คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
สิทธิบุคคลภายนอก

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 23 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6104/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิบุคคลภายนอกจากสัญญาประนีประนอม สัญญาฉบับหลังไม่ผูกพันโจทก์
จำเลยที่ 2 ที่ 3 และนายอรุณทำสัญญาประนีประนอมยอมความตกลงเลิกห้างจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้สิทธิในทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 กับต้องชำระหนี้ภาษีอากรของจำเลยที่ 1 ทั้งหมดรวมทั้งหนี้ภาษีอากรในคดีนี้ สัญญาฉบับแรกนี้จึงเป็นสัญญาเพื่อบุคคลภายนอกตาม ป.พ.พ. มาตรา 374 โจทก์มีสิทธิเรียกชำระหนี้ภาษีอากรจากจำเลยที่ 3 โดยตรงได้ เมื่อโจทก์ได้มีหนังสือเรียกชำระหนี้จากจำเลยที่ 3 จึงเป็นการแสดงเจตนาว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้นแล้ว
สิทธิของบุคคลภายนอกจะถูกเปลี่ยนแปลงหรือระงับได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 375นั้น จะต้องกระทำโดยคู่สัญญาทุกฝ่าย แต่สัญญาฉบับหลังที่จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการและนายอาภรณ์ผู้ชำระบัญชีฝ่ายหนึ่ง กับจำเลยที่ 3 อีกฝ่ายหนึ่งได้ทำขึ้นเพื่อยกเลิกสัญญาฉบับแรกนั้น จำเลยที่ 2 ในฐานะส่วนตัวและนายอรุณมิได้เป็นคู่สัญญาในสัญญาฉบับหลัง สัญญาฉบับหลังจึงไม่กระทบถึงสิทธิของโจทก์ซึ่งได้เกิดมีขึ้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 374 แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5570/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์ vs. สิทธิของบุคคลภายนอกที่ได้มาโดยสุจริตและจดทะเบียน การเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนทำไม่ได้
ผู้ร้องได้ที่ดินและตึกแถวที่โจทก์นำยึดมาโดยการครอบครองปรปักษ์ เป็นการได้มาซึ่งสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม เมื่อผู้ร้องไม่ได้จดทะเบียนสิทธิของตนไว้ จึงไม่อาจทำให้มีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนได้ ทั้งต้องห้ามมิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้รับจำนองที่ดินและตึกแถวดังกล่าวโดยเสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1299 วรรคสอง ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิขอให้ปล่อยทรัพย์พิพาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2422/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การได้กรรมสิทธิ์โดยครอบครองปรปักษ์ vs. สิทธิของบุคคลภายนอกที่ได้มาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน
โจทก์ได้ กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ก่อนที่ ก. จะขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย แต่เมื่อโจทก์ได้ที่ดินพิพาทมาโดย ทางอื่นนอกจากนิติกรรม และยังมิได้จดทะเบียนการได้ มาต่อ พนักงานเจ้าหน้าที่ โจทก์จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้ สิทธิมาโดย เสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วไม่ได้ ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1299 วรรคสอง ก่อนซื้อ ที่ดินพิพาท จำเลยไปดู ที่ดินพบบิดาโจทก์อยู่ในที่ดินพิพาท บิดาโจทก์บอกจำเลยว่าเช่า ที่ดินพิพาทจาก ก. หากจำเลยซื้อ ที่ดินพิพาทจะขอเช่า อยู่ต่อไป พฤติการณ์ดังกล่าวยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยรู้แล้ว ในขณะซื้อ ที่ดินพิพาทว่าโจทก์ครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทอยู่และรับโอนที่ดินโดย ไม่สุจริต โจทก์จึงยกการได้ที่ดินพิพาทมาโดย การครอบครองปรปักษ์ขึ้นต่อสู้ จำเลย ซึ่ง เป็นบุคคลภายนอกผู้ได้ สิทธิมาโดยสุจริต เสียค่าตอบแทน และจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วไม่ได้ โจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทซึ่ง เป็นของจำเลยยังไม่ถึงสิบปี จึงยังไม่ได้กรรมสิทธิ์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1759/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีจำนองเมื่อหนี้ยังไม่ถึงกำหนดชำระ และสิทธิของบุคคลภายนอกผู้รับจำนอง
โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของภริยาจำเลยที่ 2 เพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้ตามคำพิพากษา ผู้ร้องคัดค้านว่าจำเลยที่ 2 เป็นหนี้ผู้ร้องตามสัญญากู้ โดยภริยาจำเลยที่ 2 จำนองที่ดินแปลงที่โจทก์นำยึดเป็นประกันการชำระหนี้เงินกู้ ขอให้เอาเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าวชำระหนี้ผู้ร้องก่อนเจ้าหนี้อื่น ดังนี้ เมื่อหนี้ที่จำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดชำระแก่ผู้ร้องยังไม่ถึงกำหนดชำระ ผู้ร้องจะอาศัยอำนาจแห่งการจำนองบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของภริยาจำเลยที่ 2 ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 หาได้ไม่ และการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่กระทบกระทั่งถึงบุริมสิทธิของผู้ร้องซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้รับจำนองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3532/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีตามคำพิพากษาถึงที่สุด แม้มีการอ้างสิทธิบุคคลภายนอกก็ไม่อาจใช้เป็นข้อแก้ตัวได้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในเขตทางน้ำชลประทานโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยให้การรับสารภาพศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยและให้จำเลยรื้อถอนโรงเรือนออกไปจากเขตชลประทานภายใน 1 เดือน คดีถึงที่สุด จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องรื้อถอนโรงเรือนซึ่งจำเลยรับว่าได้ปลูกสร้างรุกล้ำโดยผิดกฎหมายออกไปจำเลยจะอ้างสิทธิของบุคคลภายนอกมาเป็นข้อแก้ตัวในการไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาหาได้ไม่ เพราะเท่ากับเป็นการโต้แย้งว่าจำเลยมิได้ปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำเขตทางน้ำชลประทานอันเป็นการโต้เถียงขัดกับข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติแล้ว แม้จะเป็นในชั้นบังคับคดีก็ไม่อาจกระทำได้ข้ออ้างของจำเลยมิใช่ข้อแก้ตัวอันดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3532/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลของคำพิพากษาถึงที่สุด: จำเลยต้องปฏิบัติตาม แม้จะอ้างสิทธิบุคคลภายนอกมิได้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในเขตทางน้ำชลประทานโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยให้การรับสารภาพศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยและให้จำเลยรื้อถอนโรงเรือนออกไปจากเขตชลประทานภายใน 1 เดือน คดีถึงที่สุด จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องรื้อถอนโรงเรือนซึ่งจำเลยรับว่าได้ปลูกสร้างรุกล้ำโดยผิดกฎหมายออกไป จำเลยจะอ้างสิทธิของบุคคลภายนอกมาเป็นข้อแก้ตัวในการไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาหาได้ไม่ เพราะเท่ากับเป็นการโต้แย้งว่าจำเลยมิได้ปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำเขตทางน้ำชลประทานอันเป็นการโต้เถียงขัดกับข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติแล้ว แม้จะเป็นในชั้นบังคับคดีก็ไม่อาจกระทำได้ ข้ออ้างของจำเลยมิใช่ข้อแก้ตัวอันดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 884/2523 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิจำนอง vs. สิทธิครอบครองปรปักษ์: บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนย่อมได้รับการคุ้มครอง
ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้จำนอง จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ โจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินที่จำนองเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ตามคำพิพากษาผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ที่ดินที่โจทก์นำยึดดังกล่าวผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์อยู่ด้วยส่วนหนึ่ง โดยผู้ร้องได้ครอบครองโดยความสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลาเกิน 10 ปี แล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 จึงขอให้ปล่อยการยึดที่ดินเฉพาะส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง โจทก์ให้การว่าโจทก์จับจำนองไว้โดยสุจริตเสียค่าตอบแทนข้ออ้างของผู้ร้องจึงยกขึ้นต่อสู้โจทก์ไม่ได้ ดังนี้ ตามข้ออ้างของผู้ร้องเป็นเพียงการได้มาซึ่งสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่น อันมิใช่เป็นการได้มาโดยทางนิติกรรม แต่ผู้ร้องไม่ได้จดทะเบียนสิทธิของตนได้ จึงไม่อาจทำให้มีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนได้ ทั้งต้องห้ามมิให้ยกเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วดังที่บัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 ส่วนปัญหาว่าโจทก์รับจำนองไว้โดยสุจริตหรือไม่ ผู้ร้องก็ไม่ได้กล่าวอ้างหรือยกเป็นประเด็นเพื่อการนำสืบไว้ในคำร้อง ทั้ง ๆ ที่ภาระการพิสูจน์ตกแก่ฝ่ายตนที่จะหักล้างข้อสันนิษฐานอันเป็นคุณแก่โจทก์ว่า บุคคลทุกคนกระทำการโดยสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 6 คดีจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์รับจำนองโดยสุจริตหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ตามคำร้องและคำให้การของโจทก์แล้วว่า โจทก์รับจำนองที่พิพาทโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว จึงได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 1299 วรรคสองผู้ร้องย่อมไม่มีสิทธิขอให้ปล่อยทรัพย์พิพาท
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์หยิบยกประเด็นเรื่องโจทก์รับจำนองไว้โดยสุจริตหรือไม่ขึ้นวินิจฉัย เป็นการไม่ชอบ ถือว่าเป็นข้อที่ไม่ได้ว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ผู้ร้องฎีกาในปัญหาข้อนี้จึงเป็นฎีกานอกประเด็นที่ไม่ได้ว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2708/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำร้องคุ้มครองสิทธิชั่วคราวต้องตรงกับการกระทำที่ถูกฟ้อง และไม่กระทบสิทธิบุคคลภายนอก
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทำหนังสือมอบอำนาจให้แก่โจทก์เพื่อให้โจทก์มีสิทธิและอำนาจดำเนินการขุดแร่หรือโอนขายประทานบัตรและอื่นๆ ได้ทั้งสิ้นตามสัญญาขายสิทธิการทำเหมืองแร่ เช่น ดังที่จำเลยได้เคยทำหนังสือมอบอำนาจให้โจทก์ไว้แต่เดิมและขอให้เพิกถอนหนังสือมอบอำนาจที่จำเลยมอบอำนาจไห้ว.มาเปิดทำการขุดหาแร่ในที่ประทานบัตรที่ขายให้โจทก์ อันเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวนเป็นราคาเงินได้ แล้วโจทก์มีคำขอให้ศาลสั่งห้ามชั่วคราวมิให้จำเลย และ ว.เข้าทำเหมืองแร่ ดังนี้คำฟ้องของโจทก์มิใช่เรื่องขอให้บังคับเอาแก่ตัวทรัพย์หรือเหมืองแร่ที่โจทก์ขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองสิทธิของโจทก์เลย และโจทก์มิได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายมาด้วย เหมืองแร่ที่ ว. เข้าไปทำจึงมิใช่ตัวทรัพย์ที่พิพาทในคดีนี้ การที่โจทก์มายื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองสิทธิของโจทก์ดังกล่าว จึงไม่ตรงกับการกระทำที่จำเลยถูกฟ้อง ซึ่งไม่เกี่ยวกับตัวทรัพย์หรือเหมืองแร่ หากการกระทำของ ว. และจำเลยอาจเกิดความเสียหายแก่โจทก์ในเวลาต่อมา ก็เป็นเรื่องนอกคำขอท้ายฟ้องคดีนี้ และศาลจะมีคำสั่งคุ้มครองสิทธิของโจทก์ให้กระทบกระเทือนถึง ว. ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและไม่มีโอกาสต่อสู้คดีหาได้ไม่ ศาลจึงไม่จำต้องรับคำร้องของโจทก์ไว้พิจารณา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2530/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญา 3 ฝ่าย, สิทธิบุคคลภายนอก, การชำระหนี้, สัญญาจองซื้อ, การส่งมอบห้องเช่า
จำเลยที่ 2 ทำสัญญาตกลงให้จำเลยที่ 1 กับพวกปลูกตึกแถวในที่ดินของจำเลยที่ 2 แล้วให้ตึกแถวตกเป็นของจำเลยที่ 2โดยจำเลยที่ 2 ยอมให้จำเลยที่ 1 กับพวกมีสิทธิเรียกเก็บเงินช่วยค่าก่อสร้างจากคนมาขอเช่าตึกแถวและหาคนเช่าได้ และจำเลยที่ 2 จะทำสัญญาเช่าให้มีกำหนด 15 ปี โจทก์ทำสัญญาจองตึกแถว 1 ห้องจากจำเลยที่ 1 เพื่อเช่า และเสียเงินช่วยค่าก่อสร้างให้จำเลยที่ 1 ดังนี้ สัญญาระหว่างจำเลยทั้งสองนั้นเป็นสัญญาที่จำเลยที่ 2 ตกลงจะชำระหนี้แก่บุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374 วรรคต้น โจทก์ได้แสดงเจตนาที่จะถือเอาประโยชน์แห่งสัญญาดังกล่าวแล้ว สิทธิของโจทก์ย่อมเกิดมีขึ้นตามวรรคสอง จำเลยทั้งสองหาอาจที่จะเปลี่ยนแปลงหรือระงับสิทธิของโจทก์ได้ไม่ ตามมาตรา 375จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดส่งมอบห้องเช่าและจดทะเบียนการเช่าให้โจทก์ ถ้าหากสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้บังคับได้ จำเลยที่ 2ก็ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1679/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายที่ดิน: สิทธิของบุคคลภายนอกที่ทำสัญญาซื้อขายก่อน vs. สิทธิจากคำพิพากษาหลัง
จำเลยที่ 1 ได้ยื่นเรื่องราวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ขอขายที่พิพาทแก่โจทก์โดยโจทก์ตกลงซื้อและทำสัญญามัดจำไว้แล้ว ตามสัญญาจำเลยที่ 1 ยินยอมให้โจทก์เข้าครอบครองที่พิพาททันที และจะโอนกรรมสิทธิ์กันต่อเจ้าพนักงานให้เสร็จภายในกำหนด 2 เดือนนับแต่วันทำสัญญาเป็นต้นไป ต่อมาจำเลยที่ 2 ทราบว่าจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอขายที่พิพาทให้กับโจทก์ จึงยื่นคำร้องคัดค้านต่อนายอำเภอ มิให้จำเลยขายที่พิพาทให้โจทก์ จนกว่าจำเลยที่ 1 จะได้ชำระเงินกู้ให้จำเลยที่ 2 นายอำเภอเรียกโจทก์กับจำเลยที่ 2 มาเปรียบเทียบ แต่ไม่ตกลงกัน จำเลยที่ 2ได้ยื่นฟ้องจำเลยที่ 1 เรียกเงินกู้ที่จำเลยที่ 1 กู้ไปคืน และทำสัญญาประนีประนอมยอมความในวันเดียวกันนั้นเองโดยขายที่พิพาทให้จำเลยที่ 2 ศาลพิพากษาตามยอมแต่ยังไม่ได้โอนที่พิพาท เพราะโจทก์คัดค้านไว้ ดังนี้ แสดงว่าโจทก์ได้ตกลงรับซื้อที่พิพาทตามสัญญามัดจำ และยื่นเรื่องราวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จะให้จดทะเบียนสิทธิของโจทก์ได้อยู่ก่อนจำเลยที่ 2 แล้ว จำเลยที่ 2 เพิ่งมีสิทธิตามคำพิพากษาที่จะได้รับโอนที่พิพาทภายหลัง ทั้งจำเลยก็ทราบดีอยู่แล้วว่าจำเลยที่ 1 ไปยื่นคำร้องขอขายที่พิพาทให้โจทก์ก่อนแล้ว การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นไปโดยไม่สุจริต จะนำมาใช้ยันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่ได้ จำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิที่จะให้จดทะเบียนสิทธิที่พิพาทหรือประมูลที่พิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 หรือขายทอดตลาดที่พิพาทเอาเงินแบ่งกันตามส่วนแต่อย่างใด
of 3