คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
หลบหนี

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 297 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7285/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจอดรถในที่มืดโดยไม่เปิดสัญญาณไฟ และหลบหนีหลังเกิดเหตุ ไม่ผิดตาม พ.ร.บ.จราจร แต่ยังคงมีความผิดฐานประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43(4) และมาตรา 78 วรรคหนึ่ง ประสงค์ที่จะลงโทษผู้ขับขี่ขณะขับรถมิใช่กรณีจอดรถอยู่ การที่จำเลยกระทำโดยประมาทจอดรถยนต์บนถนนในมืดโดยไม่เปิดสัญญาไฟและไม่ทำสัญญาณแสดงว่ามีรถยนต์จอดอยู่ เป็นเหตุให้ผู้ตายซึ่งขับรถจักรยานยนต์ซ้อนท้ายกันมาชนท้ายรถยนต์ของจำเลย แล้วจำเลยหลบหนีไป จึงไม่เป็นความผิดตาม มาตรา 43(4),78 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6709/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ยานพาหนะที่ใช้ในการหลบหนีหลังลักทรัพย์ ไม่เป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำผิด จึงไม่ริบได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกับพวกใช้รถจักรยานยนต์ของกลางเป็นยานพาหนะในการบรรทุกยางพารา หลบหนีอันเป็นยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การพาทรัพย์นั้นไป เป็นการบรรยายฟ้องให้ครบองค์ประกอบความผิดตาม ป.อ. มาตรา 336 ทวิ แต่บทบัญญัติมาตรา 336 ทวิ หาได้ให้ถือว่ายานพาหนะนั้นเป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำผิดด้วยไม่
จำเลยใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะในการบรรทุกยางพาราหลบหนี มิได้ความว่า จำเลยได้ใช้รถจักรยานยนต์ดังกล่าวเป็นเครื่องมือหรือเป็นส่วนหนึ่งในการลักทรัพย์ เมื่อรถจักรยานยนต์ของกลางไม่ใช่ทรัพย์ที่จำเลยใช้ในการกระทำผิดฐานลักทรัพย์โดยตรง จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่ศาลมีอำนาจสั่งริบตาม ป.อ. มาตรา 33 (1) ศาลย่อมพิพากษาให้คืนรถยนต์ของกลางแก่เจ้าของ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6709/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การริบยานพาหนะที่ใช้ในการหลบหนีหลังก่ออาชญากรรม ไม่ถือเป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำผิดโดยตรง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกับพวกใช้รถจักรยานยนต์ของกลางเป็นพาหนะในการบรรทุกยางพาราหลบหนีอันเป็นยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การพาทรัพย์นั้นไป เป็นการบรรยายฟ้องเพื่อให้ครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336 ทวิ ซึ่งเป็นบทบัญญัติเพื่อเพิ่มโทษหากผู้กระทำผิดใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิดหรือพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อให้พ้นการจับกุม แต่บทบัญญัติดังกล่าวก็มิได้บัญญัติให้ถือว่ายานพาหนะนั้นเป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำผิดด้วย ดังนั้น การที่จำเลยใช้รถจักรยานยนต์ของกลางในการบรรทุกยางพาราหลบหนี ก็มิได้หมายความว่าจำเลยใช้รถจักรยานยนต์ของกลางเป็นเครื่องมือหรือเป็นส่วนหนึ่งในการลักทรัพย์ รถจักรยานยนต์ของกลางจึงไม่ใช่ทรัพย์ที่จำเลยใช้ในการกระทำผิดฐานลักทรัพย์โดยตรง ไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่ศาลมีอำนาจสั่งริบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 33(1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2228/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลยชอบด้วยกฎหมายเมื่อจำเลยทราบวันนัดแต่ไม่มาศาล และสงสัยว่าหลบหนี
ในวันนัดพิจารณาครั้งสุดท้ายวันที่ 15 มิถุนายน 2542ทนายจำเลยมอบฉันทะให้เสมียนทนายมาศาล เมื่อเสร็จการพิจารณาศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 15 กรกฎาคม2542 ซึ่งเสมียนทนายได้ทราบวันนัดแล้ว การที่เสมียนทนายทราบวันนัดต้องถือว่าจำเลยทราบวันนัดนั้นด้วย เมื่อถึงวันนัดจำเลยไม่มาศาล เพียงแต่ทนายจำเลยมอบฉันทะให้เสมียนทนายนำคำร้องมาขอเลื่อนโดยอ้างว่าจำเลยไปต่างประเทศ เป็นกรณีที่จำเลยไม่มาศาลโดยไม่มีเหตุสมควร สงสัยได้ว่าจำเลยหลบหนีหรือจงใจไม่มาฟังคำพิพากษา การที่ศาลชั้นต้นออกหมายจับและให้นัดฟังคำพิพากษาวันที่ 18 สิงหาคม 2542 เมื่อถึงวันนัดซึ่งพ้นหนึ่งเดือนแล้วไม่ได้ตัวจำเลยมาได้อ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลย จึงเป็นการอ่านคำพิพากษาโดยชอบและถือว่าจำเลยได้ฟังคำพิพากษาแล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 182 วรรคสาม ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6813/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การร่วมกันขายเมทแอมเฟตามีน แม้ไม่ได้เจรจาโดยตรง แต่มีส่วนรู้เห็นและหลบหนีถือเป็นตัวการ
เจ้าพนักงานตำรวจผู้ล่อซื้อได้เจรจาซื้อขายเมทแอมเฟตามีนกับจำเลยที่ 1 เสร็จเรียบร้อยโดยตกลงซื้อจำนวน 1,000 เม็ด และได้รับมอบห่อเมทแอมเฟตามีนมาแล้วโดยตกลงไปจ่ายเงินกันที่ปั๊มน้ำมันที่กำหนดซึ่งจำเลยที่ 1 ให้ ศ. ไปรับเงินแทนถือเป็นการตกลงซื้อขายและส่งมอบเมทแอมเฟตามีนอันเป็นการขายตามคำนิยามศัพท์ พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทฯ แล้ว หาใช่เป็นการตระเตรียมการหรือกำลังจะซื้อขายเท่านั้น ส่วนการชำระเงินหาใช้ข้อสำคัญไม่
การที่จำเลยที่ 2 มาพร้อมกับจำเลยที่ 1 โดยนำเมทแอมเฟตามีนมาด้วยและร่วมวงเจรจาซื้อขายกัน แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 มีส่วนในการติดต่อรวบรวมซื้อขายร่วมกับจำเลยที่ 1 เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจเข้าจับกุม จำเลยที่ 2 ก็ได้วิ่งหลบหนีไปจากที่เกิดเหตุ ในชั้นจับกุมจำเลยที่ 2 ก็ให้การรับสารภาพพฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 เป็นการร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 ในลักษณะเป็นตัวการแบ่งหน้าที่กันทำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 602/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ชิงทรัพย์ต่อเนื่องจากการลักทรัพย์: การยื้อแย่งไม้กวาดและทำร้ายร่างกายผู้เสียหายเพื่อหลบหนีถือเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์
การที่จำเลยที่ 1 ยื้อแย่งไม้กวาดจากผู้เสียหายที่ 2 และเหวี่ยงกันไปมาโดยจำเลยที่ 1 ทำหน้าตาและส่งเสียงข่มขู่จะทำร้ายผู้เสียหายที่ 2 และการเหวี่ยงไปมาขณะแย่งไม้กวาด เป็นเหตุให้ข้อมือของผู้เสียหายที่ 2 ได้รับบาดเจ็บถือได้ว่าเป็นการใช้กำลังประทุษร้ายอันเป็นกรณีที่ต่อเนื่องกับการที่จำเลยทั้งสองเข้าไปลักทรัพย์ในบ้านของผู้เสียหาย ทั้งนี้ เพื่อสะดวกแก่การพาทรัพย์นั้นไปและเพื่อให้พ้นจากการจับกุม จึงเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5615/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ละเมิดอำนาจศาล: นำยาเสพติดเข้าบริเวณศาล และการหลบหนีหลังถูกตรวจพบ
ผู้ถูกกล่าวหานำเมทแอมเฟตามีนเข้าไปที่หน้าห้องควบคุมตัวผู้ต้องขังของศาลซึ่งอยู่ในบริเวณศาลอันเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลอันเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31(1),33 ประกอบกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5118/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบรรยายฟ้องความผิดฐานหลบหนีหลังเกิดอุบัติเหตุ ต้องระบุถึงผลกระทบต่อผู้เสียหายหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าไม่จำเป็น
กรณีที่ต้องบรรยายฟ้องว่า การไม่ปฏิบัติตามมาตรา 78 เป็นเหตุให้บุคคลอื่นได้รับอันตรายสาหัสหรือตาย เป็นกรณีที่โจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกฯ มาตรา 160 วรรคสอง แต่คดีนี้ฟ้องโจทก์ข้อ ข. กล่าวว่า "เมื่อจำเลยได้ขับรถจักรยานยนต์ก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลและทรัพย์สินของผู้อื่นดังกล่าวในฟ้องข้อ 1(ก) แล้วจำเลยได้หลบหนีไปทันทีไม่ให้ความช่วยเหลือตามสมควรและไม่ไปแสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันที อันเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบกฯ" และคำขอท้ายฟ้องโจทก์อ้างว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกฯ มาตรา 78,160 เป็นการบรรยายฟ้องและอ้างมาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิด เป็นฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)(6) เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ ศาลย่อมพิพากษาลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกฯ มาตรา 160 วรรคหนึ่งได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3983/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวเกินกว่ากรณีที่จำเป็น เมื่อผู้ถูกทำร้ายยังไม่ได้ลงมือทำร้าย และมีโอกาสหลบหนี
แม้ข้อเท็จจริงจะรับฟังได้ว่าผู้ตายจะใช้อาวุธมีดทำร้ายจำเลย ซึ่งจำเลยย่อมมีสิทธิป้องกันตัวได้ แต่ก็ไม่ปรากฏว่ามีการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งให้เห็นชัดแจ้งว่าผู้ตายได้ลงมือใช้อาวุธมีดแทงทำร้ายจำเลย การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงสวนผู้ตายไปในขณะนั้นโดยมีโอกาสจะหลบหนีได้เช่นเดียวกับเพื่อนจำเลยที่หลบหนีไปก่อนเกิดเหตุ ประกอบกับการที่จำเลยเลือกยิงผู้ตายที่ศีรษะซึ่งเป็นส่วนสำคัญของร่างกาย โดยมีโอกาสที่จะเลือกยิงร่างกายส่วนอื่นของผู้ตายได้ถือได้ว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ แต่เป็นการป้องกันเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 69

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 362/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์และการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย จำเลยไม่มีความผิดฐานไม่ให้ความช่วยเหลือ
จำเลยขับรถบรรทุกคนโดยสารโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้ตายซึ่งนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ตกลงจากรถจักรยานยนต์แล้วถูกรถของจำเลยแล่นทับถึงแก่ความตายทันทีตรงที่เกิดเหตุ หลังเกิดเหตุจำเลยได้แสดงตัวต่อเจ้าพนักงานตำรวจ และมอบใบสั่งของเจ้าพนักงานตำรวจจราจรกับบัตรประจำตัวประชาชนแก่เจ้าพนักงานตำรวจดังกล่าวตรงที่เกิดเหตุ ซึ่งเจ้าพนักงานตำรวจได้ควบคุมตัวจำเลยไว้ ต่อมาจำเลยขออนุญาตเจ้าพนักงานตำรวจไปโทรศัพท์แล้วหลบหนีไป เมื่อข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยสะบัดมือแล้วหลบหนีไปทันที รูปคดีจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยไม่ให้ความช่วยเหลือตามสมควร และไม่แจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันที จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานขับรถในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นแล้วไม่ให้ความช่วยเหลือตามสมควร และแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันที
of 30