่นจะกระทำความผิดหรือกระทำความผิดแล้ว จะถือว่าผู้นั้นมีส่วนร่วมกระทำความผิดหรือสนับสนุนผู้อื่นกระทำความผิดด้วยไม่ได้ ลำพังข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 3 นั่งรถไปกับพวกที่กระทำความผิดนั้นไม่เพียงพอให้รับฟังลงโทษจำเลยที่ 3 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5142/2550
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีละเมิด: การรับรู้ถึงการละเมิดและตัวผู้รับผิดเป็นจุดเริ่มต้นนับอายุความ
เมื่อเจ้าหน้าที่ของโจทก์ได้สอบสวนข้อเท็จจริงเพื่อหาผู้รับผิดในทางแพ่งจนทราบว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้รับผิดในทางแพ่งและรายงานข้อเท็จจริงให้ผู้บังคับบัญชาทราบตามลำดับชั้น และในวันที่ 8 มกราคม 2544 ธ. ผู้อำนวยการสำนักทางหลวงที่ 8 รักษาราชการแทนรองอธิบดี ปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมทางหลวง ได้ลงนามในหนังสือทวงถามให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายต่อโจทก์ ซึ่งมีข้อความระบุไว้ชัดเจนว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้กระทำละเมิดต่อโจทก์โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ที่ก่อให้เกิดเหตุละเมิดคิดเป็นค่าเสียหายจำนวน 31,373.75 บาท และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดชำระเงินดังกล่าวแก่โจทก์ กรณีจึงถือได้ว่า ธ. ผู้อำนวยการสำนักทางหลวงที่ 8 รักษาราชการแทนรองอธิบดี ปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมทางหลวงซึ่งในขณะนั้นอยู่ในฐานะเป็นผู้แทนและเป็นผู้แสดงเจตนาอันเป็นความประสงค์ของโจทก์ ได้รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนคือจำเลยทั้งสองตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม 2544 ดังนั้น เมื่อโจทก์นำคดีนี้มาฟ้องจำเลยทั้งสองในวันที่ 6 มกราคม 2546 อันเป็นระยะเวลาเกินกว่า 1 ปี คดีโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 2 จึงขาดอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 448 วรรคหนึ่ง