คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
รู้เห็น

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 96 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1369/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองกัญชาในที่ดินของตนเอง และการสันนิษฐานความรู้เห็นในการปลูก
แม้โจทก์ไม่มีพยานเห็นจำเลยปลูกกัญชา แต่ต้นกัญชาปลูกอยู่ในที่ดินของจำเลยซึ่งครอบครองเป็นสัดส่วน แยกต่างหากจากที่ดินของผู้อื่นโดยปลูกแซม กับต้นกาแฟ และมีความสูงเฉลี่ย 2 เมตร แสดงว่าต้องใช้ระยะเวลานาน พอสมควร จำเลยน่าจะรู้เห็นจึงไม่มีเหตุให้สงสัยว่า ต้นกัญชามิใช่ของจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1138/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแสดงเจตนา การรู้เห็น การปฏิบัติตามสัญญา และการถือว่าข้อสัญญาเป็นสาระสำคัญ
แม้จำเลยจะได้แสดงสวนหย่อมไว้ในใบโฆษณาและอาคารจำลอง แต่ก่อนเปิดขายอาคารทุกหลังในโครงการนี้ได้ตอกเสาเข็ม ไว้แล้วโดยแต่ละต้นเหลือส่วนบนโผล่ พ้นดินประมาณ 2 เมตร ซึ่งในระหว่างที่โจทก์ผ่อนชำระเงินดาวน์และไปตรวจดูการ ก่อสร้างห้องชุดที่จะซื้อ โจทก์ได้เห็นการก่อสร้างอาคารซี ตรงจุดที่จำเลยแสดงไว้ในโฆษณาว่าจะทำเป็นสวนหย่อม แต่โจทก์ ก็ไม่เคยโต้แย้งการก่อสร้างอาคาร ซี แต่อย่างใด เท่ากับโจทก์รู้เห็นการก่อสร้างอาคาร ซีมาโดยตลอด การที่โจทก์ก็ยังคงเข้าทำสัญญาและติดต่อปฏิบัติตามสัญญาตลอดมา แสดงว่า โจทก์หาได้ถือว่าการจะมีหรือไม่มีสวนหย่อมหน้าอาคารชุดหลัง ที่โจทก์จะซื้อห้องชุดเป็นข้อสาระสำคัญไม่ จึงฟังไม่ได้ว่า จำเลยผิดสัญญา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7223/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับผิดในทางละเมิด จำเลยต้องมีส่วนร่วมในการกระทำละเมิด หรือรู้เห็นการกระทำละเมิดของผู้อื่น
ฟ้องโจทก์ตั้งรูปคดีมาว่า จำเลยกับพวกร่วมกันขับรถยนต์บรรทุกสินค้าหลบหนีภาษีศุลกากรแล้วชนรถยนต์ของโจทก์เสียหาย แต่โจทก์ไม่มีพยานมานำสืบให้เห็นว่าจำเลยร่วมกับ ด.ขับรถยนต์ชนรถยนต์ของโจทก์อันเป็นการทำละเมิดโจทก์ คงได้ความแต่เพียงว่า ด.เป็นผู้ขับรถยนต์กระบะเฉี่ยวชนรถยนต์ของโจทก์เสียหายโดยจำเลยเป็นเพียงบุคคลภายนอกที่นั่งมาในรถยนต์กระบะที่ ด.เป็นผู้ขับเท่านั้น โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยมีส่วนทำความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่รถยนต์ของโจทก์ด้วย ทั้งไม่มีพฤติการณ์ใดส่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยได้รู้เห็นในการทำละเมิดของ ด.หรือยุยงช่วยเหลือ ด.กระทำละเมิดโจทก์ แม้ ด.จะมีส่วนทำละเมิดขับรถชนรถยนต์ของโจทก์เสียหายเพียงเท่านี้ก็ยังไม่พอถือว่าจำเลยร่วมทำละเมิดอันจะต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วย
คำพิพากษาคดีส่วนอาญาที่จำเลยคดีนี้ถูกฟ้องจนศาลพิพากษาลงโทษไปเด็ดขาดแล้วนั้น ปรากฏเพียงว่าคดีอาญานั้นจำเลยถูกฟ้องหาว่าร่วมกับ ด.ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่และทำร้ายผู้อื่นตาม ป.อ.มาตรา 138,391, 83 เท่านั้น ไม่ได้มีประเด็นโดยตรงเกี่ยวกับความเสียหายรถยนต์ของโจทก์ข้อเท็จจริงในคดีอาญาดังกล่าวจึงเป็นคนละประเด็นกับคดีนี้และไม่มีผลผูกพันจำเลยในคดีนี้ ดังนี้ คดีจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยทำละเมิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7223/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำเลยนั่งโดยสารในรถที่คนขับหลบหนีและชนรถเจ้าหน้าที่ ไม่ถือเป็นผู้ร่วมทำละเมิดหากไม่มีส่วนรู้เห็นหรือช่วยเหลือ
เจ้าหน้าที่ของกรมศุลกากรโจทก์นำรถยนต์ของโจทก์ออกปฏิบัติหน้าที่ตั้งด่านเพื่อตรวจจับรถขนสินค้าหลบหนีภาษีศุลกากร ด. ขับรถยนต์บรรทุกสินค้าหลบหนีภาษีศุลกากรโดยมีจำเลยนั่งมาในรถด้วยความเร็วและไม่ยอมหยุดให้ตรวจเมื่อเจ้าหน้าที่ของโจทก์ให้สัญญาณหยุด เฉี่ยวชนรถยนต์ ของโจทก์เสียหาย จำเลยเพียงนั่งมาในรถไม่มีส่วนทำความผิดด้วยทั้งจำเลยไม่ได้รู้เห็นในการทำละเมิดของด. หรือยุยงช่วยเหลือด. กระทำละเมิด ยังไม่พอถือว่าจำเลยร่วมทำละเมิดอันจะต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วย คำพิพากษาคดีส่วนอาญาที่จำเลยถูกศาลพิพากษาลงโทษไปเด็ดขาดแล้วเป็นเรื่องที่จำเลยถูกฟ้องว่าร่วมกับ ด.ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่และทำร้ายผู้อื่น ไม่มีประเด็นเกี่ยวกับความเสียหายของรถยนต์ของโจทก์ที่ถูกจำเลยขับรถยนต์ชนอันเป็นคดีแพ่ง ข้อเท็จจริงในคดีอาญาจึงไม่มีผลผูกพันจำเลยในคดีแพ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6951/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความร่วมมือในการปล้นทรัพย์: การพิสูจน์ความผิดของจำเลยที่รู้เห็นและสนับสนุนการกระทำผิด
จำเลยที่4ถึงที่7ร่วมกับจำเลยที่1ถึงที่3ว่าจ้างผู้เสียหายขับรถยนต์รับจ้างไปส่งที่เกิดเหตุขณะเกิดเหตุจำเลยที่3ซึ่งนั่งรวมอยู่กับจำเลยที่4ถึงที่7ด้านหลังลงมาช่วยจำเลยที่1และที่2ปลดทรัพย์ผู้เสียหายหลังเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่5ถึงที่7ได้ในลักษณะที่ตัวจำเลยที่5ถึงที่7เปรอะเปื้อนและเปียกส่วนจำเลยที่4ตามจับได้ตามคำซัดทอดของผู้ถูกจับได้ก่อนขณะเกิดเหตุจำเลยที่4ถึงที่7ไม่ห้ามปรามจำเลยที่1ถึงที่3ทั้งยังแยกย้ายกันหลบหนีพยานหลักฐานโจทก์ฟังประกอบคำรับสารภาพของจำเลยทั้งหมดฟังได้ว่าจำเลยที่4ถึงที่7ร่วมกับจำเลยที่1ถึงที่3ปล้นทรัพย์ผู้เสียหาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5138/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ โจทก์ไม่เป็นผู้เสียหายจากการรุกล้ำที่ดินและการออก น.ส.3 ก. เกินกว่าสัญญาซื้อขาย เพราะรู้เห็นและประสงค์ได้ที่ดินส่วนเกิน
การกระทำของจำเลยทั้งแปดที่ร่วมกันนำชี้และรังวัดที่ดินรุกล้ำที่สาธารณะเพื่อให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 ได้ที่ดินเพิ่มขึ้นอันเป็นการทำให้รัฐต้องสูญเสียที่ดินไปย่อมทำให้รัฐเสียหาย แม้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 ได้ทำสัญญาจะขายที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ทำให้โจทก์ต้องเสียเงินเพิ่มจากที่ได้ทำสัญญาไว้ โจทก์ก็เป็นเพียงผู้จะซื้อที่ดินเท่านั้น หาได้รับความเสียหายโดยตรงจากการกระทำความผิดอาญาของจำเลยทั้งแปดไม่ เมื่อโจทก์ไม่ต้องการที่ดินส่วนที่เพิ่มตาม น.ส.3 ก. ที่ออกใหม่เพราะไม่ถูกต้องตามกฎหมายก็ย่อมปฏิเสธไม่จ่ายเงินค่าที่ดินส่วนที่เพิ่มขึ้นโดยไม่ชอบได้อยู่แล้ว โจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหายจากการกระทำความผิดของจำเลยตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137,157,162 และ 267 ที่ดินที่โจทก์ตกลงซื้อจากจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 มีเนื้อที่ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เพียง 6 ไร่เศษ แต่โจทก์จำเลยกลับทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินกันในเนื้อที่ถึง ไร่เศษ ทั้งยังตกลงกันอีกว่า หาก น.ส.3 ก. ที่ออกใหม่มีเนื้อที่ดินเพิ่มจากที่ระบุไว้ในสัญญาจะซื้อขายโจทก์ก็จะชำระราคาเพิ่ม การที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) โดยนำชี้ที่ดินรุกล้ำที่สาธารณะได้เนื้อที่ดินมากกว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เดิมจำนวน 1 ไร่เศษ นั้น ถือได้ว่าโจทก์ได้ร่วมรู้และประสงค์จะได้เนื้อที่ดินที่เกินจากหลักฐานราชการบางส่วนด้วยจึงเป็นผู้มีส่วนรู้เห็นในการกระทำความผิดแม้จำเลยจะได้นำหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) มาแสดงต่อโจทก์ เพื่อให้โจทก์ชำระเงินเพิ่ม ก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 ประกอบมาตรา 267

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 449/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สนับสนุนการฆ่าโดยทรมาน: ผู้รู้เห็นใจแต่ไม่ได้ร่วมลงมือ
จำเลยรู้เห็นเป็นใจกับพวกคนร้ายหลอกพาผู้ตายไปฆ่าโดยวิธีจุดไฟเผาทั้งเป็น โดยจับผู้ตายแก้ผ้าเอาเชือกมัดมือมัดเท้าเอาล้อยางรถยนต์สวมตัว กับเอาน้ำมันราดและจุดไฟเผาผู้ตาย ซึ่งผู้ตายจะไม่ตายในทันที แต่จะได้รับความเจ็บปวดและทรมานเป็นเวลานานก่อนจะสิ้นใจ แสดงให้เห็นว่าประสงค์ให้ผู้ตายได้รับความลำบากอย่างสาหัสก่อนตาย จึงเป็นการฆ่าโดยทรมาน ทารุณโหดร้าย และไตร่ตรองไว้ก่อน จำเลยมิได้อยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุในขณะเกิดเหตุในลักษณะที่จะเข้าช่วยขจัดอุปสรรคอันอาจมีขึ้นได้ทัน เพราะพวกคนร้ายได้พาตัวผู้ตายขึ้นรถปิกอัพแยกจากจำเลยไปสถานที่อีกแห่งหนึ่งแล้วจึงร่วมกันจุดไฟเผาผู้ตาย การกระทำของจำเลยจึงยังไม่ถึงขั้นเป็นตัวการร่วมกับพวกคนร้ายฆ่าผู้ตาย คงเป็นเพียงผู้สนับสนุนให้คนร้ายฆ่าผู้ตายเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4281/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขเช็คหลังสลักหลังรู้เห็น การรับผิดของผู้สลักหลัง
ผู้สั่งจ่ายเช็คแก้ไขวันเดือนปีที่ลงในเช็คพร้อมลงลายมือชื่อกำกับไว้ในการเปลี่ยนแปลงแก้ไข โดยผู้สลักหลังรู้เห็นยินยอมด้วยกับการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้นผู้สลักหลังไม่หลุดพ้นความรับผิด จึงยังคงต้องรับผิดต่อผู้ทรงเช็ค

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 368/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิขอคืนของกลาง: ผู้ร้องต้องพิสูจน์ความเป็นเจ้าของและไม่มีส่วนรู้เห็นในการกระทำผิด
การขอให้คืนของกลางที่ศาลสั่งริบตาม ป.อ. มาตรา 36 นั้นเป็นส่วนหนึ่งของคดีอาญา จึงเป็นหน้าที่ของผู้ร้องที่ต้องนำพยานหลักฐานเข้าสืบ แสดงให้ศาลเห็นว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของและมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย เมื่อผู้ร้องแถลงไม่สืบพยานจึงฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 100/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเสพยาโดยรู้เห็นและเจตนา การไม่สามารถอ้างความมึนเมาเป็นข้อแก้ตัว
จำเลยมิได้ถูกขืนใจให้เสพยาม้า และจำเลยก็รู้ว่ายาม้ามีฤทธิ์ต่อจิตและประสาท คือ เมื่อเสพแล้วจะไม่ง่วงนอน แต่จำเลยก็ยังซื้อมาเสพร่วมกับการดื่มสุรา จึงรับฟังได้ว่าจำเลยเสพโดยรู้ว่าสิ่งนั้นจะทำให้มึนเมาและมิได้ถูกขืนใจให้เสพ ดังนั้น จำเลยไม่อาจยกเอาความมึนเมาดังกล่าวเป็นข้อแก้ตัวเพื่อไม่ต้องรับโทษตาม ป.อ. มาตรา 65 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 66
of 10