พบผลลัพธ์ทั้งหมด 50 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5343/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม: ความผิดอาวุธปืนและฆ่าผู้อื่น ศาลไม่รับวินิจฉัยข้อเท็จจริงบางส่วน
ความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของผู้อื่นโดยไม่ได้รับใบอนุญาตนั้นศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เฉพาะโทษเป็นให้จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 2 ปี ส่วนความผิดฐานพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 2 ปี ดังนั้น ความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ทั้งสองข้อหาดังกล่าวจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ส่วนความผิดฐานร่วมกับพวกฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดหรือไม่นั้น เป็นการวินิจฉัยโดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 วรรคสอง มิได้วินิจฉัยเพราะจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดหรือไม่จึงเป็นอันถึงที่สุดตามบทกฎหมายดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1076/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญากู้ที่ผูกพันตามข้อตกลงเดิม แม้มีข้ออ้างเรื่องนิติกรรมอำพราง ศาลไม่รับวินิจฉัยประเด็นใหม่
เมื่อคำให้การจำเลยแปลความได้ว่า จำเลยยอมรับว่าได้ตกลงกู้เงินจากโจทก์และหลังจากทำสัญญากู้แล้ว จำเลยได้รับเงินจากโจทก์จนครบและเกินจำนวนที่กำหนดไว้ในสัญญากู้ จึงถือได้ว่าเป็นกรณีที่โจทก์จำเลยตกลงผูกพันกันตามสัญญากู้ดังกล่าว สัญญากู้จึงมิใช่นิติกรรมอำพรางการยืมเงินทดรองเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการทำไร่อ้อยที่จำเลยจะนำสืบพยานบุคคลหักล้างได้
คดีมีประเด็นพิพาทเพียงว่า จำเลยยืมเงินไปจากโจทก์ตามฟ้องหรือไม่เท่านั้น หาได้มีประเด็นพิพาทว่า จำเลยได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์แล้วหรือไม่แต่อย่างใด ฎีกาของจำเลยที่ว่าสัญญากู้เป็นเอกสารที่ทำขึ้นเพื่ออำพรางนิติกรรมที่แท้จริงคือยืมเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการทำไร่อ้อยสัญญากู้จึงเป็นโมฆะ ดังนั้นการนำสืบหักล้างเรื่องการชำระหนี้ จึงกระทำด้วยเอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.3 และจ.3 ได้เพราะต้องถือตามสัญญาหรือข้อตกลงที่แท้จริงมิได้ถือเอาตามสัญญากู้นั้น จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 249 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คดีมีประเด็นพิพาทเพียงว่า จำเลยยืมเงินไปจากโจทก์ตามฟ้องหรือไม่เท่านั้น หาได้มีประเด็นพิพาทว่า จำเลยได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์แล้วหรือไม่แต่อย่างใด ฎีกาของจำเลยที่ว่าสัญญากู้เป็นเอกสารที่ทำขึ้นเพื่ออำพรางนิติกรรมที่แท้จริงคือยืมเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการทำไร่อ้อยสัญญากู้จึงเป็นโมฆะ ดังนั้นการนำสืบหักล้างเรื่องการชำระหนี้ จึงกระทำด้วยเอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.3 และจ.3 ได้เพราะต้องถือตามสัญญาหรือข้อตกลงที่แท้จริงมิได้ถือเอาตามสัญญากู้นั้น จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 249 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 842/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องรุกปาดครองและการยกเหตุที่ดินสาธารณสมบัติ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเหตุใหม่ในชั้นฎีกา
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 426จำเลยได้เข้ามาปลูกบ้านอยู่อาศัยในที่ดินแปลงดังกล่าวเนื้อที่ 107.51 ตารางวาโดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ ดังนี้ เมื่อตามภาพถ่ายแผนที่พิพาทท้ายฟ้องได้แสดงถึงที่ตั้งของที่ดินไว้แล้ว ส่วนจำเลยเข้ามาอยู่ในที่ดินพิพาทเมื่อใด ทิศไหนกว้างยาวเท่าใด และติดกับที่ดินผู้ใดนั้นเป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้ ฟ้องโจทก์จึงหาเคลือบคลุมไม่
จำเลยฎีกาว่า ที่พิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน การจำหน่ายจ่ายโอนจะต้องทำตามกฎหมายจะทำโดยพลการไม่ได้นั้นเป็นคนละเรื่องกับหนังสือมอบอำนาจชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ทั้งจำเลยมิได้ต่อสู้ไว้ในคำให้การเพิ่งยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นฎีกา และไม่ใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
จำเลยฎีกาว่า ที่พิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน การจำหน่ายจ่ายโอนจะต้องทำตามกฎหมายจะทำโดยพลการไม่ได้นั้นเป็นคนละเรื่องกับหนังสือมอบอำนาจชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ทั้งจำเลยมิได้ต่อสู้ไว้ในคำให้การเพิ่งยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นฎีกา และไม่ใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 833/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีมีทุนทรัพย์เกิน 2 แสนบาทฎีกาขัดแย้งข้อเท็จจริง ศาลไม่รับวินิจฉัย
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนดโจทก์ขุดร่องน้ำพิพาทซึ่งอยู่ในเขตโฉนดเพื่อรับน้ำจากคลองสาธารณมาใช้ประโยชน์ต่อมาจำเลยทั้งสองทำทำนบกั้นร่องน้ำดังกล่าวขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนทำนบออกไปจำเลยทั้งสองให้การว่าจำเลยทั้งสองใช้ร่องน้ำพิพาทติดต่อกันไม่น้อยกว่า40ปีจึงได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ดังนี้แม้ คำขอท้ายฟ้องจะขอให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนทำนบที่ปิดกั้นร่องน้ำซึ่งเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์ที่ไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้แต่เมื่อจำเลยให้การต่อสู้อ้างกรรมสิทธิ์จึงเป็น คดีมีทุนทรัพย์ คำขอบังคับของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นผลต่อเนื่องมาจากประเด็นข้อพิพาทว่าคูน้ำพิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5626/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากราคาทรัพย์สินพิพาทต่ำกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด แม้ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกา
ในคดีฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาท จำเลยให้การต่อสู้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย อันเป็นการเถียงสิทธิครอบครอง เป็นคดีมีทุนทรัพย์ การพิจารณาว่าคดีจะต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงหรือไม่ ต้องถือตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248วรรคหนึ่ง เมื่อที่ดินพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นฎีกามีราคาไม่เกินสองแสนบาท คดีย่อมต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามมาตรา 248 วรรคหนึ่ง โดยไม่มีข้อที่ต้องพิจารณาว่าที่ดินดังกล่าวอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาทหรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1456/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองที่ดิน - การรบกวนการครอบครอง - ข้อจำกัดตาม พ.ร.บ.จัดที่ดินเพื่อการเกษตร - ศาลไม่รับวินิจฉัยประเด็นใหม่
ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า น.สละการครอบครองและจำเลยทั้งสองเข้าครอบครองที่พิพาทโดยเจตนายึดถือเพื่อตน จำเลยทั้งสองได้สิทธิครอบ-ครองแล้วนั้น ฎีกาประเด็นดังกล่าวจำเลยไม่ได้ต่อสู้ไว้ในคำให้การ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา249 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
แม้การได้มาซึ่งสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์จะตกอยู่ในบังคับตามเงื่อนไขห้ามโอนตามที่ระบุไว้ใน พ.ร.บ.จัดที่ดินเพื่อการเกษตร พ.ศ.2511ก็ตาม โจทก์คงมีสิทธิยึดถือครอบครองที่ดินดังกล่าวได้ ส่วนจะได้กรรมสิทธิหรือไม่เพียง-ใดเป็นเรื่องระหว่างรัฐกับโจทก์ แต่ราษฎรด้วยกัน โจทก์ย่อมมีสิทธิขอให้ปลดเปลื้องการรบกวนการครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1374 ได้ เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ยอมออกจากที่ดินพิพาทอันเป็นการรบกวนสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
แม้การได้มาซึ่งสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์จะตกอยู่ในบังคับตามเงื่อนไขห้ามโอนตามที่ระบุไว้ใน พ.ร.บ.จัดที่ดินเพื่อการเกษตร พ.ศ.2511ก็ตาม โจทก์คงมีสิทธิยึดถือครอบครองที่ดินดังกล่าวได้ ส่วนจะได้กรรมสิทธิหรือไม่เพียง-ใดเป็นเรื่องระหว่างรัฐกับโจทก์ แต่ราษฎรด้วยกัน โจทก์ย่อมมีสิทธิขอให้ปลดเปลื้องการรบกวนการครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1374 ได้ เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ยอมออกจากที่ดินพิพาทอันเป็นการรบกวนสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4370/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประเด็นข้อพิพาทเรื่องสิทธิครอบครองหลังการซื้อขาย: คำฟ้องไม่ชัดเจน ทำให้ศาลไม่รับวินิจฉัย
คำฟ้องของโจทก์กล่าวอ้างว่าโจทก์จำเลยแสดงเจตนาลวงทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างกัน หาได้กล่าวอ้างว่าโจทก์จำเลยทำนิติกรรมซื้อขายกันจริง และหลังจากทำนิติกรรมซื้อขายกันแล้วโจทก์ได้ครอบครองที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างอย่างเป็นเจ้าของ จึงได้สิทธิครอบครองไม่ แม้จำเลยให้การว่าโจทก์ขายที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างให้จำเลย ถือว่าสละความเป็นเจ้าของแล้วการที่โจทก์อยู่ต่อมาเป็นเพียงอาศัยสิทธิของจำเลยไม่ได้สิทธิครอบครอง ก็เป็นเพียงกล่าวถึงผลของการที่โจทก์จำเลยซื้อขายที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างเท่านั้น คำฟ้องของโจทก์และคำให้การของจำเลยดังกล่าวไม่ก่อให้เกิดประเด็นข้อพิพาทในเรื่องที่ว่าหลังจากโจทก์ขายที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างให้จำเลยแล้ว โจทก์ได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างหรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3969/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์สัญญาประนีประนอมยอมความต้องมีพยานหลักฐานสนับสนุนข้ออ้างฉ้อฉล หากไม่มีพยาน ศาลไม่รับวินิจฉัย
จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยอ้างว่าอีกฝ่ายหนึ่งฉ้อฉล ศาลฎีกาสั่งให้ศาลชั้นต้นไต่สวน จำเลยมิได้นำพยานหลักฐานมาสืบให้เห็นตามที่อ้างไว้ในคำฟ้องอุทธรณ์ จึงมิใช่เรื่องการฉ้อฉลตามที่อ้าง ไม่เข้าเหตุที่จะอุทธรณ์ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2613/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองที่ดิน - อายุความฟ้องขับไล่ - ศาลไม่รับวินิจฉัยประเด็นการให้การขัดแย้ง
เมื่อศาลชั้นต้นชี้สองสถานมิได้กำหนดประเด็นว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่ และในชั้นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3ก็วินิจฉัยให้จำเลยเป็นฝ่ายชนะคดีโดยฟังว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยมิได้วินิจฉัยในเรื่องจำเลยแย่งการครอบครองที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยให้การและอุทธรณ์ขัดแย้งกัน โดยในตอนแรกให้การและอุทธรณ์ว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของจำเลย ส่วนในตอนหลังให้การและอุทธรณ์ว่าหากที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยก็ครอบครองมา 1 ปี แล้วคำฟ้องโจทก์ขาดอายุความ คำให้การและอุทธรณ์ของจำเลยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นคำให้การและอุทธรณ์ที่เคลือบคลุมนั้น ไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ฎีกาของโจทก์จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2009/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำกัดสิทธิฎีกาในคดีอาญา: ศาลไม่รับวินิจฉัยฎีกาเมื่อศาลอุทธรณ์ยืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลยฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและความผิดฐานจำหน่ายเฮโรอีน กระทงละ 5 ปี จึงต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคแรก แม้ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยไว้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้