พบผลลัพธ์ทั้งหมด 18 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2797/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีอาญาต่อห้างหุ้นส่วนจำกัด ต้องมีหุ้นส่วนผู้จัดการเป็นผู้แทน หากไม่มีตัวแทนเมื่อฟ้องคดี ศาลรับฟ้องไม่ได้
การฟ้องคดีอาญาต่อห้างหุ้นส่วนจำกัดซึ่งเป็นนิติบุคคลจะต้องมีหุ้นส่วนผู้จัดการซึ่งเป็นผู้แทนห้างหุ้นส่วนจำกัดจึงจะดำเนินคดีได้ถ้าหุ้นส่วนผู้จัดการไปต่างประเทศไม่อยู่ในขณะฟ้องต้องถือว่าห้างหุ้นส่วนจำกัดไม่มีตัวอยู่อย่างสมบูรณ์ตามกฎหมายและต้องถือว่าไม่มีตัวจำเลยมาศาลในวันฟ้องศาลรับฟ้องไม่ได้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา165 ห้างจำเลยทำหนังสือมอบอำนาจให้ร.มีอำนาจแทนในการติดต่อกับพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติแร่พ.ศ.2510ในกิจการเช่นสำรวจแร่ทำเหมืองฯลฯและปฏิบัติตามพระราชบัญญัติควบคุมแร่พ.ศ.2514ดังนี้ห้างจำเลยมิได้มอบอำนาจให้ร.ดำเนินคดีแทนจำเลยทั้งการมอบอำนาจให้ร.เป็นเวลาภายหลังจากห้างจำเลยได้กระทำความผิดอาญาแล้วพนักงานสอบสวนจึงไม่มีอำนาจสอบสวนร.ในฐานะเป็นตัวแทนจำเลยโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องโดยอาศัยการมอบอำนาจตามใบมอบอำนาจดังกล่าวการดำเนินคดีนี้ของร.จึงไม่ผูกพันห้างจำเลยและคำพิพากษาก็ไม่ผูกพันห้างจำเลยโจทก์จึงไม่อาจยึดทรัพย์ของห้างจำเลยมาชำระค่าปรับตามคำพิพากษาได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3035/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งเรื่องกรรมสิทธิ์ในที่ดินเมื่อมีการโต้แย้งสิทธิครอบครองปรปักษ์ ศาลรับฟ้องแย้งได้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกได้ร่วมกันล้อมรั้วตามคันสวนซึ่งจำเลยทำรุกล้ำเข้ามาในที่ดินมีโฉนดของโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทำลายคันสวนและรื้อรั้วออกไป จำเลยให้การว่าได้ครอบครองที่พิพาทโดยสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลา 20 ปีเศษ จึงได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ และฟ้องแย้งขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย คดีจึงมีข้อพิพาทว่าโจทก์หรือจำเลยเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยแท้จริงหากฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะฟ้องแย้งขอให้ศาลพิพากษาแสดงกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้แก่จำเลยได้ ฟ้องแย้งของจำเลยจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมโดยตรง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1542/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องแย่งกรรมสิทธิ์ทางเข้าออกที่ดิน: ศาลรับฟ้องเมื่อมีแผนที่แสดงที่ดินถูกล้อมจนไม่มีทางออก
แผนที่สังเขปท้ายฟ้องเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง และปรากฏแจ้งชัดจากแผนที่ดังกล่าวว่าที่ดินของโจทก์ถูกที่ดินแปลงอื่นรวมทั้งที่ดินของจำเลยล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ เมื่อพิจารณาประกอบคำฟ้องแล้ว เห็นได้ว่าโจทก์เสนอสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา 2 ประการคือ ทางพิพาทเป็นทางภารจำยอม เพราะมีผู้ใช้เข้าออกสู่ทางสาธารณะนานถึง 50 ปีแล้วประการหนึ่ง และทางพิพาทเป็นทางจำเป็นเพราะที่ดินของโจทก์ถูกที่ดินแปลงอื่นล้อมจนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้อีกประการหนึ่ง ฟ้องของโจทก์จึงถูกต้องตามกฎหมาย ศาลซึ่งตรวจคำฟ้องชอบที่จะรับคำฟ้องไว้พิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3528/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีซ้ำซ้อน: การฟ้องคดีหมิ่นประมาทในประเด็นเดียวกันกับที่ศาลอื่นรับไว้แล้ว ทำให้ฟ้องต้องห้าม
โจทก์เคยฟ้องจำเลยต่อศาลแขวงพระนครเหนือว่าจำเลยโฆษณาข้อความหมิ่นประมาทโจทก์ในหนังสือพิมพ์รายวันศาลแขวงพระนครเหนือได้ไต่สวนมูลฟ้องและมีคำสั่งให้ประทับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาแล้ว ต่อมาโจทก์ได้ฟ้องจำเลยต่อศาลแขวงเชียงใหม่ในเหตุอย่างเดียวกันอีกวันกระทำผิดและสถานที่เกิดเหตุก็ตรงกัน คำฟ้องของโจทก์ในคดีนี้จึงเป็นเรื่องเดียวกันกับที่ได้ยื่นฟ้องไว้แล้วต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 173(1) ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 321/2490 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องแย้งต้องมีสิทธิเรียกร้องชัดเจน การปฏิเสธภาระจำยอมไม่อาจฟ้องแย้งขอให้หลุดพ้นได้
การฟ้องหรือฟ้องแย้ง ผู้ฟ้องจะต้องแสดงว่า ตนมีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิ์หรือหน้าที่หรือมีข้อเท็จจริงที่จะใช้สิทธิ์ทางศาลได้ หากเสนอขึ้นมาโดยกล่าวว่าไม่มีกรณีเช่นว่านั้นและว่าถ้าหากศาลเห็นว่ามี ก็พิพากษาให้ตนชนะดังนี้ ไม่เป็นฟ้องที่ควรรับไว้พิจารณา
โจทก์ฟ้องขอให้เปิดภาระจำยอม จำเลยต่อสู้ว่าไม่มีภาระจำยอม และฟ้องแย้งว่าหากศาลฟังว่ามี ก็ขอให้ปลดภาระจำยอม โดยให้โจทก์ได้ค่าทดแทน ดังนี้ศาลไม่รับฟ้องแย้ง
โจทก์ฟ้องขอให้เปิดภาระจำยอม จำเลยต่อสู้ว่าไม่มีภาระจำยอม และฟ้องแย้งว่าหากศาลฟังว่ามี ก็ขอให้ปลดภาระจำยอม โดยให้โจทก์ได้ค่าทดแทน ดังนี้ศาลไม่รับฟ้องแย้ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11683-11703/2553
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเรียกร้องค่าจ้างและค่าชดเชยจากคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน: ศาลรับฟ้องได้แม้ยังไม่ถึงที่สุด
พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 125 บัญญัติให้นายจ้าง ลูกจ้าง ซึ่งไม่พอใจคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน ตามมาตรา 124 นำคดีไปสู่ศาลภายในสามสิบวันนับแต่วันทราบคำสั่ง หาได้บัญญัติให้ลูกจ้างต้องรอจนกว่าคำสั่งเป็นที่สุดแล้วจึงจะฟ้องเรียกเงินตามคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงานได้
เมื่อตามบัญชีค่าจ้างและค่าชดเชยตามคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงานสั่งให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 จ่ายค่าจ้างและค่าชดเชยให้โจทก์ที่ 2 น้อยกว่าคำขอท้ายฟ้อง โจทก์ที่ 2 ย่อมไม่อาจได้รับค่าจ้างและค่าชดเชยเกินกว่าคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงาน จึงเห็นควรกำหนดจำนวนค่าจ้างและค่าชดเชยที่โจทก์แต่ละสำนวนมีสิทธิได้รับตามคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงานให้ชัดเจน
แม้โจทก์แต่ละสำนวนมิได้มีคำขอให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 รับผิดร่วมกัน แต่ก็บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดของจำเลยที่ 1 ซึ่งต้องรับผิดร่วมกันในบรรดาหนี้ของห้างหุ้นส่วนโดยไม่จำกัดจำนวน เพื่อความเป็นธรรมจึงเห็นสมควรวินิจฉัยให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 รับผิดร่วมกัน
เมื่อตามบัญชีค่าจ้างและค่าชดเชยตามคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงานสั่งให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 จ่ายค่าจ้างและค่าชดเชยให้โจทก์ที่ 2 น้อยกว่าคำขอท้ายฟ้อง โจทก์ที่ 2 ย่อมไม่อาจได้รับค่าจ้างและค่าชดเชยเกินกว่าคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงาน จึงเห็นควรกำหนดจำนวนค่าจ้างและค่าชดเชยที่โจทก์แต่ละสำนวนมีสิทธิได้รับตามคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงานให้ชัดเจน
แม้โจทก์แต่ละสำนวนมิได้มีคำขอให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 รับผิดร่วมกัน แต่ก็บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดของจำเลยที่ 1 ซึ่งต้องรับผิดร่วมกันในบรรดาหนี้ของห้างหุ้นส่วนโดยไม่จำกัดจำนวน เพื่อความเป็นธรรมจึงเห็นสมควรวินิจฉัยให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 รับผิดร่วมกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7667/2551
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการขอคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราวก่อนพิพากษาจำกัดเฉพาะคู่ความที่ศาลรับฟ้องแล้ว
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านเข้ามาเป็นคู่ความเพื่อต่อสู้คดีกับผู้ร้องศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำคัดค้านซึ่งมีผลเป็นการไม่อนุญาตให้ผู้คัดค้านเข้ามาเป็นคู่ความ แม้ผู้คัดค้านได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับคำคัดค้านดังกล่าว แต่ศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้น ดังนั้นในขณะยื่นคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 ผู้คัดค้านมิใช่คู่ความ จึงไม่มีสิทธิขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองประโยชน์ตามบทบัญญัติดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6996-6997/2550 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งค่าอุปการะเลี้ยงดูในคดีจดทะเบียนบุตรชอบด้วยกฎหมาย ศาลรับฟ้องแย้งและให้ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่
คำฟ้องของโจทก์มีคำขอท้ายฟ้อง 2 ประการ คือ ขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์จดทะเบียนรับเด็กหญิง ญ. จำเลยที่ 2 เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ และขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์มีอำนาจปกครอง อุปการะเลี้ยงดูจำเลยที่ 2 ดังนี้ การที่จำเลยทั้งสองฟ้องแย้งขอให้โจทก์จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูจำเลยที่ 2 จึงเป็นข้อโต้แย้งเกี่ยวเนื่องจากคำขอท้ายฟ้องของโจทก์นั่งเอง สมควรที่จะได้วินิจฉัยให้เสร็จไปในคราวเดียวกันไม่เยิ่นเย้อที่จะต้องรอให้คดีที่โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์จนคำพิพากษาถึงที่สุดเสียชั้นหนึ่งก่อนแล้วจึงจะมาฟ้องขอเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูอีกในภายหลัง กรณีถือได้ว่าฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสาม