คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
รายละเอียดการกระทำ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 22 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1236/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องอาญาฐานประมาทต้องระบุรายละเอียดการกระทำที่เป็นความประมาท มิใช่แค่กล่าวอ้างตามกฎหมาย
การที่โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยขับรถยนต์โดยประมาทปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ เป็นเหตุให้ชนผู้อื่นถึงตายขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291 ดังนี้ ฟ้องโจทก์เป็นแต่เพียงกล่าวอ้างถ้อยคำในบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าการกระทำอย่างไรเป็นการกระทำโดยประมาทโดยมิได้บรรยายข้อเท็จจริงให้เห็นว่าจำเลยมีความประมาทอย่างไร อันเป็นลักษณะสำคัญของดีที่จะให้จำเลยรู้ข้อหาในความประมาทของตน จึงเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2565/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องอาญาต้องระบุรายละเอียดการกระทำความผิดตามกฎหมายชัดเจน มิเช่นนั้นฟ้องไม่ชอบ
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309และ 310 โดยกล่าวในฟ้องแต่เพียงว่า จำเลยบังอาจหน่วงเหนี่ยวกักขังโจทก์ให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และจำเลยข่มขืนใจโจทก์โดยมีอาวุธเพื่อให้โจทก์ถอนทะเบียนสมรสระหว่างโจทก์กับ ส. ส่วนการกระทำของจำเลยอย่างไรที่ว่าข่มขืนใจโจทก์ตามมาตรา 309 โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของโจทก์และจำเลยได้กระทำอย่างไรที่ว่าเป็นการหน่วงเหนี่ยวกักขังโจทก์และกระทำให้โจทก์ปราศจากเสรีภาพในร่างกายตามมาตรา 310 โจทก์ไม่ได้บรรยายในฟ้องเลย ฟ้องของโจทก์เช่นนี้จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 196/2510

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องขอให้กักกันผู้กระทำผิดติดนิสัย ไม่ต้องระบุรายละเอียดการกระทำ หากคดีมูลเหตุอยู่ในอำนาจศาลและไม่ขาดอายุความ
ฟ้องขอให้กักกันหาใช่ฟ้องเพื่อพิสูจน์ความผิดของจำเลยเพื่อให้ศาลลงโทษตามความผิดไม่ จึงไม่ต้องระบุรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้น ๆ และแม้จะมิได้บรรยายว่าโจทก์ฟ้องคดีอันเป็นมูลให้เกิดอำนาจฟ้องขอให้กักกันวันเดือนปีใด ไม่อาจทราบว่าภายในอายุความหรือไม่ก็ตาม เมื่อคดีนั้นเป็นคดีของศาลชั้นต้นโจทก์ได้ระบุอ้างเป็นพยานไว้ ศาลชั้นต้นชอบที่จะเอาสำนวนคดีนั้นมา ตรวจดูได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 86/2503

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบรรยายฟ้องความผิดฐานประมาทต้องระบุรายละเอียดการกระทำ หากโจทก์ฟ้องเฉพาะเจตนา ศาลลงโทษประมาทไม่ได้
ความผิดฐานพยายามฆ่าคนโดยเจตนากับความผิดฐานประมาททำให้คนรับอันตรายแก่กายถึงสาหัสนั้น ลักษณะการกระทำแตกต่างกัน อันถือว่าเป็นสาระสำคัญ กล่าวคือ ในความผิดที่กระทำโดยประมาทโจทก์จะต้องบรรยายฟ้องให้จำเลยทราบว่า การกระทำของจำเลยเป็นประการใดจึงเรียกว่าจำเลยกระทำโดยประมาท จำเลยจะได้ต่อสู้คดีในฐานประมาทได้ด้วย มิฉะนั้น เมื่อโจทก์ฟ้องว่าจำเลยพยายามฆ่าโดยเจตนา จะลงโทษฐานประมาททำให้คนรับอันตรายแก่กายถึงสาหัสไม่ได้หากโจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยฐานประมาททำให้คนรับอันตรายแก่กายถึงสาหัสด้วย โจทก์ก็ชอบที่จะบรรยายฟ้องถึงการกระทำของจำเลยเป็นท้องเรื่องมาในฟ้องอันเห็นได้ว่า หากจำเลยไม่เจตนาจำเลยก็ได้กระทำการโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้น จักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์เช่นนี้ ศาลก็ยังอาจจะลงโทษจำเลยฐานทำอันตรายแก่กายถึงสาหัสโดยประมาทได้เพราะเป็นเรื่องอยู่ในฟ้องแล้ว (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 18/2502)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1260/2500

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความชัดเจนของฟ้องอาญา: การบรรยายการกระทำและรายละเอียดเพื่อให้จำเลยเข้าใจข้อหา
โจทก์กล่าวฟ้องใจความว่าโคของเจ้าทรัพย์เพริดไปเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2499 ตอนกลางวันครั้นตกเวลากลางคืนในวันเดียวกันนั้นเองปรากฏว่าจำเลยมีโคตัวนั้นไว้ในความครอบครองโดยในระยะเวลาระหว่าง 2 ตอนดังกล่าวนั้นจำเลยจับโคที่เพริดไปนั้นได้เองแล้วกลับยักยอกเอาไว้เสียโดยทุจริตหรือรับของโจรโคตัวนั้นไว้
เช่นนี้เป็นฟ้องที่ไม่เคลือบคลุมเพราะโจทก์บรรยายการกระทำและรายละเอียดชัดเจนพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจได้ดีอยู่แล้ว ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา158(5) และความผิดฐานยักยอกของหายในลักษณะเช่นนี้กับความผิดฐานรับของโจรเป็นความผิดที่เกี่ยวพันกันอยู่เช่นเดียวกันกับความผิดฐานลักทรัพย์กับความผิดฐานรับของโจร ซึ่งย่อมฟ้องได้ในลักษณะทำนองเดียวกันนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 817/2499

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องสมคบหน่วงเหนี่ยวกักขังเพื่อเรียกค่าไถ่ แม้ไม่มีรายละเอียดการกระทำของจำเลยแต่ละคน ก็ไม่ถือเป็นฟ้องเคลือบคลุม
ความผิดฐานสมคบหน่วงเหนี่ยวกักขังคนเพื่อสินไถ่นั้นโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้ง 5 สมคบกันกระทำผิดเริ่มแต่วันที่ 13 ธ.ค. ถึง 17 ธ.ค.95 ทั้งเวลากลางวันและกลางคืนอันเป็นเวลาระหว่างที่จำเลยลักพาเด็กไปหน่วงเหนี่ยวกักขังไว้เพื่อสินไถ่ ไม่จำต้องระบุว่าจำเลยคนใดทำอะไรความละเอียดนอกจากนี้เป็นข้อที่นำสืบจำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีและไม่หลงข้อต่อสู้ จึงไม่เป็นการฟ้องเคลือบคลุม
แม้ข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาจะไม่ได้ความว่าจำเลยคนไหนเป็นผู้กักขังหน่วงเหนี่ยวและไม่มีพยานโจทก์เห็นผู้เสียหายถูกกักขังอยู่ในลังเมื่อเหตุอื่นๆ ฟังได้ว่าจำเลยสมคบกันหน่วงเหนี่ยวกักขังจริงจึงไม่ใช่ข้อเท็จจริงต่างกับฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 930/2496 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความสมบูรณ์ของฟ้องคดีอาญา: ยักยอกทรัพย์, การระบุรายละเอียดการกระทำ, วันเวลา, และเจตนา
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยยักยอกโดยระบุวันเวลาที่จำเลยได้รับมอบหมายทรัพย์จากเจ้าทุกข์ เพื่อนำไปขาย ถ้าขายได้ หรือขายไม่ได้ ก็จะนำทรัพย์เหล่านั้นและเงินค่าขายมาส่งคืนภายใน 10 วัน ได้ระบุวันที่จะคืนด้วย แล้วบรรยายต่อ ไปว่า จำเลยได้รับทรัพย์ไปแล้วไม่นำมาส่งให้เจ้าทุกข์ตามกำหนด จำเลยกลับบังอาจมีเจตนาทุจริต ยักยอกเอา ทรัพย์ดังกล่าวไว้ เจ้าทุกข์ทราบเหตุการณ์ในวันครบกำหนด จึงได้ร้องทุกข์ขอให้เจ้าพนักงานนำคดีขึ้นว่ากล่าว ไป นั้น ดังนี้ ถือได้ว่าเป็นฟ้องที่กล่าวถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่า าจำเลยได้กระทำผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่ เกี่ยวกับเวลา ฯลฯ พอสมควรให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี เป็นฟ้องอันถูกต้องตาม ป.ม.ว.อาญามาตรา 158 แล้ว./

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 196/2494

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องฉ้อโกงและปลอมแปลงเอกสารต้องระบุรายละเอียดการกระทำความผิดชัดเจน
ฟ้องหาว่า จำเลยฉ้อโกงและปลอมหนังสือแต่ตามฟ้องไม่ปรากฏว่าจำเลยเอาข้อความเท็จมาหลอกลวงเมื่อวันเวลาใด เป็นแต่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยใช้อุบายหลอกลวงโดยเอาความเท็จมากล่าว แล้วบรรยายต่อไปว่าจำเลยเขียนเช็คฉบับใดลงวันเดือนปี ให้ผู้มีชื่อ ผู้มีชื่อนำเช็คนั้นมามอบให้โจทก์เมื่อวันใดก็ไม่บอกในฟ้อง และทั้งในฟ้องก็ไม่บรรยายว่าจำเลยทำผิดฐานปลอมหนังสือนั้นทำอย่างไร เป็นแต่โจทก์บอกมาในฟ้องว่า โจทก์นำเช็ค 3 ฉบับไปขอรับเงินที่ธนาคาร ธนาคารว่าเงินไม่พอจ่ายจึงคืนเช็คเพียงเท่านี้เป็นฟ้องที่ยังลงโทษจำเลยไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1217/2492

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความชัดเจนของฟ้องอาญา: การระบุตัวผู้กระทำผิดและรายละเอียดการกระทำความผิด
ฟ้องโจทก์กล่าวว่า จำเลยทั้งหมดบังอาจสมคบกันเล่นการพนันสะบ้าทอย พนันเอาทรัพย์สินกันโดยมิได้รับอนุญาต โดยจำเลยที่ 1,2,3 เป็นผู้จัดให้มีการเล่น จำเลยนอกนั้นเป็นผู้เข้าพนันในการเล่น ดังนี้ ฟ้องของโจทก์ย่อมสมบูรณ์ ไม่ทำให้จำเลยหลงเข้าใจผิดแต่อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1032/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีอาญาและ พ.ร.บ.สมาคมฯ ต้องมีรายละเอียดการกระทำความผิดชัดเจน และการกระทำต้องเข้าข่ายความผิดตามกฎหมาย
คดีนี้โจทก์ทั้งสี่บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 23 กับพวกอีก 2 คน ทำหนังสือขอให้โจทก์ที่ 1 ในฐานะนายกสมาคมศิษย์เก่าโรงเรียนเสริมมิตรเรียกประชุมใหญ่วิสามัญเพื่อแต่งตั้งคณะกรรมการสมาคมชุดใหม่ โดยร่วมกันลงลายมือชื่อในหนังสือดังกล่าวในฐานะสมาชิกสามัญของสมาคม ทั้งๆ ที่บุคคลที่ลงลายมือชื่อในหนังสือขอให้เรียกประชุมและผู้เข้าร่วมประชุมใหญ่บางคนมิได้เป็นสมาชิกสามัญของสมาคม แล้วนำเอกสารที่เกี่ยวข้องไปขอจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการสมาคมต่อนายทะเบียน แต่เมื่อหนังสือขอให้เรียกประชุมใหญ่วิสามัญเป็นเอกสารที่จำเลยที่ 1 ถึง 23 กับพวกได้จัดทำขึ้นเองและลงลายมือชื่อของตนเอง นอกจากนั้นบัญชีรายชื่อร่วมการประชุมใหญ่วิสามัญก็มีผู้เข้าร่วมประชุมลงลายมือชื่อของตนเอง กรณีจึงเป็นการที่โจทก์ทั้งสี่ฟ้องกล่าวอ้างว่า จำเลยทั้งแปดสิบสามได้ร่วมกันจัดทำเอกสารที่มีข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับฐานะของผู้จัดทำหนังสือขอให้เรียกประชุมใหญ่วิสามัญและผู้เข้าร่วมประชุมว่าเป็นสมาชิกสามัญ โดยที่บางคนมิได้เป็นสมาชิกสามัญ ซึ่งอาจมีผลให้การประชุมใหญ่วิสามัญของสมาคมไม่ชอบด้วยข้อบังคับของสมาคมเท่านั้น หาใช่เป็นการทำเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนใดส่วนหนึ่งไม่ ทั้งมิใช่การลงลายมือชื่อปลอมหรือประทับตราปลอมลงในเอกสาร เพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง นอกจากนี้โจทก์ทั้งสี่ฟ้องว่าจำเลยที่ 39 ลงลายมือชื่อรับรองสำเนาถูกต้องในทะเบียนสมาชิกสมาคมศิษย์เก่าโรงเรียนเสริมมิตรวิทยา อันเป็นการรับรองเอกสารที่มีข้อความเป็นเท็จโดยไม่มีต้นฉบับอยู่จริงนั้น เมื่อโจทก์ทั้งสี่กล่าวอ้างว่า จำเลยที่ 39 มีหน้าที่รักษาการแทนนายทะเบียนสมาคม มีหน้าที่รับและจำหน่ายสมาชิก รักษาทำเนียบกับทำทะเบียนต่างๆ ของสมาคม ดังนั้นแม้จำเลยที่ 39 จัดทำทะเบียนสมาชิกของสมาคมอันเป็นความเท็จเพราะมีบุคคลจำนวนหนึ่งที่มิได้เป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์หรือสมาชิกสามัญมีรายชื่ออยู่ในทะเบียนของสมาคม ก็เป็นเรื่องที่โจทก์ทั้งสี่กล่าวหาว่าจำเลยที่ 39 ซึ่งมีหน้าที่จัดทำทะเบียนสมาชิกของสมาคม ได้จัดทำและรับรองเอกสารอันมีข้อความเป็นเท็จเช่นกัน หาใช่เป็นการทำเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนใดส่วนหนึ่ง ทั้งมิใช่การลงลายมือชื่อปลอมหรือประทับตราปลอมลงในเอกสาร เพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริงไม่
โจทก์ทั้งสี่ฟ้องจำเลยทั้งแปดสิบสาม ในความผิดฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานและแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จ โดยโจทก์ทั้งสี่มิได้ระบุรายละเอียดในฟ้องว่า จำเลยทั้งแปดสิบสามได้แจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานว่าอย่างไร และแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการหรือเอกสารมหาชนว่าอย่างไร เมื่อฟ้องของโจทก์ไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับการกระทำของจำเลยทั้งแปดสิบสามอันเป็นองค์ประกอบความผิดฐานแจ้งความเท็จและฐานแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการหรือเอกสารมหาชน จึงเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) ศาลจึงต้องยกฟ้องตามมาตรา 161
โจทก์ทั้งสี่ฟ้องจำเลยทั้งแปดสิบสาม เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.กำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคมและมูลนิธิ พ.ศ.2499 มาตรา 49, 50, "และ 51 ซึ่งบทบัญญัติแห่งมาตรา 49 เป็นกรณีที่ผู้กระทำผิดใช้ชื่อซึ่งมีอักษรไทยประกอบคำว่า สมาคม"ในดวงตรา ป้ายชื่อ จดหมาย ใบแจ้งความหรือเอกสารอย่างอื่นเกี่ยวกับธุรกิจโดยมิได้เป็นสมาคม เมื่อโจทก์ทั้งสี่ฟ้องว่าจำเลยทั้งแปดสิบสามร่วมกันกระทำการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการของสมาคมศิษย์เก่าโรงเรียนเสริมมิตรวิทยา โดยกระทำการในนามสมาคมศิษย์เก่าโรงเรียนเสริมมิตรซึ่งเป็นสมาคมตาม ป.พ.พ. การกระทำของจำเลยทั้งแปดสิบสามย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรา 49 และเมื่อสมาคมดังกล่าวเป็นสมาคมตามกฎหมาย การกระทำของจำเลยทั้งแปดสิบสามจึงไม่เป็นการกระทำให้บุคคลอื่นหลงเชื่อว่าเป็นสมาคมที่ได้จดทะเบียนตาม ป.พ.พ. การกระทำของจำเลยทั้งแปดสิบสามจึงไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.กำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคมและมูลนิธิ พ.ศ.2499 มาตรา 50 และ 51
of 3