คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ร่วมกันกระทำผิด

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 53 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 49/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีหน้าที่แบ่งแยกชัดเจน และคำรับสารภาพชั้นสอบสวนที่ยืนยันการกระทำความผิด
โจทก์มีพยานเบิกความประกอบกันยืนยันว่าจำเลยที่4ขับรถยนต์กระบะติดตามรถยนต์บรรทุกกุ้งตั้งต้นจนถึงปลายทางและในชั้นสอบสวนจำเลยที่4ให้ การรับสารภาพว่าได้ ร่วมวางแผน ปล้นทรัพย์ โดยจำเลยที่4ทำหน้าที่ขับรถยนต์กระบะดูเส้นทางและรถยนต์บรรทุกกุ้งคันที่ทำการปล้นอันเป็นการ แบ่งหน้าที่กันทำจึงฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยที่4ได้ ร่วมกระทำความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1816/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การร่วมกันกระทำความผิดค้ายาเสพติด: จำเลยที่ 3 มีความผิดฐานตัวการ
จำเลยที่1และ บ. เป็นผู้ค้ายาเสพติดให้โทษจำเลยที่3กับพวกนัดพบกันหลายครั้งและจำเลยที่3รับเงินจาก บ. นำไปมอบแก่จำเลยที่1เพื่อเป็นค่าจ้างและค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อจัดหาลักลอบขนยาเสพติดให้โทษถือว่าเป็นตัวการร่วมกันกระทำความผิดหาใช่เป็นเพียงผู้สนับสนุนไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5382/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ร่วมกันปลอมและใช้เอกสารปลอมฉ้อโกงธนาคาร จำเลยทั้งสองมีความผิดตามกฎหมายอาญา
การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268ประกอบด้วยมาตรา 266,341 เมื่อข้อหาใช้เอกสารปลอมตามมาตรา 268 ประกอบด้วยมาตรา 266 ซึ่งเป็นบทหนักไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ ข้อหาฉ้อโกงตามมาตรา 341ซึ่งเป็นบทที่เบากว่า จึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2945/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ตัวการร่วมฆ่า: การกระทำร่วมกันก่อนเกิดเหตุแสดงเจตนาในการร่วมกันกระทำผิด
การที่จำเลยที่ 1 เดินตามจำเลยที่ 2 ไปที่โต๊ะของโจทก์ร่วมที่ 2 โดยต่างมีมีดติดตัวไปด้วย และจำเลยที่ 2 ใช้มีดปักลงที่โต๊ะโจทก์ร่วมที่ 2 เช่นนั้น เป็นการที่จำเลยทั้งสองร่วมกันก่อเหตุทะเลาะวิวาทขึ้นก่อน แล้วจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้มีดแทงทำร้ายโจทก์ร่วมที่ 2 เมื่อผู้ตายลุกขึ้นช่วยโจทก์ร่วมที่ 2 ในขณะที่โจทก์ร่วมที่ 2 กับจำเลยทั้งสองชุลมุนแย่งมีดกัน จำเลยที่ 2 ใช้มีดแทงผู้ตายไปทันทีนั้น แล้วจำเลยทั้งสองวิ่งหลบหนีไปด้วยกันเช่นนี้ ย่อมเล็งเห็นเจตนาของจำเลยที่ 1 ได้ว่า จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 กระทำผิดมาตั้งแต่แรก ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 2 ในการที่จำเลยที่ 2 แทงผู้ตายถึงแก่ความตาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1838/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ วิ่งราวทรัพย์โดยร่วมกันกระทำผิด: การกระทำความผิดร่วมกันในสถานที่เปลี่ยวและการคืนเงินบางส่วนไม่ถือเป็นเจตนาดี
วันเกิดเหตุ ผ. พาผู้เสียหายซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศชมวัดโดยเรือรับจ้างของจำเลย ขากลับเมื่อจำเลยขับเรือมาถึงกลางแม่น้ำเจ้าพระยา จำเลยหยุดเรือแล้วพูดภาษาไทยกับ ผ. ว่าต้องการค่าโดยสาร เมื่อผู้เสียหายทราบจึงหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาแต่ยังไม่ทันส่งเงินให้ ผ. ได้หยิบเอาเงิน2,000 บาท จากกระเป๋าสตางค์ของผู้เสียหายไปส่งให้จำเลยบอกผู้เสียหายว่าเป็นค่าโดยสาร จำเลยแสดงท่าทางไม่พอใจต้องการเงินค่าโดยสารมากกว่านั้นอีก ผ. จึงหยิบเงินจากกระเป๋าสตางค์ของผู้เสียหายให้จำเลยอีก 500 บาท ผ. ยังแจ้งแก่ผู้เสียหายว่าไม่เพียงพอ ต้องการอีก 50 เหรียญสหรัฐอเมริกา แต่ผู้เสียหายไม่มีให้ ผู้เสียหายเป็นชาวต่างประเทศและเป็นผู้โดยสารคนเดียวอยู่กลางแม่น้ำเจ้าพระยา ประกอบกับ ผ. และจำเลยแสดงท่าทางขึงขังผู้เสียหายกลัวอันตรายจึงไม่กล้าขัดขืน เมื่อจำเลยขับเรือเข้าไปถึงฝั่ง ผู้เสียหายเห็นว่าปลอดภัยจึงได้พยายามเรียกร้องเอาเงินคืนผ.เอาเงินจากจำเลยคืนผู้เสียหาย1,000บาทจากนั้นผ.และจำเลยก็แยกย้ายกันไป พฤติการณ์ดังกล่าวบ่งชี้ว่า ผ. กับจำเลยรู้เห็นว่าจะกระทำการดังกล่าวด้วยกัน เป็นการร่วมกันกระทำความผิดเป็นตัวการด้วยกัน ส่วนการที่ ผ. และจำเลยคืนเงินบางส่วนให้ผู้เสียหายเกิดขึ้นภายหลังการกระทำความผิด เพราะผู้เสียหายโวยวายขอเงิน การคืนเงินบางส่วนให้อาจเป็นการผ่อนคลายไม่ให้ผู้เสียหายติดใจดำเนินคดี จะนำมาเป็นเครื่องชี้เจตนาในการกระทำผิดหาได้ไม่ การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3863/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำฟ้องข่มขืนกระทำชำเราโทรมหญิงต้องระบุองค์ประกอบการร่วมกันกระทำผิดและลักษณะเป็นการโทรมหญิงชัดเจน
องค์ประกอบความผิดในมาตรา 276 วรรคสอง ส่วนที่เป็นความผิดฐานกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง จะต้องมีการร่วมกันกระทำผิดประการหนึ่งและการกระทำที่ร่วมกันนั้นเข้าลักษณะอันเป็นการโทรมหญิงอีกประการหนึ่ง โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกับพวกได้ร่วมกันและผลัดกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวบรรยายมาให้เห็นเฉพาะส่วนที่ได้มีการร่วมกันกระทำผิดอย่างไรเท่านั้น ไม่มีข้อบรรยายที่เป็นการยืนยันให้เห็นเป็นการชัดแจ้งถึงองค์ประกอบในส่วนที่สอง เพียงข้อความตามฟ้องที่ว่าผลัดกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายมิใช่ข้อที่จะแสดงให้เห็นเป็นการแน่ชัดได้ว่ามีลักษณะเป็นการโทรมหญิง จึงไม่อาจถือได้ว่าเป็นการบรรยายการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยกระทำผิดโดยครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) กำหนดไว้จึงไม่เป็นคำฟ้องที่จะลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276วรรคสองได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3829/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การละเมิดจากการปิดประกาศและโฆษณาใส่ร้ายเพื่อขัดขวางการทำประโยชน์ในที่ดิน การร่วมกันกระทำละเมิด
การกระทำเพื่อป้องกันสิทธิโดยพึ่งสถาบันของรัฐโดยสุจริตเช่น การแจ้งความร้องทุกข์ การฟ้องคดีต่อศาล จะต้องกระทำโดยสุจริต มิใช่อาศัยสถาบันของรัฐเป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้งอีกฝ่ายหนึ่ง การที่จำเลยต่อสู้หรือฟ้องคดีต่อศาลหรือแจ้งความร้องทุกข์ฝ่ายโจทก์ว่า โจทก์กับพวกบุกรุกที่ดินของจำเลยนั้นจะต้องมีมูลความจริงอยู่ว่าจำเลยน่าจะมีกรรมสิทธิ์ตามที่กล่าวอ้างจริง มิเช่นนั้นแล้วจำเลยย่อมจะต้องเสี่ยงต่อความรับผิดหากศาลพิพากษาคดีถึงที่สุดว่าจำเลยไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินตามที่กล่าวอ้าง เมื่อศาลฎีกาได้พิพากษาในคดีแพ่งเรื่องก่อนว่าจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 เป็นบริวารของห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลม. ไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาท คดีถึงที่สุด จำเลยจึงต้องรับผิดในการในการกระทำดังกล่าวของตน เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับรองกรรมสิทธิ์ของโจทก์ไว้ครบถ้วนแล้ว แม้คดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์ฎีกาจำเลยที่ 1 ลงประกาศหนังสือพิมพ์ มีข้อความกล่าวหาโจทก์ทั้งสามโดยระบุชื่อโจทก์ทั้งสามว่า "บุกรุกที่ดินของจำเลยที่ 1ถูกจำเลยที่ 1 ดำเนินคดีแพ่งและคดีอาญาและยังขู่ไม่ให้บุคคลภายนอกจับจองหรือซื้ออาคารของโจทก์ มิฉะนั้นจะถูกดำเนินคดีเช่นเดียวกัน"เช่นนี้เป็นการขัดแย้งต่อคำสั่งของศาลชั้นต้นและมีเจตนาที่จะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่โจทก์ทั้งสามทางชื่อเสียงความเชื่อถือ และธุรกิจการค้า การประกาศหนังสือพิมพ์ดังกล่าวจึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์ทั้งสามโดยชัดแจ้งอีกกรณีหนึ่ง ตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งสามได้กล่าวหาว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6ได้ร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสาม จำเลยทั้งหกร่วมกันให้การมาในคำให้การฉบับเดียวกัน ยอมรับว่าได้ร่วมกันกระทำต่อโจทก์ แต่ได้กระทำโดยสุจริต จำเลยที่ 5 จำเลยที่ 6 ไม่ได้ให้การต่อสู้ว่าไม่ได้ร่วมกระทำกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 5 จำเลยที่ 6 ไม่ได้ร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสามจึงเป็นการวินิจฉัยคดีนอกคำให้การของจำเลยที่ 5จำเลยที่ 6

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 95/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา แม้ไม่ได้ลงมือแทงโดยตรง แต่มีส่วนร่วมทำร้ายและหลบหนี
จำเลยทั้งสองทราบดีว่า ส. กับผู้ตายมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อนวันเกิดเหตุ จำเลยทั้งสองกับ ส. เดินไปพบผู้ตายกับพวก ส. ชักมีดปลายแหลมไล่แทงทำร้ายผู้ตาย จำเลยทั้งสองได้วิ่งตาม ส. เข้าไปด้วยเมื่อ ส. แทงผู้ตายแล้ว จำเลยทั้งสองได้ช่วยกันกระทืบผู้ตายซ้ำ แล้วจำเลยทั้งสองกับ ส. ก็ได้หลบหนีไปด้วยกันแสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยกับพวกที่จะร่วมกันแทงทำร้ายผู้ตายมาแต่ต้น แม้จำเลยทั้งสองจะไม่ได้แทงผู้ตาย เพียงแต่กระทืบผู้ตาย อันเป็นการทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจก็ตาม เมื่อการตายของผู้ตายเกิดจากการแทงทำร้ายของพวกจำเลยก็ย่อมถือว่าจำเลยทั้งสองเป็นตัวการในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาด้วย จำเลยทั้งสองกับพวกมาพบผู้ตายโดยบังเอิญ แล้วได้ร่วมกันทำร้ายผู้ตายทันที ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองกับพวกมีแผนการหรือไตร่ตรองไว้ก่อนในการที่จะฆ่าผู้ตาย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5043/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีพยานยืนยันเสียง และจำเลยให้การรับสารภาพ
ในระหว่างที่จำเลยที่ 1 กำลังปล้นทรัพย์ผู้เสียหายอยู่นั้น มีเสียงตะโกนจากคนร้ายอีกคนหนึ่งว่าเสร็จหรือยังอ.กับว. พยานโจทก์จำได้ว่าเป็นเสียของจำเลยที่ 2ซึ่งเป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน เสียของจำเลยที่ 3 คุ้นหู พยานจึงบอกระบุชื่อจำเลยที่ 2 ให้ผู้เสียหายทราบทันที จนกระทั่งเจ้าพนักงานตำรวจสามารถติดตามนำตัวจำเลยทั้งสองมาดำเนินคดี ประกอบกับจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพมาโดยตลอดจึงเชื่อได้ว่าจำเลยที่ 2 ร่วมเป็นคนร้ายปล้นทรัพย์ผู้เสียหาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2552/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข่มขืนใจตักแร่ - ความผิดฐานร่วมกันข่มขืนใจและเรือไม่ใช่ทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำผิด
จำเลยทั้งสามนั่งเรือไปที่แพดูดดำแร่ ซึ่งอยู่ห่างจากชายฝั่งทะเลประมาณ 1 กิโลเมตร จำเลยที่ 1 ที่ 3 ขึ้นไปบนแพดูดดำแร่ จำเลยที่ 3 ซึ่งแต่งกายและแสดงตนว่าเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ มีอาวุธปืนติดตัวมองเห็น ได้บอก ว.ให้ตักแร่ให้ ว. กับพวกกลัว ตักแร่ให้ 1 ถุง น้ำหนัก 20กิโลกรัม ราคาประมาณ 1,200 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 3 ได้ใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้ายอย่างใด การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์ แต่ตามพฤติการณ์ย่อมเห็นได้ว่าจำเลยได้อาศัยการที่จำเลยที่ 3 เป็นเจ้าพนักงานตำรวจ มีอาวุธปืนติดตัวประกอบกับที่เกิดเหตุอยู่ในท้องทะเล ไม่มีผู้ใดจะรู้เห็นหรือช่วยเหลือได้ทันถ้าขัดขืน เป็นการบังคับ ว. กับพวกอยู่ในทีแล้ว ถือได้ว่าเป็นการร่วมกันข่มขืนใจให้ ว. ต้องตักแร่ให้ โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกายและเสรีภาพของ ว. กับพวก เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 309วรรคสอง แล้ว สำหรับจำเลยที่ 2 มาด้วยกับจำเลยที่ 1 ที่ 3ขณะเกิดเหตุแม้จะนั่งอยู่ในเรือ แต่ก็อยู่ติดกับแพดูดดำแร่เห็นกันชัดเจน แสดงว่าแบ่งหน้าที่กันทำ เมื่อได้แร่แล้วก็กลับไปพร้อมกัน ถือว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 ที่ 3 ด้วย.
เรือพร้อมเครื่องยนต์ ของกลางจำเลยทั้งสามใช้เป็นยานพาหนะไปมาเท่านั้น เป็นเรื่องใช้ยานพาหนะตามปกติไม่ใช่ทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำผิดอันจะพึง ริบตามป.อ. มาตรา 33(1).
of 6