พบผลลัพธ์ทั้งหมด 34 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6150/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาระผูกพันตามสัญญาสัมปทานทำไม้: สิทธิในการยึดหน่วงสมุดฝากเงินเพื่อชำระค่าปลูกป่าทดแทน
เงื่อนไขในสัมปทานทำไม้หวงห้ามกำหนดให้โจทก์ผู้รับสัมปทานต้องปลูกป่าและบำรุงป่าที่ได้รับสัมปทานทำไม้ด้วยค่าใช้จ่ายของโจทก์ โดยโจทก์จะต้องนำเงินค่าใช้จ่ายในการปลูกป่าและบำรุงป่าในอัตราที่ทางราชการกำหนดไปฝากไว้ที่ธนาคาร แล้วนำสมุดฝากเงินไปมอบให้ป่าไม้จังหวัดจำเลยที่ 4 ยึดถือไว้ ส่วนการขอ รับสมุดฝากเงินทุกครั้งโจทก์ต้องเสนอแผนการปฏิบัติงาน ปลูกป่าให้ป่าไม้เขตจำเลยที่ 3 ทราบ เมื่อได้รับความเห็นชอบ จากจำเลยที่ 3 แล้วจึงจะมีสิทธิขอรับสมุดเงินฝากไปเบิกเงิน จากธนาคารเพื่อนำไปใช้จ่ายในการปลูกป่าทดแทนตามแผนงานที่เสนอไว้และภายหลังจากเบิกเงินแล้วโจทก์ยังต้องนำสมุดฝากเงินไปมอบให้จำเลยที่ 4 เก็บรักษาไว้ตามเดิมอีกการฝากเงินของโจทก์จึงเป็นการฝากเพื่อนำไปใช้จ่ายปลูกป่า และบำรุงป่าทดแทนป่าที่โจทก์ได้ทำไม้ไปแล้ว และโจทก์ จะถอนเงินไปได้เฉพาะเพื่อเอาไปปลูกป่าและบำรุงป่าตามที่ จำเลยที่ 3 เห็นชอบเท่านั้น ตราบใดที่โจทก์ยังมีภาระหน้าที่ จะต้องปลูกป่าและบำรุงป่าทดแทนให้กรมป่าไม้จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 4 ย่อมมีสิทธิที่จะรักษาสมุดฝากเงินของโจทก์ไว้ ตามเงื่อนไขดังกล่าว แม้ในระหว่างอายุสัมปทานทำไม้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีคำสั่งให้สัมปทาน การทำไม้หวงห้ามทุกชนิดสิ้นสุดลงก็มีผลเพียงทำให้สิทธิที่ โจทก์จะทำไม้ต่อไปภายในอายุสัมปทานสิ้นสุดลงเท่านั้น แต่โจทก์ยังมีภาระหน้าที่จะต้องปลูกป่าและบำรุงป่าทดแทน ในส่วนที่โจทก์ได้ทำไม้ไปแล้วก่อนเวลาสัมปทานจะสิ้นสุดลง โดยเบิกค่าใช้จ่ายเงินในส่วนที่โจทก์ฝากธนาคารไว้ เมื่อโจทก์ยังไม่ได้ดำเนินการตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ใน สัมปทานให้ครบถ้วน จำเลยที่ 4 จึงมีสิทธิที่จะเก็บรักษา สมุดฝากเงินของโจทก์ไว้ตามเงื่อนไขดังกล่าว จำเลยที่ 1 ไม่ต้องคืนสมุดฝากเงินให้โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5184/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัมปทานทำไม้: การปฏิบัติตามเงื่อนไขสัญญาและการเพิกถอนสัมปทาน
โจทก์ได้รับสัมปทานทำไม้หวงห้ามธรรมดานอกจากไม้สักจากรัฐบาลโดยยอมปฏิบัติตามบันทึกต่อท้ายสัมปทาน บันทึกต่อท้ายสัมปทานดังกล่าวจึงต้องผูกพันโจทก์
โจทก์จะต้องปฏิบัติตามบันทึกต่อท้ายสัมปทานข้อ 3 โดยเสนอแผนการปฏิบัติงานโดยย่อให้ป่าไม้เขตท้องที่ทราบ เมื่อได้รับความยินยอมจากป่าไม้เขตแล้วจึงขอรับสมุดเงินฝากไปเบิกเงินจากธนาคารเพื่อนำไปใช้จ่ายในการปลูกป่าทดแทนตามเงื่อนไขสัมปทาน และตามบันทึกต่อท้ายสัมปทานข้อ 4 ระบุด้วยว่าถ้าผู้รับสัมปทานฝ่าฝืนหรือปฏิบัติผิดไปจากบันทึกที่ให้ไว้นี้ ให้ถือว่าผู้รับสัมปทานไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขสัมปทานข้อ 17 และยินยอมให้ผู้ให้สัมปทานสั่งพักการทำไม้ไว้หรือสั่งเพิกถอนสัมปทานทำไม้เสียก็ได้และผู้รับสัมปทานยินยอมนำเงินค่าใช้จ่ายในการปลูกและบำรุงรักษาป่าที่คำนวณได้จากไม้ที่ทำออกและตรวจวัดตีตราเก็บเงินค่าภาคหลวง แล้วส่งมอบให้กรมป่าไม้ หรือผู้รับมอบอำนาจจากกรมป่าไม้จนครบถ้วนด้วย เห็นได้ว่า แม้สัมปทานถูกเพิกถอนแล้ว หากโจทก์ไม่ดำเนินการปลูกป่า จำเลยมีสิทธิที่จะบังคับให้โจทก์ดำเนินการดังกล่าวอีกด้วย เมื่อโจทก์ค้างปลูกป่าและค้างค่าบำรุงป่าเป็นเงินจำนวนหนึ่ง ถือได้ว่าโจทก์ไม่ได้ดำเนินการตามบันทึกต่อท้ายสัมปทานข้อ 3 จำเลยจึงมีสิทธิที่จะยึดสมุดเงินฝากของโจทก์ไว้เพื่อปฏิบัติตามบันทึกต่อท้ายสัมปทานข้อ 4 ได้
โจทก์จะต้องปฏิบัติตามบันทึกต่อท้ายสัมปทานข้อ 3 โดยเสนอแผนการปฏิบัติงานโดยย่อให้ป่าไม้เขตท้องที่ทราบ เมื่อได้รับความยินยอมจากป่าไม้เขตแล้วจึงขอรับสมุดเงินฝากไปเบิกเงินจากธนาคารเพื่อนำไปใช้จ่ายในการปลูกป่าทดแทนตามเงื่อนไขสัมปทาน และตามบันทึกต่อท้ายสัมปทานข้อ 4 ระบุด้วยว่าถ้าผู้รับสัมปทานฝ่าฝืนหรือปฏิบัติผิดไปจากบันทึกที่ให้ไว้นี้ ให้ถือว่าผู้รับสัมปทานไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขสัมปทานข้อ 17 และยินยอมให้ผู้ให้สัมปทานสั่งพักการทำไม้ไว้หรือสั่งเพิกถอนสัมปทานทำไม้เสียก็ได้และผู้รับสัมปทานยินยอมนำเงินค่าใช้จ่ายในการปลูกและบำรุงรักษาป่าที่คำนวณได้จากไม้ที่ทำออกและตรวจวัดตีตราเก็บเงินค่าภาคหลวง แล้วส่งมอบให้กรมป่าไม้ หรือผู้รับมอบอำนาจจากกรมป่าไม้จนครบถ้วนด้วย เห็นได้ว่า แม้สัมปทานถูกเพิกถอนแล้ว หากโจทก์ไม่ดำเนินการปลูกป่า จำเลยมีสิทธิที่จะบังคับให้โจทก์ดำเนินการดังกล่าวอีกด้วย เมื่อโจทก์ค้างปลูกป่าและค้างค่าบำรุงป่าเป็นเงินจำนวนหนึ่ง ถือได้ว่าโจทก์ไม่ได้ดำเนินการตามบันทึกต่อท้ายสัมปทานข้อ 3 จำเลยจึงมีสิทธิที่จะยึดสมุดเงินฝากของโจทก์ไว้เพื่อปฏิบัติตามบันทึกต่อท้ายสัมปทานข้อ 4 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2951/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของเจ้าของสัมปทานต่อการละเมิดของลูกจ้างที่ขับรถนอกเส้นทาง
การที่จำเลยที่ 5 รับรถยนต์โดยสารสองแถวของจำเลยที่ 2ซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับเข้าร่วมกิจการรับส่งคนโดยสารในเส้นทางที่จำเลยที่ 5 ได้รับสัมปทานจากรัฐบาล โดยจำเลยที่ 5 ได้รับผลประโยชน์ด้วย ถือได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 5 ด้วยการที่จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยสารสองแถวรับส่งคนโดยสารนอกเส้นทางสัมปทาน จำเลยที่ 5 ทราบแต่ไม่เคยทักท้วง หรือปรับหรือบอกเลิกสัญญาแต่อย่างใด ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยสารคันดังกล่าวรับส่งคนโดยสารขณะเกิดเหตุโดยได้รับอนุญาตหรือรู้เห็นยินยอมจากจำเลยที่ 5 แล้ว เมื่อจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 5จึงต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2384/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความสิทธิเรียกร้องค่าตอบแทนจากสัมปทานปิโตรเลียม: ต่างตอบแทน vs. จ่ายเป็นระยะเวลา
สัมปทานปิโตรเลียมที่โจทก์ออกให้แก่จำเลยเป็นการอนุญาตให้จำเลยมีสิทธิที่จะทำได้แต่ผู้เดียวในกิจการสำรวจการปิโตรเลียมภายในขอบเขตที่กำหนดซึ่งจำเลยจะต้องจ่ายค่าทดแทนให้แก่โจทก์แต่การจ่ายเงินผลประโยชน์มีจำนวนมากหลายรายการเพื่อผ่อนผันแบ่งเบาภาระให้แก่จำเลย จึงได้แบ่งชำระเป็นงวด เงื่อนไขดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นสัญญาต่างตอบแทนที่โจทก์พึงได้รับประโยชน์จากการที่ยอมให้สัมปทานแก่จำเลย แม้เงินผลประโยชน์พิเศษงวดที่ 3 ใช้คำว่า"กับทุกปีหลังจากนั้นเป็นเวลาต่อเนื่องกันอีกสองปี" ก็ตาม ก็มิใช่เป็นเงินอื่น ๆ ที่มีกำหนดจ่ายเป็นระยะเวลา จึงไม่เป็นสิทธิเรียกร้องที่มีอายุความ 5 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 166 เดิม สิทธิเรียกร้องของโจทก์ดังกล่าวไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้เฉพาะ จึงต้องใช้อายุความทั่วไปกำหนด10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 เดิม โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยชำระเงินผลประโยชน์พิเศษให้แก่โจทก์แล้ว จำเลยไม่ชำระจึงตกเป็นผู้ผิดนัดเพราะโจทก์เตือนแล้วโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 วรรคแรก นับตั้งแต่วันผิดนัด แต่จำเลยไม่ชำระดอกเบี้ย ดอกเบี้ยดังกล่าวจึงเป็นดอกเบี้ยค้างส่งที่มีอายุความ 5 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 166 เดิม ดอกเบี้ยที่ค้างส่งเกินกว่า 5 ปี จึงขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 645/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคำนวณรายได้ภาษีนิติบุคคลจากธุรกิจสัมปทาน และข้อจำกัดในการอุทธรณ์เรื่องอายุความ
โจทก์เป็นผู้ทำไม้ตาม ที่ได้รับสัมปทานเอง ลูกช่วงของโจทก์คือผู้รับจ้างตัด ฟันไม้จากโจทก์ การทำป่าไม้สัมปทานคือกิจการของโจทก์ตรง ตาม วัตถุประสงค์ของบริษัทโจทก์ การคำนวณรายได้เพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล จึงต้อง คำนวณจากรายได้ในการขายไม้ทั้งหมดซึ่งรวมค่าใช้จ่ายต่าง ๆ อยู่ด้วย จะคิดจากรายได้ของโจทก์ที่หักเงินส่วนที่จ่ายให้ลูกช่วงแล้วโดย อ้างว่าเงินเหล่านั้นเป็นค่าใช้จ่ายของลูกช่วง และโจทก์คงได้ รายได้เฉพาะ ค่าใบอนุญาตทำไม้ตาม สัมปทานเท่านั้นไม่ได้
ประมวลรัษฎากร มาตรา ๔๐(๓) และ (๘) เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับเงินได้บุคคลธรรมดา ไม่เกี่ยวกับเงินได้ของนิติบุคคลซึ่ง ต้องเป็นไปตาม ประมวลรัษฎากร มาตรา ๖๕
โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยไม่มีอำนาจให้โจทก์เสียเงินเพิ่มตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๒๒ เพราะจำเลยเปลี่ยนรายได้ของโจทก์และประเมินใหม่แล้วจะเรียกเงินเพิ่มจากโจทก์ไม่ได้ แต่ โจทก์มิได้อุทธรณ์ความข้อนี้ไว้ต่อ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ และไม่ได้กล่าวอ้างไว้ในคำฟ้อง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
อายุความตาม คำฟ้องโจทก์แตกต่าง กับอายุความตาม ที่โจทก์อุทธรณ์ปัญหาตาม อุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๕.
ประมวลรัษฎากร มาตรา ๔๐(๓) และ (๘) เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับเงินได้บุคคลธรรมดา ไม่เกี่ยวกับเงินได้ของนิติบุคคลซึ่ง ต้องเป็นไปตาม ประมวลรัษฎากร มาตรา ๖๕
โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยไม่มีอำนาจให้โจทก์เสียเงินเพิ่มตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๒๒ เพราะจำเลยเปลี่ยนรายได้ของโจทก์และประเมินใหม่แล้วจะเรียกเงินเพิ่มจากโจทก์ไม่ได้ แต่ โจทก์มิได้อุทธรณ์ความข้อนี้ไว้ต่อ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ และไม่ได้กล่าวอ้างไว้ในคำฟ้อง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
อายุความตาม คำฟ้องโจทก์แตกต่าง กับอายุความตาม ที่โจทก์อุทธรณ์ปัญหาตาม อุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๕.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3671/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เลิกสัญญาสัมปทานตัดไม้: สิทธิในงานที่ทำเสร็จแล้วและค่าตอบแทนที่สมควร
จำเลยทำสัญญาจ้างโจทก์ตัดไม้และแผ้วถางป่าเพื่อสร้างเขื่อนโดยตกลงให้โจทก์มีสิทธิซื้อไม้ที่โจทก์ตัดฟันได้ในราคาถูก ต่อมาโจทก์จำเลยสมัครใจเลิกสัญญา ดังนี้ คู่สัญญาต้องกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมเสมือนว่ามิได้มีสัญญาต่อกันเลยโจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะได้ไม้ที่ทำไว้ก่อนเลิกสัญญา ส่วนการงานที่โจทก์ได้กระทำให้จำเลยไปแล้วเมื่อสัญญามิได้มีข้อกำหนดให้ใช้เงินตอบแทนกันเพียงใด ศาลมีอำนาจกำหนดให้ตามสมควรของค่าแห่งการงานนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1738/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิบอกเลิกสัมปทานและค่าเสียหาย: ศาลล่างงดสืบพยานโดยไม่ชอบ
สัมปทานบัตรเพื่อการลงทุนประกอบการเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมในที่ดินที่กระทรวงมหาดไทยจำเลยออกให้โจทก์ก็คือสัญญาระหว่างรัฐกับโจทก์ ทั้งสองฝ่ายต่างมีสิทธิและหน้าที่ที่ จะต้องปฏิบัติต่อกันตามข้อกำหนดและเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัมปทานบัตร และในส่วนที่ไม่ได้ระบุไว้ก็ต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ฉะนั้นแม้ไม่ได้ระบุถึงสิทธิของผู้รับสัมปทานในการที่จะขอยกเลิก สัมปทานบัตร ก็หาใช่ว่าโจทก์จะไม่มีสิทธิบอกเลิกไม่ เมื่อโจทก์ใช้สิทธิ บอกเลิกสัมปทานบัตรแล้ว คู่สัญญาต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 และหากการบอกเลิก เป็นเพราะจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหาย จากจำเลยได้ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 316/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจ้างและเจตนาลาออก: สัญญาจ้างไม่ผูกพันตามอายุสัมปทาน, เจตนาลาออกจากการถูกข่มขู่เป็นโมฆะ
แม้อายุสัมปทานที่จำเลยได้รับจากรัฐบาลจะกำหนดเวลาไว้แน่นอนแต่โจทก์กับจำเลยมิได้ตกลงจ้างกันจนกว่าจะหมดอายุสัมปทาน การจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงหาใช่การจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาไว้แน่นอนไม่
การที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า โจทก์ลงชื่อในใบลาออกเพราะถูกคำขู่ตามประกาศของจำเลย ใบลาไม่มีผลบังคับเป็นเรื่องศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า การแสดงเจตนาลาออกของโจทก์เสื่อมเสียไปเพราะเป็นเจตนาที่ได้มาจากการข่มขู่มิใช่วินิจฉัยว่าไม่มีข้อความว่าลาออกทั้ง ๆ ที่เอกสารมีข้อความแจ้งชัดว่าเป็นการลาออก จึงหาเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่
การที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า โจทก์ลงชื่อในใบลาออกเพราะถูกคำขู่ตามประกาศของจำเลย ใบลาไม่มีผลบังคับเป็นเรื่องศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า การแสดงเจตนาลาออกของโจทก์เสื่อมเสียไปเพราะเป็นเจตนาที่ได้มาจากการข่มขู่มิใช่วินิจฉัยว่าไม่มีข้อความว่าลาออกทั้ง ๆ ที่เอกสารมีข้อความแจ้งชัดว่าเป็นการลาออก จึงหาเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 41/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ละเมิดจากการเดินรถทับเส้นทางสัมปทาน: ค่าเสียหายรายวันตามรายได้ที่ตกต่ำ
เดินรถยนต์รับส่งคนโดยสารทับเส้นทางสัมปทาน เป็นละเมิดต้องใช้ค่าเสียหายทุกวันตามจำนวนที่รายได้ของฝ่ายที่เสียหายตกต่ำลง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 254/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานหลักฐาน (สำเนาเอกสาร) และการละเมิดจากการเดินรถทับเส้นทางสัมปทาน กรณีอะลุ้มอะล่วยและคำสั่งทางปกครอง
จำเลยส่งเอกสารต่อศาลโดยไม่ส่งสำเนาให้โจทก์ ครั้นโจทก์คัดค้านว่าไม่ควรรับฟัง จำเลยแถลงว่าต้นฉบับอยู่ในความครอบครองของทางราชการจะได้หมายเรียกต้นฉบับมาแต่แล้วจำเลยก็มิได้ขอให้ศาลหมายเรียกมาเมื่อเอกสารที่จำเลยส่งศาลเป็นสำเนา ซึ่งไม่มีเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจรับรองว่าถูกต้องกับต้นฉบับ จึงรับฟังไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93
จำเลยเดินรถรับส่งคนโดยสารเที่ยวกลับช่วงหนึ่งทับเส้นทางสัมปทานของโจทก์ เฉพาะทุกวันเสาร์ตั้งแต่เวลา 12 ถึง 19 น. ทั้งนี้ เนื่องจากตามวันเวลานั้นเจ้าพนักงานจราจรได้ออกประกาศให้รถเดินทางเดียวในถนนสายหนึ่งซึ่งอยู่ในเส้นทางสัมปทานของจำเลยเมื่อได้ความว่าในกรณีเช่นนี้ไม่มีข้อบังคับให้จำเลยต้องรายงานต่อกรมการขนส่งทางบกเพื่อประกาศเปลี่ยนเส้นทางให้ถูกต้องเสมอไป โดยหากไม่มีการโต้แย้งกันก็ไม่ต้องรายงานและจำเลยก็ได้เดินรถทับเส้นทางเดินรถของโจทก์เพียง 1 กิโลเมตรเศษทั้งปรากฏว่าโจทก์เองก็ต้องเปลี่ยนไปเดินรถทับเส้นทางเดินรถของผู้อื่นโดยโจทก์ไม่ได้แจ้งให้กรมการขนส่งทางบกทราบเช่นกันการเปลี่ยนเส้นทางเดินรถเอาเองในกรณีนี้จึงเป็นเรื่องอะลุ้มอะล่วยถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน จำเลยมิได้เจตนาจงใจเดินรถทับเส้นทางสัมปทานของโจทก์โดยพลการโจทก์เองก็เพิ่งร้องเรียนต่อกรมการขนส่งทางบกหลังจากจำเลยเดินรถทับเส้นทาง 3 ปีเศษแล้ว ดังนี้ จะถือว่าจำเลยเดินรถทับเส้นทางเดินรถของโจทก์ โดยฝ่าฝืนคำสั่งของกรมการขนส่งทางบกหาได้ไม่ แต่เมื่อกรมการขนส่งทางบกได้สั่งให้จำเลยเปลี่ยนเส้นทางเดินรถใหม่ไม่ให้ทับเส้นทางของโจทก์ตามที่โจทก์ร้องเรียนแล้วจำเลยยังเดินรถตามเส้นทางเดิมต่อไปอีก แม้เพราะจำเลยอุทธรณ์คำสั่งต่อปลัดกระทรวงคมนาคมอยู่ก็ตามแต่เมื่อต่อมาปลัดกระทรวงคมนาคมได้สั่งให้จำเลยปฏิบัติตามคำสั่งของกรมการขนส่งทางบกแล้วการกระทำของจำเลยก็เป็นละเมิดต่อโจทก์ ตั้งแต่วันรุ่งขึ้นจากวันจำเลยได้รับหนังสือแจ้งคำสั่งของกรมการขนส่งทางบก จนถึงวันสุดท้ายที่จำเลยเดินรถทับเส้นทางสัมปทานของโจทก์ ตามจำนวนวันเสาร์ในระยะนั้น
จำเลยเดินรถรับส่งคนโดยสารเที่ยวกลับช่วงหนึ่งทับเส้นทางสัมปทานของโจทก์ เฉพาะทุกวันเสาร์ตั้งแต่เวลา 12 ถึง 19 น. ทั้งนี้ เนื่องจากตามวันเวลานั้นเจ้าพนักงานจราจรได้ออกประกาศให้รถเดินทางเดียวในถนนสายหนึ่งซึ่งอยู่ในเส้นทางสัมปทานของจำเลยเมื่อได้ความว่าในกรณีเช่นนี้ไม่มีข้อบังคับให้จำเลยต้องรายงานต่อกรมการขนส่งทางบกเพื่อประกาศเปลี่ยนเส้นทางให้ถูกต้องเสมอไป โดยหากไม่มีการโต้แย้งกันก็ไม่ต้องรายงานและจำเลยก็ได้เดินรถทับเส้นทางเดินรถของโจทก์เพียง 1 กิโลเมตรเศษทั้งปรากฏว่าโจทก์เองก็ต้องเปลี่ยนไปเดินรถทับเส้นทางเดินรถของผู้อื่นโดยโจทก์ไม่ได้แจ้งให้กรมการขนส่งทางบกทราบเช่นกันการเปลี่ยนเส้นทางเดินรถเอาเองในกรณีนี้จึงเป็นเรื่องอะลุ้มอะล่วยถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน จำเลยมิได้เจตนาจงใจเดินรถทับเส้นทางสัมปทานของโจทก์โดยพลการโจทก์เองก็เพิ่งร้องเรียนต่อกรมการขนส่งทางบกหลังจากจำเลยเดินรถทับเส้นทาง 3 ปีเศษแล้ว ดังนี้ จะถือว่าจำเลยเดินรถทับเส้นทางเดินรถของโจทก์ โดยฝ่าฝืนคำสั่งของกรมการขนส่งทางบกหาได้ไม่ แต่เมื่อกรมการขนส่งทางบกได้สั่งให้จำเลยเปลี่ยนเส้นทางเดินรถใหม่ไม่ให้ทับเส้นทางของโจทก์ตามที่โจทก์ร้องเรียนแล้วจำเลยยังเดินรถตามเส้นทางเดิมต่อไปอีก แม้เพราะจำเลยอุทธรณ์คำสั่งต่อปลัดกระทรวงคมนาคมอยู่ก็ตามแต่เมื่อต่อมาปลัดกระทรวงคมนาคมได้สั่งให้จำเลยปฏิบัติตามคำสั่งของกรมการขนส่งทางบกแล้วการกระทำของจำเลยก็เป็นละเมิดต่อโจทก์ ตั้งแต่วันรุ่งขึ้นจากวันจำเลยได้รับหนังสือแจ้งคำสั่งของกรมการขนส่งทางบก จนถึงวันสุดท้ายที่จำเลยเดินรถทับเส้นทางสัมปทานของโจทก์ ตามจำนวนวันเสาร์ในระยะนั้น