พบผลลัพธ์ทั้งหมด 284 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10239/2546
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจปกครองบุตรหลังหย่า: ผู้ไม่มีอำนาจดูแลไม่ต้องรับผิดชอบละเมิดของบุตร
ขณะเกิดเหตุคดีนี้ จำเลยที่ 2 จดทะเบียนหย่ากับจำเลยที่ 1 แล้ว โดยมีข้อตกลงกันว่าให้จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นบุตรผู้เยาว์อยู่ในอำนาจปกครองของจำเลยที่ 1 แต่เพียงผู้เดียว จำเลยที่ 2 จึงไม่มีอำนาจปกครองเพื่อจัดการดูแลบุตรผู้เยาว์ตามที่กฎหมายกำหนดต่อไป การที่จำเลยที่ 3 ไปกระทำละเมิดต่อผู้อื่น จะนำ ป.พ.พ. มาตรา 429 มาปรับใช้บังคับในส่วนที่เกี่ยวกับการที่จำเลยที่ 2 จะต้องร่วมรับผิดด้วยหรือไม่ ไม่ได้
หลังจากจดทะเบียนหย่าแล้ว จำเลยที่ 2 ไม่ได้พักอาศัยอยู่กับจำเลยที่ 1 และที่ 3 แม้จำเลยที่ 2 ยังมีชื่อในทะเบียนบ้านร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 3 และภายหลังเกิดเหตุ จำเลยที่ 2 ได้ไปเจรจาค่าเสียหายกับโจทก์หรือไปดูแลจำเลยที่ 3 เป็นครั้งคราว พฤติการณ์เหล่านี้ยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับดูแลจำเลยที่ 3 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 430 จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดของจำเลยที่ 3
หลังจากจดทะเบียนหย่าแล้ว จำเลยที่ 2 ไม่ได้พักอาศัยอยู่กับจำเลยที่ 1 และที่ 3 แม้จำเลยที่ 2 ยังมีชื่อในทะเบียนบ้านร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 3 และภายหลังเกิดเหตุ จำเลยที่ 2 ได้ไปเจรจาค่าเสียหายกับโจทก์หรือไปดูแลจำเลยที่ 3 เป็นครั้งคราว พฤติการณ์เหล่านี้ยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับดูแลจำเลยที่ 3 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 430 จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดของจำเลยที่ 3
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4650/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการฟ้องแย้งแบ่งสินสมรส: จำเลยมีสิทธิฟ้องแย้งขอแบ่งสินสมรสได้ แม้ไม่ใช่สินสมรสที่โจทก์ระบุ
ป.พ.พ. มาตรา 1532 กำหนดให้การจัดการแบ่งทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาเมื่อมีการหย่าไม่ว่าจะเป็นการหย่าโดยความยินยอมของทั้งสองฝ่ายหรือหย่าโดยคำพิพากษาของศาล โดยมีจุดมุ่งหมายให้มีการแบ่งทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาให้เสร็จเรียบร้อยก่อนที่คู่หย่าจะแยกจากกัน ฉะนั้นเมื่อโจทก์ฟ้องหย่าจำเลยและขอแบ่งสินสมรสระหว่างโจทก์จำเลย จำเลยก็ย่อมมีสิทธิฟ้องแย้งขอแบ่งสินสมรสระหว่างโจทก์จำเลยเช่นเดียวกัน แม้สินสมรสที่จำเลยฟ้องแย้งจะเป็นสินสมรสอื่นนอกจากที่โจทก์ระบุในคำฟ้องก็ตาม ทั้งนี้เพื่อให้ปัญหาการแบ่งสินสมรสเป็นอันยุติไปพร้อมกับการสิ้นสุดแห่งการสมรสด้วยการหย่า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2291/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทำลายทรัพย์สินหลังหย่า และการลักทรัพย์ในเคหสถาน ศาลฎีกายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ตามบันทึกการหย่าในเรื่องทรัพย์สินระบุว่า บ้านที่เกิดเหตุพร้อมที่ดินที่มีชื่อร่วมกันจำเลยยอมยกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้เสียหายเพียงผู้เดียว จำเลยจึงย่อมรู้แก่ใจดีว่าบ้านเกิดเหตุพร้อมที่ดินเป็นของผู้เสียหายไปแล้ว จำเลยหามีสิทธิกระทำการใดอันจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อบ้านดังกล่าวไม่ การที่จำเลยตะโกนเรียกให้ผู้เสียหายเปิดประตูรับจำเลยในยามวิกาลทั้งที่ความสัมพันธ์ฉันสามีภริยาระหว่างผู้เสียหายกับจำเลยหมดสิ้นไปแล้ว แต่ผู้เสียหายไม่ยอมเปิดประตูจำเลยจึงขึ้นไปชั้นบนของบ้านแล้วใช้ขวานทุบและฟันลูกบิดประตูห้องนอนของผู้เสียหายจนชำรุดใช้การไม่ได้ และยังใช้มีดฟันวงกบและงัดบานประตูไม้ชั้นล่างและกลอนประตูจนหลุด จึงเป็นการกระทำโดยเจตนาทำลายวงกบบานประตู กลอนและลูกบิดประตูเพื่อให้จำเลยผ่านเข้าไปในบ้านและห้องนอนของผู้เสียหายได้ ความเสียหายดังกล่าวเกิดขึ้นจากการกระทำโดยรู้สำนึกและประสงค์ต่อผลตามเจตนาของจำเลย จำเลยจึงมีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6310/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิผู้จัดการมรดก, การยอมรับข้อเท็จจริง, ทรัพย์สินที่ได้มาจากการอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาหลังหย่า
แม้คดีเริ่มต้นด้วยคำร้องขออันเป็นการใช้สิทธิทางศาลซึ่งเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทแต่เมื่อผู้คัดค้านยื่นคำร้องคัดค้าน จึงชอบที่จะต้องดำเนินคดีไปตามบทบัญญัติว่าด้วยคดีอันมีข้อพิพาทตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 188(4) เมื่อข้อเท็จจริงอันเป็นประเด็นแห่งคดีที่ผู้ร้องยกขึ้นกล่าวอ้างในคำร้องขอนั้นผู้คัดค้านมิได้ปฏิเสธ จึงต้องถือว่าผู้คัดค้านยอมรับข้อเท็จจริงนี้แล้วและหาเกิดเป็นประเด็นข้อพิพาทที่ผู้ร้องจะต้องนำสืบไม่
ผู้ร้องเป็นทายาทโดยธรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1629(2) แม้จะปรากฏข้อกล่าวอ้างในทางนำสืบของผู้ร้องว่าทรัพย์สินบางรายการในบัญชีทรัพย์มรดกของผู้ตายเป็นของผู้ร้องซึ่งเพียงแต่ใส่ชื่อผู้ตายถือกรรมสิทธิ์แทน ก็จะถือว่าผู้ร้องกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดกของผู้ตายอันเป็นพฤติการณ์ที่ไม่เหมาะสมหาได้ไม่ เพราะหากความจริงเป็นประการใดก็ย่อมจะก่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้เกี่ยวข้องอีกทั้งเป็นเรื่องในชั้นจัดการแบ่งปันมรดกซึ่งเป็นอีกขั้นตอนหนึ่งและสำหรับผู้คัดค้านนั้น เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าแม้ผู้คัดค้านและผู้ตายจดทะเบียนหย่าต่อกัน แต่ภายหลังก็อยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยาจนกระทั่งผู้ตายถึงแก่ความตายทรัพย์สินที่มีอยู่จึงอาจเป็นทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกันระหว่างผู้คัดค้านกับผู้ตาย จึงชอบที่จะว่ากล่าวกันในชั้นจัดการแบ่งปันมรดก
ผู้ร้องเป็นทายาทโดยธรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1629(2) แม้จะปรากฏข้อกล่าวอ้างในทางนำสืบของผู้ร้องว่าทรัพย์สินบางรายการในบัญชีทรัพย์มรดกของผู้ตายเป็นของผู้ร้องซึ่งเพียงแต่ใส่ชื่อผู้ตายถือกรรมสิทธิ์แทน ก็จะถือว่าผู้ร้องกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดกของผู้ตายอันเป็นพฤติการณ์ที่ไม่เหมาะสมหาได้ไม่ เพราะหากความจริงเป็นประการใดก็ย่อมจะก่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้เกี่ยวข้องอีกทั้งเป็นเรื่องในชั้นจัดการแบ่งปันมรดกซึ่งเป็นอีกขั้นตอนหนึ่งและสำหรับผู้คัดค้านนั้น เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าแม้ผู้คัดค้านและผู้ตายจดทะเบียนหย่าต่อกัน แต่ภายหลังก็อยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยาจนกระทั่งผู้ตายถึงแก่ความตายทรัพย์สินที่มีอยู่จึงอาจเป็นทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกันระหว่างผู้คัดค้านกับผู้ตาย จึงชอบที่จะว่ากล่าวกันในชั้นจัดการแบ่งปันมรดก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2971/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาระหน้าที่บิดามารดาในการอุปการะเลี้ยงดูบุตรหลังหย่า แม้มิได้ตกลงในบันทึกข้อตกลง ศาลยังคงมีอำนาจกำหนดค่าเลี้ยงดูได้
บันทึกข้อตกลงหลังทะเบียนการหย่ามิได้กล่าวว่าให้อำนาจปกครองบุตรอยู่กับโจทก์หรือจำเลย กรณีต้องถือว่าโจทก์จำเลยต่างเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรร่วมกันตามมาตรา 1566 วรรคหนึ่งส่วนมาตรา 1522 วรรคหนึ่งนั้น มีความหมายเพียงว่าในการหย่าโดยความยินยอม สามีและภริยาอาจตกลงกันในบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่าว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ออกเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรเป็นจำนวนเท่าใด หากมิได้กำหนดศาลก็ย่อมเป็นผู้กำหนดจำนวนเงินให้ได้ตามสมควรตามมาตรา 1522 วรรคสอง เมื่อข้อความตามบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนหย่า ไม่ใช่ข้อตกลงเรื่องออกเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรเป็นจำนวนเท่าใด ดังนั้นศาลจึงมีอำนาจกำหนดให้จำเลยออกค่าอุปการะเลี้ยงดูได้ และหลังจดทะเบียนหย่าในปี 2537 จำเลยมิได้ให้ค่าอุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์ โจทก์จึงเรียกให้จำเลยรับผิดจ่ายเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรย้อนหลังตั้งแต่ปี 2537จนถึงวันฟ้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2039/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบอกล้างสัญญาระหว่างสามีภริยาที่ทำขึ้นก่อนหย่า และสิทธิในการเรียกร้องทรัพย์สินหลังหย่า
บันทึกข้อตกลงตามรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารหมาย จ.5 แม้จะมีข้อตกลงว่าโจทก์และจำเลยตกลงหย่ากัน แต่ตราบใดที่ยังไม่ไปจดทะเบียนหย่าก็ต้องถือว่าโจทก์จำเลยยังเป็นสามีภริยากันเมื่อมีข้อตกลงเกี่ยวกับ ทรัพย์สินด้วย จึงเป็นสัญญาที่เกี่ยวกับทรัพย์สินที่ได้ทำไว้ต่อกันในระหว่างเป็นสามีภริยากัน ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกล้างเสียในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันอยู่หรือภายในกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ขาดจากการเป็นสามีภริยากันก็ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1469
โจทก์ฟ้องขอหย่า การที่จำเลยยื่นคำให้การและฟ้องแย้งอ้างว่าบอกเลิกสัญญาที่เกี่ยวกับทรัพย์สินที่โจทก์จำเลย ได้ทำไว้ต่อกันในระหว่างเป็นสามีภริยากันแล้วย่อมถือได้ว่าคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยเป็นการแสดงเจตนา บอกล้างไปในตัว และเป็นการบอกล้างในขณะเป็นสามีภริยากันอยู่ยังไม่มีคำพิพากษาให้หย่าขาดจากกัน ถือได้ว่าบันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.5 ดังกล่าว จำเลยได้มีการบอกล้างแล้ว จึงไม่มีผลบังคับแก่โจทก์จำเลยอีก ศาลจึงไม่อาจพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 500,000 บาท เกี่ยวกับบันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.5 ให้แก่โจทก์ได้ หากโจทก์มีสิทธิเกี่ยวกับทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาอย่างไรก็ชอบที่จะไปว่ากล่าวแก่กันตามสิทธิต่อไป
จำเลยซึ่งเป็นสามีโจทก์มีฐานะดี ส่วนโจทก์ประกอบอาชีพเป็นพนักงานขายของประจำห้างสรรพสินค้า มีเงินเดือนเพียงเดือนละประมาณ 4,000 บาท โจทก์ยังต้องเช่าบ้านอยู่ การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากกันและให้บุตรผู้เยาว์อยู่ในความปกครองและอุปการะเลี้ยงดูของจำเลยฝ่ายเดียวโดยไม่ให้โจทก์ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งสองให้จำเลยชอบแล้ว
โจทก์ฟ้องขอหย่า การที่จำเลยยื่นคำให้การและฟ้องแย้งอ้างว่าบอกเลิกสัญญาที่เกี่ยวกับทรัพย์สินที่โจทก์จำเลย ได้ทำไว้ต่อกันในระหว่างเป็นสามีภริยากันแล้วย่อมถือได้ว่าคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยเป็นการแสดงเจตนา บอกล้างไปในตัว และเป็นการบอกล้างในขณะเป็นสามีภริยากันอยู่ยังไม่มีคำพิพากษาให้หย่าขาดจากกัน ถือได้ว่าบันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.5 ดังกล่าว จำเลยได้มีการบอกล้างแล้ว จึงไม่มีผลบังคับแก่โจทก์จำเลยอีก ศาลจึงไม่อาจพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 500,000 บาท เกี่ยวกับบันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.5 ให้แก่โจทก์ได้ หากโจทก์มีสิทธิเกี่ยวกับทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาอย่างไรก็ชอบที่จะไปว่ากล่าวแก่กันตามสิทธิต่อไป
จำเลยซึ่งเป็นสามีโจทก์มีฐานะดี ส่วนโจทก์ประกอบอาชีพเป็นพนักงานขายของประจำห้างสรรพสินค้า มีเงินเดือนเพียงเดือนละประมาณ 4,000 บาท โจทก์ยังต้องเช่าบ้านอยู่ การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากกันและให้บุตรผู้เยาว์อยู่ในความปกครองและอุปการะเลี้ยงดูของจำเลยฝ่ายเดียวโดยไม่ให้โจทก์ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งสองให้จำเลยชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1376/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งสินสมรสหลังหย่า: ศาลฎีกาแก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้เป็นไปตามเดิม เนื่องจากเห็นควรให้แบ่งสินสมรสเป็นธรรม
โจทก์จำเลยเคยเป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย ต่อมาหย่าขาดกัน โจทก์และจำเลยพิพาทเกี่ยวกับที่ดินและบ้านพิพาทซึ่งเป็นสินสมรสมีราคา 750,000 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าให้จำเลยแบ่งแก่โจทก์กึ่งหนึ่งเป็นเงิน 375,000 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยแบ่งแก่โจทก์หนึ่งในสามเป็นเงิน 250,000 บาท โจทก์ฎีกาขอให้พิพากษาให้จำเลยแบ่งที่ดินและบ้านพิพาทแก่โจทก์กึ่งหนึ่งตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ดังนี้ทุนทรัพย์พิพาทกันในชั้นฎีกาเป็นเงิน 125,000 บาท แม้ไม่เกินสองแสนบาทก็ไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงเพราะเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในครอบครัว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1000/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจปกครองบุตรหลังหย่า: ข้อตกลงในทะเบียนหย่าสำคัญกว่าการเลี้ยงดูโดยข้อเท็จจริง
โจทก์จำเลยจดทะเบียนหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากันโดยมีบันทึกข้อตกลงเป็นหนังสือท้ายทะเบียนหย่าให้โจทก์ซึ่งเป็นบิดาเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ทั้งสองเพียงผู้เดียว กรณีต้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1520 วรรคหนึ่ง เมื่อศาลยังไม่ได้สั่งเพิกถอนอำนาจปกครองของโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1582 วรรคหนึ่งแล้วโจทก์จึงเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1566(6) ข้อตกลงตาม สัญญาหย่าระบุเพียงให้จำเลยไปมาหาสู่บุตรผู้เยาว์ทั้งสองได้ ตลอดเวลา หามีข้อตกลงให้จำเลยรับบุตรผู้เยาว์ทั้งสองไปอุปการะเลี้ยงดูไม่ จำเลยจึงไม่มีสิทธิที่จะนำบุตรผู้เยาว์ทั้งสองไปอยู่ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8087/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจปกครองบุตรหลังหย่า: พิจารณาความเหมาะสมของผู้เลี้ยงดู โดยคำนึงถึงสภาพแวดล้อมและประโยชน์สูงสุดของบุตร
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากกันและให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียว จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง เมื่อจำเลยเป็นผู้เหมาะสมที่จะเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองผู้เยาว์ยิ่งกว่าโจทก์ แม้มิได้ฟ้องแย้ง ศาลก็มีอำนาจชี้ขาดให้จำเลยเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์หลังการหย่าได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5418/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สินสมรส: การชำระหนี้ครบถ้วนในคดีหย่า ทำให้ไม่สามารถบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินสินสมรสได้อีก
ในคดีก่อนศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่า ที่ดินแปลงพิพาทไม่ใช่ทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ในคดีนี้ หากแต่เป็นทรัพย์สินที่โจทก์กับ ธ. ซึ่งเป็นสามีซื้อมาในระหว่างสมรสแล้วใส่ชื่อจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นน้อง ธ. ไว้แทนจึงเป็นสินสมรส เมื่อโจทก์กับ ธ. หย่ากันจึงต้องแบ่งที่ดินแปลงพิพาทให้โจทก์กึ่งหนึ่ง ถ้าไม่ยอมแบ่งก็ให้นำที่ดินออกขายทอดตลาดแล้วนำเงินมาแบ่งให้โจทก์กึ่งหนึ่ง ซึ่งในการแบ่งทรัพย์สินที่ดินแปลงนี้ก็มีปัญหาขึ้นมาสู่ศาลในชั้นบังคับคดีและศาลฎีกาได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาดว่า เมื่อโจทก์ขอแบ่งสินสมรสโดยระบุจำนวนราคาสินสมรสมาในคำฟ้องและ ธ. ยอมแบ่งสินสมรสตามจำนวนเงินที่ระบุมาในคำฟ้องแก่โจทก์ ถือได้ว่า ธ. ได้ปฏิบัติการชำระหนี้ถูกต้องตามคำพิพากษาแล้ว ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 271 โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาย่อมไม่อาจที่จะร้องขอให้ขายทอดตลาดเพื่อบังคับคดีตามคำพิพากษาได้อีกต่อไป ในคดีนี้โจทก์มาฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 โอนที่พิพาทซึ่งเป็นสินสมรสในคดีเดิมให้โจทก์กึ่งหนึ่ง ดังนี้ แม้โจทก์จะชนะคดีนี้ในชั้นฎีกา โจทก์ก็ไม่สามารถบังคับคดีเอาแก่ที่พิพาทได้ คดีของโจทก์จึงไม่มีประโยชน์ที่ศาลฎีกาจะพิจารณาต่อไป แต่การจะจำหน่ายคดีไปโดยให้คงคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองที่พิพากษาให้จำเลยที่ 1 โอนที่พิพาทคืนโจทก์กึ่งหนึ่งไว้ก็เป็นการไม่ชอบเพราะเท่ากับให้โจทก์บังคับคดีเอาแก่ที่พิพาทได้อีก จึงเห็นสมควรยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 และคำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมที่ 1 ถึงที่ 3