พบผลลัพธ์ทั้งหมด 49 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2007/2540 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องกรณี คชก.วินิจฉัยสิทธิซื้อที่ดิน - จำเป็นต้องฟ้อง คชก.เป็นจำเลยเพื่อเพิกถอนคำวินิจฉัย
โจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอถอน ส.ทนายความโจทก์ร่วมและศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตแล้ว ดังนั้น เมื่อฎีกาโจทก์และโจทก์ร่วมลงชื่อ ส.เป็นผู้ฎีกา ซึ่งเป็นเพียงทนายความโจทก์เพียงผู้เดียว จึงต้องถือว่าโจทก์ร่วมไม่ได้ฎีกาด้วย
ตาม พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524มาตรา 57 เมื่อโจทก์ผู้เป็นคู่กรณีหรือผู้มีส่วนได้เสียไม่พอใจคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดที่เห็นชอบตามคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบล ว่าโจทก์หมดสิทธิซื้อนาพิพาทจากผู้รับโอน โจทก์ก็ยังมีสิทธิอุทธรณ์ต่อศาล โดยฟ้องขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัด กับให้โจทก์มีสิทธิซื้อนาพิพาทจากผู้รับโอนได้ แต่การฟ้องขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดดังกล่าวต้องฟ้อง คชก.จังหวัดเป็นจำเลยด้วย ทั้งนี้เพื่อให้ คชก.จังหวัดได้มีโอกาสเข้ามาต่อสู้คดีและชี้แจงเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยเพื่อแก้ข้ออ้างของโจทก์ การที่โจทก์ไม่ฟ้อง คชก.จังหวัด คำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดก็ยังไม่ถูกเพิกถอนและมีผลบังคับอยู่ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องผู้รับโอนนาพิพาท ขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดและให้โจทก์มีสิทธิซื้อนาพิพาทจากผู้รับโอนโดยลำพังได้ แต่การยกฟ้องโจทก์เกี่ยวกับอำนาจฟ้องโดยมิได้วินิจฉัยเนื้อหาในประเด็นข้อพิพาทว่ามีอยู่จริงหรือไม่ จึงสมควรไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคำฟ้องมายื่นใหม่
ตาม พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524มาตรา 57 เมื่อโจทก์ผู้เป็นคู่กรณีหรือผู้มีส่วนได้เสียไม่พอใจคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดที่เห็นชอบตามคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบล ว่าโจทก์หมดสิทธิซื้อนาพิพาทจากผู้รับโอน โจทก์ก็ยังมีสิทธิอุทธรณ์ต่อศาล โดยฟ้องขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัด กับให้โจทก์มีสิทธิซื้อนาพิพาทจากผู้รับโอนได้ แต่การฟ้องขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดดังกล่าวต้องฟ้อง คชก.จังหวัดเป็นจำเลยด้วย ทั้งนี้เพื่อให้ คชก.จังหวัดได้มีโอกาสเข้ามาต่อสู้คดีและชี้แจงเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยเพื่อแก้ข้ออ้างของโจทก์ การที่โจทก์ไม่ฟ้อง คชก.จังหวัด คำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดก็ยังไม่ถูกเพิกถอนและมีผลบังคับอยู่ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องผู้รับโอนนาพิพาท ขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดและให้โจทก์มีสิทธิซื้อนาพิพาทจากผู้รับโอนโดยลำพังได้ แต่การยกฟ้องโจทก์เกี่ยวกับอำนาจฟ้องโดยมิได้วินิจฉัยเนื้อหาในประเด็นข้อพิพาทว่ามีอยู่จริงหรือไม่ จึงสมควรไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคำฟ้องมายื่นใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5692/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการซื้อที่ดินเช่าตาม พ.ร.บ.การเช่าที่ดินฯ และการชดใช้ค่าใช้จ่ายของผู้รับโอน
การที่ศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ผู้รับโอนที่ดินพิพาทขายที่ดินพิพาทแก่โจทก์ เป็นการพิพากษาตาม พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นการบังคับขายตามกฎหมาย มิใช่เป็นการซื้อขายโดยสมัครใจตาม ป.พ.พ. บทบัญญัติกฎหมายมาตราดังกล่าวมิใช่เพียงแต่ต้องการคุ้มครองผู้เช่านาให้ได้สิทธิซื้อที่นาที่เช่าอยู่ก่อนคนอื่นเท่านั้น แต่ยังต้องการคุ้มครองผู้รับโอนซึ่งเป็นบุคคลภายนอกให้ไม่ต้องเสียหายเกินสมควร โดยให้ได้รับการชดใช้คืนซึ่งสิ่งที่ได้ลงไปในการซื้อที่นานั้นมาอย่างบริบูรณ์ด้วย การให้ผู้รับโอนรับภาระค่าธรรมเนียมการโอนและภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาซึ่งอาจเป็นจำนวนท่วมราคาซื้อขายทั้ง ๆ ที่ผู้รับโอนถูกบังคับขายเช่นนี้ ย่อมเห็นได้ว่า ทำให้ผู้รับโอนมิได้รับการชดใช้ซึ่งสิ่งที่ได้ลงไปในการซื้อที่นามาอย่างบริบูรณ์ และไม่เป็นธรรมแก่ผู้รับโอนตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย ค่าธรรมเนียมในการโอนและภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ในกรณีนี้จึงเป็นค่าใช้จ่ายที่ผู้เช่านาจะต้องรับภาระเอง ดังนั้นแม้คำพิพากษาศาลฎีกาจะมิได้กำหนดให้โจทก์เป็นผู้เสียค่าธรรมเนียมการโอนและภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โจทก์ก็จะอาศัยบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยการซื้อขายหักค่าใช้จ่ายดังกล่าวจากราคาซื้อขายที่กำหนดในคำพิพากษาไม่ได้
เมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาและจำเลยยื่นคำร้องต่อศาลโดยมิใช่คำร้องที่สามารถทำได้ฝ่ายเดียว ศาลย่อมมีอำนาจส่งสำเนาให้โจทก์เพื่อให้โอกาสคัดค้าน และเมื่อศาลฟังคู่ความทั้งสองฝ่ายแล้ว ก็สามารถมีคำสั่งได้ตามป.วิ.พ. มาตรา 21 (2) หลังจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งแล้ว หากโจทก์ยังคงไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา จำเลยที่ 2 ก็ชอบที่จะขอออกคำบังคับและหมายบังคับคดีเพื่อบังคับคดีแก่โจทก์ได้
เมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาและจำเลยยื่นคำร้องต่อศาลโดยมิใช่คำร้องที่สามารถทำได้ฝ่ายเดียว ศาลย่อมมีอำนาจส่งสำเนาให้โจทก์เพื่อให้โอกาสคัดค้าน และเมื่อศาลฟังคู่ความทั้งสองฝ่ายแล้ว ก็สามารถมีคำสั่งได้ตามป.วิ.พ. มาตรา 21 (2) หลังจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งแล้ว หากโจทก์ยังคงไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา จำเลยที่ 2 ก็ชอบที่จะขอออกคำบังคับและหมายบังคับคดีเพื่อบังคับคดีแก่โจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5595/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิซื้อที่ดินเช่า: ศาลแก้ไขคำวินิจฉัยคชก.บางส่วนได้ หากไม่ชอบด้วยกฎหมาย
แม้มติคชก.จังหวัดได้ถึงที่สุดไปแล้ว แต่การพิจารณาของคชก.จังหวัดเฉพาะเรื่องราคาที่ให้โจทก์มีสิทธิซื้อที่ดินพิพาทไม่ชอบด้วย พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลบังคับตามมติในเรื่องนี้ของ คชก.จังหวัดไม่ได้ตาม พ.ร.บ. การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2524 มาตรา 58 ประกอบ พ.ร.บ. อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2530มาตรา 24 แต่คำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดในส่วนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนี้เป็นเพียงส่วนประกอบ ส่วนคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดที่วินิจฉัยให้โจทก์มีสิทธิซื้อที่ดินพิพาทเป็นคำวินิจฉัยส่วนหลักนั้นชอบด้วยกฎหมายไม่เสียไป ดังนั้น ในส่วนประกอบที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนี้ศาลมีอำนาจพิจารณาจากพยานหลักฐานแล้วพิพากษาให้ถูกต้องได้ แม้ศาลชั้นต้นเห็นว่าราคาที่ดินพิพาทตามที่จดทะเบียนไว้เท่ากับราคาตลาดตรงกับราคาที่ คชก.จังหวัด แต่ก็เป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงในชั้นศาลของศาลชั้นต้นเอง มิใช่เป็นการถือและบังคับตามการวินิจฉัยชี้ขาดของคชก.จังหวัด คู่ความมีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาข้อพิพาทในส่วนนี้ได้ ไม่เข้าข้อห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม พ.ร.บ. อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2530 มาตรา 26
พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา54 บัญญัติให้ผู้เช่านามีสิทธิซื้อนาที่เช่าจากผู้รับโอนโดยตรง หากการขายนาที่เช่ามิได้ปฏิบัติตามมาตรา 53 เมื่อโจทก์เป็นผู้เช่านาที่ดินพิพาทและผู้ให้เช่านาขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 โดยมิได้ปฏิบัติตามมาตรา 53 ทั้งโจทก์ได้ร้องขอต่อ คชก.ตำบลเพื่อวินิจฉัยให้ผู้รับโอนขายที่ดินพิพาทแก่โจทก์ และได้ผ่านขั้นตอนการอุทธรณ์ต่อ คชก.จังหวัดแล้ว โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ผู้รับโอนที่ดินพิพาทขายที่ดินพิพาททั้งแปลงให้แก่โจทก์โดยไม่ต้องคำนึงว่าเดิมมีผู้ใดเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทบ้าง ที่จะต้องฟ้องเป็นจำเลยด้วย
พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา54 บัญญัติให้ผู้เช่านามีสิทธิซื้อนาที่เช่าจากผู้รับโอนโดยตรง หากการขายนาที่เช่ามิได้ปฏิบัติตามมาตรา 53 เมื่อโจทก์เป็นผู้เช่านาที่ดินพิพาทและผู้ให้เช่านาขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 โดยมิได้ปฏิบัติตามมาตรา 53 ทั้งโจทก์ได้ร้องขอต่อ คชก.ตำบลเพื่อวินิจฉัยให้ผู้รับโอนขายที่ดินพิพาทแก่โจทก์ และได้ผ่านขั้นตอนการอุทธรณ์ต่อ คชก.จังหวัดแล้ว โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ผู้รับโอนที่ดินพิพาทขายที่ดินพิพาททั้งแปลงให้แก่โจทก์โดยไม่ต้องคำนึงว่าเดิมมีผู้ใดเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทบ้าง ที่จะต้องฟ้องเป็นจำเลยด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5595/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิซื้อที่ดินจากการเช่าเมื่อผู้ขายไม่ปฏิบัติตามกม. และการกำหนดราคาซื้อตามราคาตลาด
ตามบันทึกการประชุมคชก.จังหวัดพิจิตรซึ่งมีมติให้โจทก์ผู้เช่าสามารถซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่2ผู้รับโอนในราคา65,000บาทตามราคาที่จดทะเบียนไว้โดยไม่ได้มีการพิจารณาว่าขณะที่จำเลยที่2และที่3ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่1นั้นราคาที่ดินพิพาทตามราคาตลาดมีราคาสูงเท่าใดสูงกว่าราคาตามที่จดทะเบียนซื้อขายกันหรือไม่แม้มติคชก.ได้ถึงที่สุดไปแล้วก็ตามแต่การพิจารณาเฉพาะเรื่องราคาที่ให้โจทก์มีสิทธิซื้อที่ดินพิพาทในราคา65,000บาทนั้นไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติ การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524มาตรา54วรรคหนึ่งศาลบังคับตามมติในเรื่องนี้ของคชก.ไม่ได้ตามมาตรา58ประกอบพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการพ.ศ.2530มาตรา24แต่คำวินิจฉัยของคชก.ในส่วนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนี้เป็นเพียงส่วนประกอบส่วนคำวินิจฉัยที่ให้โจทก์มีสิทธิซื้อที่ดินพิพาทนั้นเป็นคำวินิจฉัยส่วนหลักชอบด้วยกฎหมายไม่เสียไปดังนั้นในส่วนประกอบที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนี้ศาลมีอำนาจพิจารณาจากพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบแล้วพิพากษาให้ถูกต้องตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมฯมาตรา54ได้ ระยะเวลาที่โจทก์ขอซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่1ในราคาไร่ละ5,000บาทแต่จำเลยที่1ไม่ยอมขายให้แก่โจทก์ในราคาดังกล่าวห่างจากเวลาที่จำเลยที่1กับบุตรจดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่2และที่3ประมาณ1ปีและได้ความจากคำพยานโจทก์ว่านับแต่ปี2531เป็นต้นมาราคาที่ดินขยับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆเพิ่งหยุดนิ่งเมื่อปี2534และทางราชการปรับราคาประเมินที่ดินพิพาทในปี2535จากไร่ละ5,000บาทเป็นไร่ละ12,000บาทอันเนื่องมาจากสภาพของราคาที่ดินได้เพิ่มสูงขึ้นมากนั้นเองจึงเชื่อได้ว่าวันจดทะเบียนขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่2และที่3นั้นราคาตลาดของที่ดินพิพาทสูงกว่าไร่ละ5,000บาทมากประกอบกับจำเลยทั้งสามนำสืบถึงราคาตลาดของที่ดินพิพาทว่าในขณะนั้นมีราคาไร่ละ12,000บาทเป็นราคาที่สมเหตุสมผลโจทก์จึงต้องซื้อที่ดินพิพาทในราคาไร่ละ12,000บาทตามราคาตลาดซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่าราคาที่จำเลยที่2และที่3ซื้อไว้ตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมฯมาตรา54วรรคหนึ่ง ตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมฯมาตรา54บัญญัติให้ผู้เช่านามีสิทธิซื้อนาที่เช่าจากผู้รับโอนโดยตรงหากการขายนาที่เช่ามิได้ปฏิบัติตามมาตรา53เมื่อโจทก์เป็นผู้เช่าที่ดินพิพาทและผู้ให้เช่านาขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่2และที่3โดยมิได้ปฏิบัติตามมาตรา53ทั้งโจทก์ได้ร้องขอต่อคชก.เพื่อวินิจฉัยให้ผู้รับโอนขายที่ดินพิพาทแก่โจทก์และได้ผ่านขั้นตอนการอุทธรณ์ต่อคชก.แล้วโจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่2และที่3ผู้รับโอนที่ดินพิพาทขายที่ดินพิพาททั้งแปลงให้แก่โจทก์โดยไม่ต้องคำนึงว่าเดิมมีผู้ใดเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทบ้าง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4702/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิซื้อที่ดินตามมติ คชก. ต้องใช้สิทธิภายในกรอบเวลาที่กำหนด มิฉะนั้นสิทธิจะสิ้นสุดลง
คชก.ตำบลบางหลวง มีมติให้โจทก์ซื้อที่นาจากผู้รับโอนในราคาไร่ละ30,000 บาท ด้วยเงินสดภายใน 30 วัน คชก.จังหวัดนครปฐมมีมติยืนยันมติของคชก.ตำบลบางหลวง โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 12ตุลาคม 2533 ให้ยกฟ้องโจทก์ โดยวินิจฉัยว่า มติของ คชก.จังหวัดนครปฐมชอบแล้ว เมื่อคำพิพากษาศาลชั้นต้นถึงที่สุดแล้ว แต่โจทก์มิได้ใช้สิทธิขอซื้อที่นาตามราคาและวิธีการชำระเงินดังกล่าวโดยโจทก์นัดให้จำเลยไปจดทะเบียนขายที่นาแก่โจทก์ในวันที่ 6 มีนาคม 2534 ซึ่งเป็นเวลาหลังมีคำพิพากษาศาลชั้นต้นถึง4 เดือนเศษ โจทก์จึงไม่มีสิทธิซื้อที่นาจากจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4702/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิซื้อที่ดินตามมติ คชก.และการใช้สิทธิหลังคำพิพากษาถึงที่สุด
คชก.ตำบลบางหลวงมีมติให้โจทก์ซื้อที่นาจากผู้รับโอนในราคาไร่ละ30,000บาทด้วยเงินสดภายใน30วันคชก.จังหวัดปฐมมีมติยืนยันมติของคชก.ตำบลบางหลวง โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลชั้นต้นศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่12ตุลาคม2533ให้ยกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่ามติของคชก.จังหวัดนครปฐมชอบแล้วเมื่อคำพิพากษาศาลชั้นต้นถึงที่สุดแล้วแต่โจทก์มิได้ใช้สิทธิขอซื้อที่นาตามราคาและวิธีการชำระเงินดังกล่าวโดยโจทก์นัดให้จำเลยไปจดทะเบียนขายที่นาแก่โจทก์ในวันที่6มีนาคม2534ซึ่งเป็นเวลาหลังมีคำพิพากษาศาลชั้นต้นถึง4เดือนเศษโจทก์จึงไม่มีสิทธิซื้อที่นาจากจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 299/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิซื้อที่ดินเช่าก่อนกรณีผู้ให้เช่าขาย: ราคาตลาดที่ใช้บังคับ
โจทก์เป็นผู้เช่าที่ดินพิพาททำนาอยู่ในขณะที่จำเลยที่ 1 โอนขายให้แก่จำเลยที่ 2 ก่อนจะขายจำเลยที่ 1 มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 53 เสียก่อน โดยจำเลยที่ 1 ผู้ให้เช่านาต้องแจ้งให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่านาทราบโดยทำเป็นหนังสือแสดงความจำนงจะขายนา พร้อมทั้งระบุราคาที่จะขายและวิธีการชำระเงินยื่นต่อประธานคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลสาลี(คชก.ตำบลสาลี) เพื่อแจ้งให้โจทก์ผู้เช่านาทราบภายในสิบห้าวันเสียก่อน ถ้าโจทก์ผู้เช่านาไม่ซื้อตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 53 วรรคสาม จำเลยที่ 1 จึงจะขายให้จำเลยที่ 2 ได้ต่อไป เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวโจทก์จึงอยู่ในฐานะเป็นผู้มีสิทธิซื้อที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 1 ก่อนตามพ.ร.บ. การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524 มาตรา 54 ซึ่ง มาตรา 54วรรคหนึ่ง ได้บัญญัติว่า "ถ้าผู้ให้เช่านาขายนาไปโดยมิได้ปฏิบัติตามมาตรา 53ไม่ว่านานั้นจะถูกโอนต่อไปยังผู้ใด ผู้เช่านามีสิทธิซื้อนาจากผู้รับโอนนั้นตามราคาและวิธีการชำระเงินที่ผู้รับโอนซื้อไว้ หรือตามราคาตลาดในขณะนั้นแล้วแต่ราคาใดจะสูงกว่ากัน ฯลฯ" บทบัญญัติดังกล่าวมีความมุ่งหมายจะคุ้มครองสิทธิของผู้เช่านาที่จะซื้อนาที่เช่าอยู่ก่อนบุคคลอื่น คำว่า "ราคาตลาดในขณะนั้น" จึงหมายถึงราคาตลาดในขณะผู้ให้เช่านาโอนขายนาให้แก่ผู้รับโอน มิใช่ราคาตลาดในขณะผู้เช่านาใช้สิทธิขอซื้อนาคืน
ราคาที่ คชก.ตำบล วินิจฉัยให้ผู้รับโอนขายนาให้แก่ผู้เช่านาเป็นราคาตาม พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524มาตรา 54 วรรคหนึ่งหรือไม่ มิใช่ข้อที่เป็นดุลพินิจเด็ดขาดของ คชก.ตำบลในการพิจารณาว่าจะพิพากษาบังคับตามคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลหรือไม่ศาลย่อมต้องพิจารณาว่าราคาที่ คชก.ตำบลวินิจฉัยมาเป็นราคาตามบทบัญญัติดังกล่าวหรือไม่ ถ้ามิใช่ ศาลย่อมพิจารณาจากพยานหลักฐานและกำหนดราคาให้ถูกต้องแล้วพิพากษาให้บังคับให้ขายตามราคาที่กำหนดไปได้
ราคาที่ คชก.ตำบล วินิจฉัยให้ผู้รับโอนขายนาให้แก่ผู้เช่านาเป็นราคาตาม พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524มาตรา 54 วรรคหนึ่งหรือไม่ มิใช่ข้อที่เป็นดุลพินิจเด็ดขาดของ คชก.ตำบลในการพิจารณาว่าจะพิพากษาบังคับตามคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลหรือไม่ศาลย่อมต้องพิจารณาว่าราคาที่ คชก.ตำบลวินิจฉัยมาเป็นราคาตามบทบัญญัติดังกล่าวหรือไม่ ถ้ามิใช่ ศาลย่อมพิจารณาจากพยานหลักฐานและกำหนดราคาให้ถูกต้องแล้วพิพากษาให้บังคับให้ขายตามราคาที่กำหนดไปได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1703/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิของผู้ซื้อตามสัญญาจะซื้อขายก่อนการยึดทรัพย์ ผู้จัดการมรดกผูกพันตามสัญญา
จำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินทั้งสามโฉนดแก่ผู้ร้องก่อนวันที่จำเลยถึงแก่กรรมผู้ร้องฟ้องล. ในฐานะทายาทและผู้จัดการมรดกของจำเลยขอให้ศาลบังคับให้ล. จดทะเบียนโอนขายที่ดินทั้งสามโฉนดแก่ผู้ร้องตามสัญญาจะซื้อขายที่จำเลยทำไว้ล. ตกลงประนีประนอมยอมความจดทะเบียนโอนขายที่ดินทั้งสามโฉนดแก่ผู้ร้องตามฟ้องหลังจากโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินทั้งสามโฉนดดังนี้การที่ล. ตกลงประนีประนอมยอมความกับผู้ร้องดังกล่าวหาใช่ล. ในฐานะทายาทและผู้จัดการมรดกของจำเลยเพิ่งก่อให้เกิดหรือเปลี่ยนแปลงซึ่งสิทธิในที่ดินทั้งสามโฉนดที่ถูกยึดภายหลังที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ทำการยึดไว้แล้วไม่แต่เป็นการที่ล. ในฐานะทายาทและผู้จัดการมรดกของจำเลยยอมรับตามสิทธิของผู้ร้องที่มีอยู่ตามสัญญาที่จำเลยทำไว้ก่อนจำเลยถึงแก่กรรมผู้ร้องจึงมีสิทธิฟ้องขอให้ศาลบังคับล.ในฐานะทายาทและผู้จัดการมรดกซึ่งรับมาทั้งสิทธิและหน้าที่ที่จำเลยมีอยู่ต่อผู้ร้องจดทะเบียนโอนขายที่ดินทั้งสามโฉนดแก่ผู้ร้องได้และการที่ศาลพิพากษาตามยอมก็เป็นการบังคับให้ปฏิบัติตามกฎหมายตามหน้าที่ที่จำเลยมีอยู่ต่อผู้ร้องในความผูกพันตามสัญญาจะซื้อขายที่จำเลยทำไว้ก่อนถึงแก่กรรมเท่านั้นถือไม่ได้ว่าจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาได้ก่อให้เกิดหรือเปลี่ยนแปลงซึ่งสิทธิในทรัพย์สินที่ถูกยึดภายหลังที่ได้ทำการยึดไว้แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5787/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิซื้อที่นาหลังสละสิทธิ - การใช้สิทธิโดยไม่สุจริต - อำนาจฟ้อง
จำเลยที่ 1 ตกลงขายที่นาพิพาทให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่านาก่อนแล้ว เมื่อโจทก์แสดงความประสงค์ไม่ซื้อที่นาพิพาทและยินยอมให้จำเลยที่ 1ขายที่นาพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 แล้ว การที่โจทก์กลับมาร้องขอต่อคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลเพื่อวินิจฉัยให้จำเลยที่ 2 ขายที่นาพิพาทให้แก่โจทก์นั้น เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยที่ 2ขายที่นาพิพาทให้แก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5692/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิซื้อที่ดินเช่าตาม พ.ร.บ.การเช่าที่ดินฯ ต้องเป็นไปตามราคาตลาดและเจตนารมณ์ช่วยเหลือชาวนา ไม่ใช่แสวงหาผลประโยชน์
พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524ที่ประกาศใช้มีความมุ่งหวังช่วยเหลือคุ้มครองชาวนาผู้ยากจนมิให้ถูกเอารัดเอาเปรียบในการเช่านาผู้อื่นทำ มิได้มีเจตนาจะให้ชาวนาผู้ยากจนใช้สิทธิตามกฎหมายดังกล่าวแสวงหาความร่ำรวยจากราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นผิดปกติจนเกินกว่าจะนำที่ดินนั้นมาใช้งานเพื่อเกษตรกรรมต่อไป เมื่อข้อเท็จจริงเชื่อได้ว่าโจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่านามิได้มุ่งหวังจะได้ที่ดินพิพาทเพื่อไปใช้ทำนาต่อไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายดังกล่าว เพราะผลผลิตจากที่ดินพิพาทไม่คุ้มกับการลงทุนกู้ยืมเงินมาใช้ซื้อที่ดินพิพาทไปใช้ทำนาต่อไปโจทก์ไม่สามารถนำบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวมาบังคับแก่จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้รับโอนได้โจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยโอนขายที่ดินให้ตนในราคา 2,200,000 บาท ซึ่งไม่ใช่ราคาที่จำเลยที่ 1และที่ 2 โอนขายให้จำเลยที่ 3 และไม่ใช่ราคาตลาดที่พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 54กำหนดให้อำนาจโจทก์จะขอซื้อจากจำเลยที่ 3 คำฟ้องโจทก์ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามขายที่นาพิพาทในราคา 2,200,000 บาท เป็นคำฟ้องที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติดังกล่าว ศาลไม่สามารถบังคับจำเลยทั้งสามให้โอนขายที่นาพิพาทในราคาตามคำฟ้องของโจทก์ได้ การยื่นฟ้องคดีนี้ของโจทก์เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ยังจะเกิดความเสียหายแก่จำเลยที่ 3 แต่ถ่ายเดียวศาลไม่อาจบังคับตามคำฟ้องของโจทก์ได้