พบผลลัพธ์ทั้งหมด 93 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6240/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องผิดฐานปล้นทรัพย์แต่มีพฤติการณ์ทำร้ายร่างกาย ศาลลงโทษฐานทำร้ายร่างกายได้
จำเลยที่ 1 และที่ 4 ได้ร่วมกันทำร้ายโจทก์ร่วมจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย แม้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 4 ฐานปล้นทรัพย์แต่โจทก์บรรยายฟ้องด้วยว่า จำเลยได้ร่วมกันทำร้ายโจทก์ร่วมจนได้รับอันตรายแก่กายซึ่งความผิดฐานปล้นทรัพย์คือการชิงทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายรวมอยู่ด้วย ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 4 ในความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายได้ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 192 วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6240/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
แม้ฟ้องฐานปล้นทรัพย์ แต่ศาลลงโทษฐานทำร้ายร่างกายได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
จำเลยที่ 1 และที่ 4 ได้ร่วมกันทำร้ายโจทก์ร่วมจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย แม้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 4 ฐานปล้นทรัพย์แต่โจทก์บรรยายฟ้องด้วยว่า จำเลยได้ร่วมกันทำร้ายโจทก์ร่วมจนได้รับอันตรายแก่กายซึ่งความผิดฐานปล้นทรัพย์คือการชิงทรัพย์โดยการใช้กำลังประทุษร้ายรวมอยู่ด้วย ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 4 ในความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2429/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดเกี่ยวเนื่องกัน บุกรุก-ทำให้เสียทรัพย์: โจทก์มีอำนาจฟ้องได้ ศาลลงโทษได้
เมื่อข้อเท็จจริงในคดีปรากฏว่า ข้อหาความผิดฐานบุกรุกกับข้อหาความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์เป็นความผิดที่เกี่ยวเนื่องกัน และเป็นการกระทำกรรมเดียวกัน การที่ได้ร้องทุกข์ในข้อหาความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์แล้วก็เท่ากับได้ร้องทุกข์ในข้อหาความผิดฐานบุกรุกด้วย เมื่อมีการสอบสวนในความผิดทั้งสองข้อหานี้แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องทั้งสองข้อหา และศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยในข้อหาความผิดฐานบุกรุกได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3773/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
รับของโจร: แม้ข้อหาต่างจากฟ้อง แต่จำเลยไม่ต่อสู้ ศาลลงโทษฐานรับของโจรได้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ แต่ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยกระทำความผิดฐานรับของโจร ข้อแตกต่างดังกล่าวมิใช่ข้อสาระสำคัญเมื่อจำเลยมิได้หลงต่อสู้ จึงลงโทษจำเลยฐานรับของโจรได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1408/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบุกรุกเคหสถานและข่มขู่ด้วยอาวุธ: ศาลลงโทษจำเลยฐานบุกรุกแม้โจทก์ไม่ได้ขอโทษฐานนี้
การที่จำเลยทั้งสองเข้าไปบ้านผู้เสียหายในเวลากลางคืนโดยจำเลยที่ 1 ถือพร้ายืนคุมเชิงอยู่ที่บันไดบ้าน และจำเลยที่ 2ใช้มีดกดคอและใช้ปืนจี้ศีรษะผู้เสียหายแล้วขู่ว่าจะยิงหากขัดขืนจะถือเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้เสียหายยังไม่ได้ จำเลยทั้งสองไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362แต่การกระทำดังกล่าวเป็นการเข้าไปในเคหสถานของผู้อื่นโดยไม่มีเหตุอันควร ตามมาตรา 364 แม้โจทก์ไม่ได้ขอให้ลงโทษตามมาตราดังกล่าวมาด้วย แต่ฟ้องโจทก์บรรยายว่าจำเลยทั้งสองเข้าไปในเคหสถานของผู้อื่นโดยไม่มีเหตุอันสมควร ดังนี้ ศาลจึงมีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองตามมาตรา 365 ประกอบมาตรา 364 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคห้าได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1329/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย: ศาลลงโทษฐานฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนา แม้ฟ้องอ้างฐานเจตนา
โจทก์ บรรยายฟ้อง ว่า จำเลย กับพวก อีกหลายคน ได้ บังอาจร่วมกัน ใช้ กำลังประทุษร้าย ต่อย เตะ ศ. ผู้ตาย จน ล้ม ลงแล้ว จำเลย กับพวก ช่วยกัน จับ ยึด แขน ผู้ตาย ทั้งสอง ข้าง ไว้เพื่อ มิให้ ผู้ตาย ปัดป้อง ขัดขืน แล้ว จำเลย กับพวก ใช้ เท้า กระทืบผู้ตาย จน ได้รับ บาดเจ็บ ม้าม แตก ลำไส้เล็ก ฉีก ขาด กะบังลมซ้ายช้ำ มี โลหิต ตก ใน ช่องท้อง ผู้ตาย ถึงแก่ความตาย เพราะ พิษบาดแผล ที่ จำเลย กับพวก ร่วมกัน ทำร้าย สม ดัง เจตนา ของ จำเลย กับพวก การ ที่ โจทก์ บรรยายฟ้อง ดังกล่าว มี การ ระบุ การกระทำ ของ จำเลย แล้ว ต่อมา ฟ้อง กล่าว ต่อไป ว่า ศ. ผู้ ถูก ทำร้าย ถึงแก่ความตาย สม ดัง เจตนา ของ จำเลย ทั้ง ท้ายคำฟ้อง ของ โจทก์ ได้ อ้าง มาตรา 288 แห่ง ประมวลกฎหมายอาญา จึง เป็น คำฟ้อง ที่ ชอบ ด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 หา จำเป็น ต้องกล่าว ซ้ำ ว่า โดย จำเลย มี เจตนา ฆ่า ผู้อื่น อีก ใน คำฟ้อง ตอนต้น ของ โจทก์ ไม่ เพราะ คำว่า ศ. ผู้ตาย สม ดัง เจตนา ของ จำเลย นั้นย่อม แปล ได้ แล้ว ว่า จำเลย มี เจตนา ฆ่า ผู้ตาย นั่น เอง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 ถึงแม้โจทก์จะอ้างมาตรา 288 แต่ไม่ได้อ้างมาตรา 290 ด้วยก็ตาม กรณีเป็นเรื่องข้อเท็จจริงตามฟ้องนั้นโจทก์สืบสม แต่โจทก์อ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิด ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยตามฐานความผิดที่ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคห้า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3999/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพยายามฆ่า vs. ทำร้ายร่างกาย: ศาลลงโทษตามความผิดที่รวมอยู่ด้วยได้
บันทึกการจับกุมที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจลงชื่อ 16 คน แม้ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ลงชื่อในบันทึกการจับกุมทั้งหมดจะไปร่วมจับกุมด้วยหรือไม่แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 คน ร่วมทำการจับคนร้ายจริง แม้บันทึกบางส่วนจะไม่เป็นจริง ก็ไม่ทำให้พยานหลักฐานโจทก์เสียไป
จำเลยเข้าแย่งกระเป๋าจากผู้เสียหาย นาย อ.ซึ่งนั่งติดกับผู้เสียหายได้ช่วยเหลือผู้เสียหาย ในขณะที่มีการแย่งกระเป๋ากันอยู่ จำเลยก็อยู่ใกล้นาย อ.ทั้งมือจำเลยก็ไม่มีอะไรขัดขวางไม่ให้เคลื่อนไหว จำเลยย่อมมีโอกาสยิง นาย อ.ตรงส่วนใดของร่างกายก็ได้ การที่จำเลยยิงที่มือนาย อ.เป็นพฤติการณ์ที่แสดงว่าประสงค์จะให้นาย อ.ปล่อยกระเป๋า มิใช่ประสงค์จะฆ่านาย อ. จำเลยจึงมีความผิดตาม ป.อ.มาตรา 296 เท่านั้น
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 289, 339, 340 ตรีทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายตาม ป.อ.มาตรา 296ซึ่งเป็นความผิดที่รวมอยู่ในการกระทำข้อหาพยายามฆ่า ศาลมีอำนาจลงโทษตามความผิดฐานทำร้ายร่างกายได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย
จำเลยเข้าแย่งกระเป๋าจากผู้เสียหาย นาย อ.ซึ่งนั่งติดกับผู้เสียหายได้ช่วยเหลือผู้เสียหาย ในขณะที่มีการแย่งกระเป๋ากันอยู่ จำเลยก็อยู่ใกล้นาย อ.ทั้งมือจำเลยก็ไม่มีอะไรขัดขวางไม่ให้เคลื่อนไหว จำเลยย่อมมีโอกาสยิง นาย อ.ตรงส่วนใดของร่างกายก็ได้ การที่จำเลยยิงที่มือนาย อ.เป็นพฤติการณ์ที่แสดงว่าประสงค์จะให้นาย อ.ปล่อยกระเป๋า มิใช่ประสงค์จะฆ่านาย อ. จำเลยจึงมีความผิดตาม ป.อ.มาตรา 296 เท่านั้น
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 289, 339, 340 ตรีทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายตาม ป.อ.มาตรา 296ซึ่งเป็นความผิดที่รวมอยู่ในการกระทำข้อหาพยายามฆ่า ศาลมีอำนาจลงโทษตามความผิดฐานทำร้ายร่างกายได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1043/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
รับของโจร แม้ฟ้องฐานปล้นทรัพย์ ศาลลงโทษฐานรับของโจรได้ หากข้อเท็จจริงไม่แตกต่างในสาระสำคัญ
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานปล้นทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 กระทำผิดฐานรับของโจรตามมาตรา 357 ไม่ถือว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้องในสาระสำคัญอันจะเป็นเหตุให้ศาลยกฟ้อง เมื่อจำเลยมิได้หลงต่อสู้ ศาลมีอำนาจลงโทษฐานรับของโจรได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 772/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานบุกรุกเคหสถานควบคู่กับการลักทรัพย์ ศาลลงโทษฐานบุกรุกได้ แม้ฟ้องฐานลักทรัพย์
โจทก์กล่าวในฟ้องว่า จำเลยลักทรัพย์ของผู้เสียหายในเคหสถานในเวลากลางคืนโดยเข้าทางช่องทางซึ่งทำขึ้นโดยไม่ได้จำนงให้เป็นทางคนเข้าโดยไม่ได้รับอนุญาตอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(1)(4)(8) การเข้าไปในเคหสถานโดยไม่ได้รับอนุญาตถือได้ว่าเป็นการเข้าไปในเคหสถานโดยไม่มีเหตุอันสมควรนั่นเองความผิดฐานลักทรัพย์ในเคหสถานจึงเป็นความผิดที่รวมการกระทำผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 364 อยู่ด้วยในตัว แม้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ในเคหสถานในเวลากลางคืน แต่เมื่อข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยกระทำผิดฐานบุกรุกในเวลากลางคืน จึงไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยฐานบุกรุกในเวลากลางคืน ดังนั้น ศาลลงโทษจำเลยฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365(3) ประกอบมาตรา 364 ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5494/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีอาญา พิจารณาจากอัตราโทษของความผิดที่ศาลลงโทษ แม้ฟ้องตามข้อหาอื่น
อายุความฟ้องคดีอาญาตาม ป.อ. มาตรา 95 ต้องถือตามอัตราโทษของความผิดที่พิจารณาได้ความ เมื่อได้ความเป็นยุติว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 390 ซึ่งมีอายุความฟ้องภายใน 1 ปี ตามมาตรา 95(5) และปรากฏว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้เกิน1 ปี นับแต่วันกระทำผิด ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ.