พบผลลัพธ์ทั้งหมด 45 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2386/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ระงับข้อพิพาทสัญญาประกันชีวิตด้วยการประนีประนอมยอมความ ทำให้สิทธิเรียกร้องสิ้นสุด
โจทก์และนางสาว ก. ในฐานะผู้รับประโยชน์ได้ใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินตามสัญญาประกันชีวิต แต่จำเลยที่ 1 ไม่ยอมจ่ายอ้างว่าสัญญาประกันชีวิตเป็นโมฆียะและขอบอกล้างสัญญา ย่อมเกิดข้อพิพาทตามสัญญาประกันชีวิตขึ้นแล้ว เมื่อจำเลยที่ 1 เสนอคืนเงินเบี้ยประกันภัยให้แก่โจทก์และนางสาว ก.แทนการชำระเงินตามสัญญาระกันชีวิตตามที่โจทก์และนางสาว ก.เรียกร้องหรือคืนเงินค่าไถ่ถอนกรมธรรม์ประกันภัย โจทก์และนางสาว ก.ตกลงยอมรับเอาเงินเบี้ยประกันภัยคืนตามที่จำเลยที่ 1 เสนอ และสัญญาว่าจะไม่เรียกร้องเอาเงินหรือประโยชน์อื่นใดตามกรมธรรม์จากจำเลยที่ 1 อีก ย่อมเป็นการที่คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายระงับข้อพิพาทตามสัญญาประกันภัยซึ่งมีอยู่นั้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน บันทึกข้อตกลงดังกล่าวจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามที่ป.พ.พ. มาตรา 850 บัญญัติไว้ ทำให้สิทธิเรียกร้องของโจทก์และนางสาว ก.ตามสัญญาประกันชีวิตระงับสิ้นไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2386/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การระงับข้อพิพาทสัญญาประกันชีวิตด้วยการยอมคืนเบี้ยประกันภัย ถือเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ สิทธิเรียกร้องจึงระงับสิ้น
โจทก์และนางสาว ก. ในฐานะผู้รับประโยชน์ได้ใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินตามสัญญาประกันชีวิต แต่จำเลยที่ 1 ไม่ยอมจ่ายอ้างว่าสัญญาประกันชีวิตเป็นโมฆะและขอบอกล้างสัญญา ย่อมเกิดข้อพิพาทตามสัญญาประกันชีวิตขึ้นแล้วเมื่อจำเลยที่ 1 เสนอคืนเงินเบี้ยประกันภัยให้แก่โจทก์และนางสาว ก. แทนการชำระเงินตามสัญญาประกันชีวิตตามที่โจทก์และนางสาว ก. เรียกร้องหรือคืนเงินค่าไถ่ถอนกรมธรรม์ประกันภัย โจทก์และนางสาว ก. ตกลงยอมรับเอาเงินเบี้ยประกันภัยคืนตามที่จำเลยที่ 1 เสนอ และสัญญาว่าจะไม่เรียกร้องเอาเงินหรือประโยชน์อื่นใดตามกรมธรรม์จากจำเลยที่ 1 อีก ย่อมเป็นการที่คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายระงับข้อพิพาทตามสัญญาประกันภัยซึ่งมีอยู่นั้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน บันทึกข้อตกลงดังกล่าวจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 850 บัญญัติไว้ ทำให้สิทธิเรียกร้องของโจทก์และนางสาว ก. ตามสัญญาประกันชีวิตระงับสิ้นไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3285/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปกปิดโรคประจำตัวก่อนทำสัญญาประกันชีวิตทำให้สัญญาเป็นโมฆียะ
การที่ ล.ปกปิดข้อความจริงเกี่ยวกับการเป็นโรคตับต่อจำเลยที่ 1ในเวลาทำสัญญาประกันชีวิต ซึ่งหากจำเลยที่ 1 รู้ว่า ล.เป็นโรคตับอันเป็นโรคที่ร้ายแรง จำเลยที่ 1 จะบอกปัดไม่ยอมรับประกันชีวิต สัญญาจึงเป็นโมฆียะ เมื่อจำเลยที่ 1 ทราบเหตุแห่งการบอกล้างวันที่ 13 กันยายน 2529 และจำเลยที่ 1มีหนังสือลงวันที่ 3 ตุลาคม 2529 บอกล้างต่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์ จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผูกพันตามสัญญาที่จะต้องรับผิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 654/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประกันชีวิตโมฆียะ: ผู้รับประโยชน์ไม่ใช่ผู้ใช้เงิน ผู้ป่วยเจ็บต้องเปิดเผยความจริง
การที่สัญญาประกันชีวิตจะเป็นโมฆียะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865 นั้น ต้องเป็นกรณีที่บุคคลอันการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของเขานั้นรู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริงซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีก หรือให้บอกปัดไม่ยอมทำสัญญา หรือว่ารู้อยู่แล้วแถลงข้อความนั้นเป็นความเท็จโจทก์กับจำเลยทำสัญญาประกันชีวิตต่อกันโดยเด็กชายส.บุตรโจทก์เป็นผู้เอาประกัน โจทก์เป็นผู้รับประโยชน์ ดังนั้นบุคคลอันการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของเขานั้นก็คือเด็กชายส.หาใช่โจทก์ซึ่งเป็นเพียงผู้รับประโยชน์ไม่ ฎีกาจำเลยที่ว่า เด็กชายส.ละเว้นไม่เปิดเผยข้อความจริงที่ตนป่วยเป็นโรคลมชักในขณะที่โจทก์ขอต่ออายุกรมธรรม์นั้นเป็นข้อเท็จจริงนอกคำให้การจำเลย ถือได้ว่าเป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 654/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประกันชีวิตโมฆียะ: ผู้เอาประกันต้องเป็นผู้เปิดเผยข้อมูลสุขภาพที่แท้จริง ผู้รับประโยชน์ไม่ต้องรับผิด
การที่สัญญาประกันชีวิตจะเป็นโมฆียะตาม ป.พ.พ. มาตรา 865 ต้องเป็นกรณีที่บุคคลอันการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของเขานั้นรู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริงซึ่งอาจ จะจูงใจผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีกหรือให้ บอกปัด ไม่ยอมทำสัญญา หรือว่ารู้อยู่แล้วแถลงข้อความนั้นเป็นความเท็จ ซึ่ง กรณีตามคำฟ้องของโจทก์ บุคคลอันการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพ หรือมรณะของเขานั้นคือบุตรโจทก์ หาใช่โจทก์ซึ่งเป็นเพียงผู้รับประโยชน์ไม่ ดังนั้น แม้โจทก์จะละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความ จริง ที่ บุตร โจทก์เป็นโรคลมชักให้จำเลยผู้รับประกันภัยทราบ ก็ไม่ทำให้สัญญาประกันชีวิตเป็นโมฆียะ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4803/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบอกล้างโมฆียะกรรมสัญญาประกันชีวิตต้องทำภายใน 1 เดือนนับแต่วันที่ทราบมูลเหตุ
จำเลยมีหนังสือบอกล้างโมฆียะกรรมเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2525แต่หนังสือไปถึงผู้รับคือโจทก์เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2525 ป.พ.พ.มาตรา 130 วรรคหนึ่งบัญญัติว่าการแสดงเจตนาทำให้บุคคลผู้อยู่ห่างโดยระยะทางย่อมมีผลนับแต่เวลาที่ไปถึงคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งนั้นเป็นต้นไป ดังนั้นหนังสือบอกล้างโมฆียะกรรมรายนี้ของจำเลยย่อมมีผลนับแต่วันที่ 12 พฤษภาคม 2525 เป็นต้นไป จึงพ้นกำหนด 1 เดือนนับแต่วันที่จำเลยทราบมูลอันจะบอกล้างได้ การบอกล้างโมฆียะกรรมของจำเลยจึงไม่ชอบตาม ป.พ.พ. มาตรา 865 วรรคสอง ดังนี้จำเลยต้องรับผิดชดใช้เงินให้โจทก์ตามสัญญาประกันชีวิต.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4803/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบอกล้างโมฆียะกรรมสัญญาประกันชีวิตต้องกระทำภายใน 1 เดือนนับแต่ทราบเหตุ
หนังสือบอกล้างโมฆียะกรรมที่ผู้รับประกันภัยมีไปยังผุ้รับประโยชน์นั้น มีผลนับแต่เวลาที่ผู้รับประโยชน์ได้รับหนังสือดังกล่าว เมื่อผู้รับประกันภัยบอกล้างสัญญาประกันชีวิตที่ตกเป็นโมฆียะไปยังผู้รับประโยชน์ภายหลังเมื่อพ้นกำหนด 1 เดือน นับแต่ทราบมูลอันจะบอกล้างได้ ผู้รับประกันภัยย่อมต้องรับผิดใช้เงินให้ผู้รับประโยชน์ตามสัญญาข้างต้น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1892/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เอกสารเสนอขอทำสัญญาประกันชีวิตไม่ใช่เอกสารสิทธิ ตามประมวลกฎหมายอาญา
คำขอเอาประกันชีวิตแบบออมทรัพย์สงเคราะห์มีสาระสำคัญว่า พ. และ ส. มีความประสงค์ที่จะเอาประกันชีวิตตามรายละเอียดที่ระบุไว้ในคำขอมีลักษณะเป็นเพียงคำเสนอขอทำสัญญาประกันชีวิตเท่านั้น ยังไม่แน่ว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะตกลงรับประกันหรือไม่ ส่วนบันทึกปากคำผู้เอาประกันก็เพียงเอกสารซึ่งผู้ขอเอาประกันชีวิตตอบคำถามตามที่บริษัทผู้รับประกันต้องการทราบ ในเรื่องความเกี่ยวพันระหว่างผู้เอาประกันชีวิตกับผู้รับประโยชน์ตลอดจนรายละเอียดในการชำระเบี้ยประกัน เอกสารดังกล่าวมานี้มิใช่หลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิ จึงไม่ใช่เอกสารสิทธิ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1254/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำสัญญาประกันชีวิตต้องมีการสนองรับคำเสนอจากผู้รับประกันโดยตรง หากไม่มีการสนองรับ สัญญาประกันยังไม่เกิดขึ้น
ในกรณีที่ผู้เอาประกันชีวิตได้ยื่นใบสมัครหรือทำคำเสนอเพื่อทำประกันชีวิตกับตัวแทนของผู้รับประกันชีวิตนั้น จะต้องนำเอาบทบัญญัติพระราชบัญญัติประกันชีวิตมาประกอบการวินิจฉัยคดีด้วย ซึ่งหากไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ผู้รับประกันชีวิตมอบอำนาจเป็นหนังสือให้ตัวแทนของผู้รับประกันชีวิตทำสัญญาประกันชีวิตได้ในนามของผู้รับประกันชีวิตดังที่พระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. 2510 มาตรา 61 บัญญัติไว้ถือได้ว่าตัวแทนของผู้รับประกันชีวิตมีอำนาจเพียงรับแบบฟอร์มใบสมัครขอประกันชีวิตและรับเบี้ยประกันล่วงหน้าส่งไปให้ผู้รับประกันชีวิตพิจารณาก่อนเท่านั้น และต้องมีการสนองรับคำเสนอจากผู้รับประกันชีวิตโดยตรง สัญญาประกันชีวิตจึงเกิดขึ้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1254/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำสัญญาประกันชีวิตต้องมีการสนองรับคำเสนอจากผู้รับประกัน หากไม่มีการสนองรับ สัญญาประกันยังไม่เกิดขึ้น
ในกรณีที่ผู้เอาประกันชีวิตได้ยื่นใบสมัครหรือทำคำเสนอเพื่อทำประกันชีวิตกับตัวแทนของผู้รับประกันชีวิตนั้น จะต้องนำเอา บทบัญญัติ พระราชบัญญัติประกันชีวิตมาประกอบการวินิจฉัยคดีด้วยซึ่งหากไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ผู้รับประกันชีวิตมอบอำนาจเป็นหนังสือให้ตัวแทนของผู้รับประกันชีวิตทำสัญญาประกันชีวิตได้ในนามของผู้รับประกันชีวิตดังที่พระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ.2510 มาตรา 61 บัญญัติไว้ถือได้ว่าตัวแทนของผู้รับประกันชีวิตมีอำนาจเพียงรับแบบฟอร์มใบสมัครขอประกันชีวิตและรับเบี้ยประกันล่วงหน้าส่งไปให้ผู้รับประกันชีวิตพิจารณาก่อน เท่านั้นและต้องมีการสนองรับคำเสนอจากผู้รับประกันชีวิตโดยตรงสัญญาประกันชีวิตจึงเกิดขึ้น