พบผลลัพธ์ทั้งหมด 32 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3145/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรังวัดสอบเขตที่ดินตามคำท้าของคู่ความต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์ หากมิได้ทำตาม จะนำแผนที่พิพาทมาวินิจฉัยคดีไม่ได้
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยปลูกสร้างบ้านและรั้วบนที่ดินสาธารณะปิดหน้าที่ดินของโจทก์ จำเลยให้การว่า บ้านและรั้วตั้งอยู่บนที่ดินที่ติดกับที่ดินของจำเลย มิได้อยู่ในเขตโฉนดที่ดินของจำเลย คู่ความท้ากัน ให้เจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดสอบเขตที่ดินของจำเลย หากได้ความว่าที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดที่ดินของจำเลยและไม่ใช่ที่สาธารณะโจทก์ยอมแพ้คดี หากที่พิพาทอยู่นอกเขตโฉนดที่ดินของจำเลยและเป็นที่สาธารณะ จำเลยยอมแพ้คดี ปรากฏว่าเจ้าพนักงานที่ดินมิได้รังวัดสอบเขตตามคำท้า แต่กลับรังวัดทำแผนที่พิพาทไปตามเขตที่ครอบครองซึ่งโจทก์จำเลยนำชี้ โดยจำเลยนำชี้ว่าที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดที่ดินของตนซึ่งนอกคำให้การดังกล่าวข้างต้น แผนที่พิพาทจึงมิได้เกิดจากการที่เจ้าพนักงานที่ดินสอบเขตที่ดินตามคำท้า ฉะนั้น แนวเขตเส้นสีแดงในแผนที่พิพาทจึงถือไม่ได้ว่าเป็นแนวเขตที่ดินตามโฉนดของจำเลย ทั้งตามหนังสือนำส่งแผนที่พิพาทของ เจ้าพนักงานที่ดินก็มีข้อความว่า ไม่สามารถระบุได้ว่าที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินสาธารณประโยชน์หรือไม่เนื่องจากผู้แทนประธานสุขาภิบาลไม่สามารถชี้เขตที่ดินสาธารณะที่แน่นอนได้ แสดงว่าไม่สามารถปฏิบัติตามคำท้าที่ว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณะหรือไม่ จึงไม่อาจนำแผนที่พิพาทมาใช้เป็นหลักฐานในการวินิจฉัยตามคำท้าได้ จะต้องดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 267/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยคดีลายมือชื่อ แม้ผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์ก็ไม่เป็นประโยชน์ หากพยานหลักฐานอื่นเพียงพอต่อการวินิจฉัย
เมื่อพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบมาพอแก่การวินิจฉัยคดีแล้วแม้ผู้เชี่ยวชาญจะตรวจลายมือชื่อจำเลยในเอกสารก็ไม่เป็นประโยชน์แก่รูปคดีของจำเลย เพราะจำเลยเบิกความรับอยู่แล้วว่าลายมือชื่อจำเลยแตกต่างกันบ้าง และตัวอย่างลายมือชื่อที่จำเลยให้ไว้แก่ธนาคารโจทก์กับตัวอย่างลายมือชื่อที่จำเลยขอให้ศาลหมายเรียกมาจากธนาคารอื่นก็ไม่เหมือนกัน แสดงว่าจำเลยเขียนลายมือชื่อหลายแบบ จึงไม่จำเป็นต้องให้พยานผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์ การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อของจำเลยไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบ.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2663/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกำหนดประเด็นข้อพิพาทและการสืบพยานให้ครบถ้วนก่อนวินิจฉัยคดี
โจทก์ฟ้องขอบังคับให้จำเลยคืนรถยนต์ที่โจทก์นำไปซ่อมท่อไอเสียแล้วหายไป หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคากับค่าเสียหาย จำเลยปฏิเสธความรับผิดว่าเพียงแต่รับจ้างทำท่อไอเสีย ไม่ได้รับฝากทรัพย์ โจทก์ประมาทเลินเล่อไม่นำรถยนต์กลับไปเอง แม้โจทก์และจำเลยจะรับกันว่าร้านรับทำท่อไอเสียของจำเลยอยู่ริมถนนซึ่งต้องทำท่อไอเสียที่ริมถนนจนเสร็จ และจอดรถยนต์รอโจทก์ทิ้งค้างคืนไว้แล้วถูกคนร้ายลักไปก็ตาม การวินิจฉัยว่าจำเลยต้องรับผิดหรือไม่ จะต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่มีอยู่ครบถ้วนตามที่คู่ความนำสืบให้ยุติเสียก่อนตามประเด็นข้อพิพาทว่า เหตุที่รถยนต์หายไปเป็นความผิดของจำเลย และจำเลยจะต้องรับผิดหรือไม่ เพียงใด เมื่อโจทก์สืบพยานได้เพียง 3 ปาก ข้อเท็จจริงที่ปรากฏยังไม่ครบถ้วนที่จะฟังเป็นยุติตามประเด็นดังกล่าวได้ที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานแล้วพิพากษาคดีไปจึงเป็นการไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1670/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยคดีโดยฝ่าฝืนพยานหลักฐาน และการนับโทษต่อจากโทษในคดีเด็กและเยาวชน
การที่โจทก์ฎีกาว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีโดยฝ่าฝืนพยานหลักฐานในสำนวนเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย ปัญหาว่าจะนำโทษของจำเลยในคดีนี้นับต่อจากโทษของจำเลยในคดีอื่นได้หรือไม่นั้นไม่มีบทบัญญัติห้ามอุทธรณ์ฎีกาจึงฎีกาได้ การที่จำเลยเคยถูกศาลคดีเด็กและเยาวชนมีคำสั่งให้ฝึกอบรมอยู่ณสถานพินิจและคุ้มครองเด็กนั้นการฝึกอบรมดังกล่าวเป็นวิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนหาใช่เป็นการลงโทษไม่แม้จำเลยจะมาทำผิดในคดีใหม่อีกก็ไม่อาจนับโทษต่อจากการฝึกอบรมได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2398/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการวินิจฉัยคดีตามข้อตกลงคู่ความ และการบังคับใช้กฎหมายเฉพาะ (พ.ร.บ.ตลาดหลักทรัพย์) เหนือประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
เดิมศาลชั้นต้นได้ชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทในคดีไว้แล้วต่อมาคู่ความทั้งสองฝ่ายแถลงว่า ขอสละประเด็นในชั้นชี้สองสถานทั้งหมด และติดใจขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมายตามคำแถลงที่ศาลชั้นต้นจดไว้นั้น ดังนี้ หมายความว่า ประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดขึ้นในชั้นชี้สองสถานคู่ความขอสละ หาได้หมายความรวมถึงข้อเท็จจริงข้อกฎหมายที่ปรากฏในคำฟ้อง คำให้การที่ไม่เป็นประเด็นแห่งคดีซึ่งโจทก์กล่าวอ้าง จำเลยมิได้ให้การปฏิเสธถือว่าจำเลยยอมรับแล้วตามกฎหมายไม่ ศาลจึงย่อมนำมารับฟังและวินิจฉัยชี้ขาดคดีได้ ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกสำนวน
เมื่อหุ้นพิพาทที่โจทก์ซื้อตามคำสั่งของจำเลยเป็น หลักทรัพย์ตามพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ.2517 ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษที่บัญญัติเพื่อกิจการนี้โดยเฉพาะจึงไม่ตกอยู่ภายใต้บังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1129
ในการวินิจฉัยคดีศาลต้องนำกฎหมายมาปรับแก่คดีให้ตรงตามรูปคดีที่พิพาทกัน ไม่จำต้องพิพากษาไปตามคำแถลงของคู่ความหรือตามความประสงค์ของคู่ความ เมื่อฟังว่าเป็นเรื่องพิพาทกันตามพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอันเป็นกฎหมายพิเศษก็จะนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาวินิจฉัยคดีหาได้ไม่ แม้จะเป็นความประสงค์ของคู่ความหรือคู่ความแถลงขอก็ตาม
เมื่อหุ้นพิพาทที่โจทก์ซื้อตามคำสั่งของจำเลยเป็น หลักทรัพย์ตามพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ.2517 ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษที่บัญญัติเพื่อกิจการนี้โดยเฉพาะจึงไม่ตกอยู่ภายใต้บังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1129
ในการวินิจฉัยคดีศาลต้องนำกฎหมายมาปรับแก่คดีให้ตรงตามรูปคดีที่พิพาทกัน ไม่จำต้องพิพากษาไปตามคำแถลงของคู่ความหรือตามความประสงค์ของคู่ความ เมื่อฟังว่าเป็นเรื่องพิพาทกันตามพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอันเป็นกฎหมายพิเศษก็จะนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาวินิจฉัยคดีหาได้ไม่ แม้จะเป็นความประสงค์ของคู่ความหรือคู่ความแถลงขอก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2398/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสละประเด็นในชั้นชี้สองสถาน การวินิจฉัยตามกฎหมายพิเศษ (พ.ร.บ.ตลาดหลักทรัพย์) และการนำข้อเท็จจริงที่ยอมรับมาใช้ในการตัดสิน
เดิมศาลชั้นต้นได้ชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทในคดีไว้ แล้ว ต่อมาคู่ความทั้งสองฝ่ายแถลงว่า ขอสละประเด็นในชั้นชี้สองสถานทั้งหมด และติดใจขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมายตามคำแถลงที่ศาลชั้นต้นจดไว้นั้นดังนี้หมายความว่า ประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดขึ้นในชั้นชี้สองสถาน คู่ความขอสละ หาได้หมายความรวมถึงข้อเท็จจริงข้อกฎหมายที่ปรากฏในคำฟ้อง คำให้การที่ไม่เป็นประเด็นแห่งคดีซึ่งโจทก์กล่าวอ้าง จำเลยมิได้ให้การปฏิเสธถือว่าจำเลยยอมรับแล้วตามกฎหมายไม่ ศาลจึงย่อมนำมารับฟังและวินิจฉัยชี้ขาดคดีได้ ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกสำนวน เมื่อหุ้นพิพาทที่โจทก์ซื้อตามคำสั่งของจำเลยเป็น หลักทรัพย์ตามพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ.2517ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษที่บัญญัติเพื่อกิจการนี้โดยเฉพาะจึงไม่ตกอยู่ภายใต้บังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1129 ในการวินิจฉัยคดีศาลต้องนำกฎหมายมาปรับแก่คดีให้ตรงตามรูปคดีที่พิพาทกันไม่จำต้องพิพากษาไปตามคำแถลงของคู่ความหรือตามความประสงค์ของคู่ความ เมื่อฟังว่าเป็นเรื่องพิพาทกันตามพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอันเป็นกฎหมายพิเศษ ก็จะนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาวินิจฉัยคดีหาได้ไม่ แม้จะเป็นความประสงค์ของคู่ความหรือคู่ความแถลงขอก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1885/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการวินิจฉัยคดีในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง และการรับพยานหลักฐานจำเลย
ในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ศาลวินิจฉัยว่าการกระทำไม่เป็นความผิด ก็คือคดีไม่มีมูล ศาลไต่สวนพยานโจทก์ จำเลยส่งเอกสารให้พยานโจทก์รับรองในการซักค้านได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1733/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนกรรมสิทธิ์แผงลอยให้เทศบาล และอำนาจศาลอุทธรณ์ในการวินิจฉัยคดี
ในเรื่องแผงลอยเป็นของเทศบาลหรือไม่และโจทก์เสียหายหรือไม่นั้น ได้เป็นประเด็นในคดีซึ่งทั้งโจทก์จำเลยได้นำสืบเสร็จสำนวนมาแล้ว ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจที่จะวินิจฉัยพิพากษาให้เสร็จไปได้โดยไม่จำเป็นต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่.
(อ้างฎีกาที่ 144/2492)
ร้านแผงลอยเป็นสังหาริมทรัพย์
จำเลยอ้างพยานเอกสารไว้ด้วยในการประกอบข้อต่อสู้ที่ว่าโจทก์ได้ยกร้านแผงลอยซึ่งเป็นสังหาริมทรัพย์ ให้เทศบาลแล้ว แต่เมื่อจำเลยเพียงนำพยานบุคคลมาสืบก็รับฟังได้เช่นนี้แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องนำพยานเอกสารเช่นว่านั้นมาสืบ
(อ้างฎีกาที่ 144/2492)
ร้านแผงลอยเป็นสังหาริมทรัพย์
จำเลยอ้างพยานเอกสารไว้ด้วยในการประกอบข้อต่อสู้ที่ว่าโจทก์ได้ยกร้านแผงลอยซึ่งเป็นสังหาริมทรัพย์ ให้เทศบาลแล้ว แต่เมื่อจำเลยเพียงนำพยานบุคคลมาสืบก็รับฟังได้เช่นนี้แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องนำพยานเอกสารเช่นว่านั้นมาสืบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 660/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยคดีมรดกโดยอาศัยคำพิพากษาเดิมที่ผูกมัดคู่ความ และการไม่ถือว่าเป็นฟ้องซ้ำ
โจทก์จำเลยพิพาทกันเรื่องมรดกที่ดินต่างอ้างถึงสำนวนคดีแดงอีกเรื่องหนึ่งเมื่อศาลเห็นว่าตามคำฟ้องคำให้การประกอบกับสำนวนเรื่องนั้นก็พอวินิจฉัยคดีได้ แล้ว ศาลก็อาจงดสืบพยานเสียแล้วนำสำนวนคดีนั้นมาวินิจฉัยประกอบได้เองโดยโจทก์จำเลยไม่ต้องขอระบุอ้าง
คดีก่อนโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทคำพิพากษาถึงที่สุดวินิจฉัยว่าที่พิพาทโจทก์จำเลยมีกรรมสิทธิและปกครองร่วมกัน ข้อเท็จจริงอันนี้ย่อมผูกมัดโจทก์จำเลยในคดีนี้ซึ่งเป็นคู่ความเดียวกันด้วย และคดีหลังนี้โจทก์ฟ้องขอแบ่งที่พิพาทเป็นคนละประเด็นไม่เป็นฟ้องซ้ำ
คดีก่อนโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทคำพิพากษาถึงที่สุดวินิจฉัยว่าที่พิพาทโจทก์จำเลยมีกรรมสิทธิและปกครองร่วมกัน ข้อเท็จจริงอันนี้ย่อมผูกมัดโจทก์จำเลยในคดีนี้ซึ่งเป็นคู่ความเดียวกันด้วย และคดีหลังนี้โจทก์ฟ้องขอแบ่งที่พิพาทเป็นคนละประเด็นไม่เป็นฟ้องซ้ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 701/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการงดสืบพยานเมื่อมีหลักฐานเพียงพอ และการวินิจฉัยคดีโดยไม่ต้องย้อนสำนวน
เมื่อศาลเห็นว่าข้อที่คู่ความประสงค์จะนำสืบไม่เป็นประโยชน์ต่อคดีศาลย่อมมีอำนาจที่จะงดสืบพยานนั้นเสียได้และเมื่อเห็นว่าพยานหลักฐานเท่าที่มีอยู่พอเพียงจะเชื่อฟังเป็นยุติได้แล้วก็พิพากษาคดีนั้นได้ ไม่จำต้องสืบพยานต่อไปตามที่คู่ความขออีก
ศาลชั้นต้นสอบถามคู่ความแล้วงดสืบพยานแล้วพิพากษาคดีไปศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาคดีเสียใหม่โดยยังไม่ได้วินิจฉัยข้อพิพาทในคดีนั้นเมื่อศาลฎีกาเห็นว่าคดีมีหลักฐานพอที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยได้แล้วก็ไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอีก
ศาลชั้นต้นสอบถามคู่ความแล้วงดสืบพยานแล้วพิพากษาคดีไปศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาคดีเสียใหม่โดยยังไม่ได้วินิจฉัยข้อพิพาทในคดีนั้นเมื่อศาลฎีกาเห็นว่าคดีมีหลักฐานพอที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยได้แล้วก็ไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอีก