พบผลลัพธ์ทั้งหมด 15 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1068/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฉ้อโกงประชาชน vs. ฉ้อโกงรายบุคคล, การลงโทษหลายกรรม, และการนับโทษต่อ
จำเลยกล่าวหลอกลวงส. ที่บ้านของส. แล้วในวันต่อมาไปกล่าวหลอกลวงว. ที่บ้านของว. ขณะที่จำเลยกล่าวหลอกลวงว. มีผู้เสียหายและชาวบ้านอื่นอยู่ด้วยแต่ไม่ได้ความว่าจำเลยกล่าวหลอกลวงผู้เสียหายและชาวบ้านเหล่านั้นจึงต้องฟังข้อเท็จจริงเป็นประโยชน์แก่จำเลยว่าเป็นเรื่องที่จำเลยกล่าวแก่ว.แล้วผู้เสียหายอื่นไปได้ยินเข้าเองแล้วเชื่อและชำระเงินให้จำเลยถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาจะกล่าวหลอกลวงผู้เสียหายอื่นและชาวบ้านไม่เป็นการหลอกลวงประชาชน แม้ทางพิจารณาจะได้ความว่าจำเลยฉ้อโกงผู้เสียหายหลายครั้งต่างกรรมต่างวาระกันแต่ฟ้องโจทก์มิได้บรรยายรายละเอียดให้เห็นว่าโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษทุกกรรมดังนี้ศาลจะลงโทษจำเลยแต่ละกรรมนอกเหนือจากฟ้องหาได้ไม่ โจทก์มีคำขอท้ายฟ้องให้นับโทษจำเลยต่อจากคดีอาญาอีกเรื่องหนึ่งไว้แล้วแต่ศาลล่างทั้งสองนับโทษต่อให้ไม่ได้เพราะคดีนั้นศาลยังมิได้มีคำพิพากษาโจทก์ฎีกาขอให้นับโทษต่อโดยอ้างว่าคดีดังกล่าวศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาแล้วโดยระบุหมายเลขคดีแดงมาด้วยเมื่อจำเลยมิได้แก้ฎีกาปฏิเสธข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงฟังได้ว่าคดีดังกล่าวศาลได้พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยแล้วจริงศาลฎีกาย่อมพิพากษาให้นับโทษต่อกันได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1068/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฉ้อโกงรายบุคคล vs. ฉ้อโกงประชาชน, การนับโทษต่อคดีอาญาอื่น
ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยฉ้อโกงผู้เสียหายทั้งห้าหลายครั้งต่างกรรมต่างวาระกันแต่ฟ้องโจทก์มิได้บรรยายรายละเอียดการกระทำของจำเลยให้ปรากฏพอที่จะให้เห็นว่าโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษทุกกรรมดังที่ได้ความตามทางพิจารณาศาลจะลงโทษจำเลยแต่ละกรรมนอกเหนือจากฟ้องหาได้ไม่. จำเลยกล่าวหลอกลวงว.ผู้เสียหายที่บ้านว.ขณะนั้นมีย.ม.ป.ผู้เสียหายและชาวบ้านอื่นอยู่ด้วยเป็นเรื่องที่จำเลยกล่าวแก่ว.แล้วผู้เสียหายอื่นไปได้ยินเข้าเองถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาจะกล่าวหลอกลวงผู้เสียหายอื่นและชาวบ้านหากแต่ผู้เสียหายอื่นได้ยินแล้วเชื่อและชำระเงินให้จำเลยถือได้ว่าจำเลยหลอกลวงผู้เสียหายเป็นรายบุคคลมิได้หลอกลวงประชาชนจึงมีความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา341. คดีนี้โจทก์ได้มีคำขอท้ายฟ้องขอให้นับโทษจำเลยต่อจากคดีอาญาหมายเลชดำที่3672/2526ของศาลชั้นต้นไว้แล้วแต่ศาลล่างทั้งสองนับโทษต่อจากคดีดังกล่าวไม่ได้เพราะคดีนั้นศาลยังมิได้มีคำพิพากษาโจทก์ฎีกาขอให้นับโทษจำเลยคดีนี้ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่2672/2526หมายเลขแดงที่3332/2526ของศาลชั้นต้นโดยอ้างว่าคดีดังกล่าวศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาแล้วจำเลยมิได้แก้ฎีกาปฏิเสธข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงฟังได้ว่าคดีดังกล่าวศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยแล้วจริงศาลฎีกาย่อมพิพากษาให้นับโทษต่อกันได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 342/2477
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำผิดฐานสูบฝิ่นเป็นรายบุคคล ไม่สามารถรวมโทษได้
ต่างคนต่างสูบฝิ่นเป็นการที่ต่างคนต่างกระทำผิดไม่เรียกว่าสมคบกัน จะปรับรวมกันไม่ได้ ต้องปรับเรียงตัว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3826/2562
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องแบ่งมรดก: ทุนทรัพย์รายบุคคลสำคัญกว่ารวมทั้งหมด ทำให้ฎีกาต้องห้ามตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดก จำเลยโอนที่ดินพิพาทให้แก่ตนเองโดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ทั้งหกในฐานะทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดก ขอให้บังคับจำเลยโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งหก จึงเป็นเรื่องที่โจทก์ทั้งหกฟ้องให้ได้กลับคืนมาซึ่งทรัพย์มรดกเพื่อประโยชน์แก่โจทก์ทั้งหก เป็นการฟ้องเรียกทรัพย์มรดกจากจำเลย จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ เป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามจำนวนราคาที่ดินพิพาท ซึ่งแม้โจทก์ทั้งหกจะฟ้องรวมกันมา แต่การอุทธรณ์ฎีกาต้องถือทุนทรัพย์ของโจทก์แต่ละคนแยกกัน เพราะเป็นเรื่องที่โจทก์แต่ละคนใช้สิทธิเฉพาะของตน เมื่อที่ดินแต่ละส่วนที่โจทก์แต่ละคนฟ้องขอแบ่งมีราคาไม่เกิน 200,000 บาท ซึ่งเป็นราคาทรัพย์สินหรือทุนทรัพย์พิพาทในชั้นฎีกาของโจทก์แต่ละคน จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง (เดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับขณะโจทก์ยื่นฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3465/2566
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษปรับกรณีนำเข้าของผิดกฎหมาย: กฎหมายใหม่ลงโทษเป็นรายบุคคล ไม่รวมยอดปรับ
การลงโทษปรับแก่ผู้กระทำความผิดหลายคนที่ร่วมกันนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งของที่ยังมิได้ผ่านพิธีการศุลกากรในขณะที่ พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 มีผลใช้บังคับ ต้องกำหนดให้ผู้ร่วมกระทำความผิดรับผิดรวมกันเป็นเงินจำนวนสี่เท่าราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว เมื่อมาตรา 27 ทวิ เป็นบทบัญญัติต่อท้ายและเป็นความผิดต่อเนื่องจากมาตรา 27 ก็ต้องบังคับเรื่องโทษปรับเช่นเดียวกัน แต่ต่อมาภายหลังได้มี พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 3 ให้ยกเลิก พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 โดย พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 242 บัญญัติให้การกระทำความผิดของจำเลยทั้งสี่ตามฟ้องฐานร่วมกันนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งของที่ยังมิได้ผ่านพิธีการศุลกากร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับเป็นเงินสี่เท่าของราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ริบของนั้นไม่ว่าจะมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่ เห็นได้ว่า พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 242 บัญญัติไว้แตกต่างจาก พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 โดย พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 242 ไม่มีข้อความว่า "สำหรับความผิดครั้งหนึ่ง ๆ" ดังเช่น พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ดังนั้น พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 242 ซึ่งเป็นกฎหมายที่บัญญัติขึ้นภายหลังและใช้ในขณะจำเลยทั้งสี่ร่วมกันกระทำความผิดจึงมีวัตถุประสงค์ลงโทษปรับแก่จำเลยเป็นรายบุคคลโดยไม่พักต้องคำนึงถึงจำนวนรวมของค่าปรับสำหรับความผิดครั้งหนึ่ง ๆ ดังเช่น พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่เดิม ไม่อาจนำกรณีของมาตรา 27 กับมาตรา 27 ทวิ ซึ่งอยู่ใน พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 ฉบับเดียวกันมาใช้เทียบเคียงได้