พบผลลัพธ์ทั้งหมด 56 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6116/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการรวมโทษจำคุกหลายกระทง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 และการลงโทษจำคุกตลอดชีวิต
บทบัญญัติตาม ป.อ. มาตรา 91(3) หมายความว่ากรณีที่จำเลยกระทำผิดหลายกรรมต่างกัน ศาลต้องลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป แต่เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว โทษจำคุกทั้งสิ้นต้องไม่เกิน 50 ปี เว้นแต่กรณีศาลลงโทษจำคุกตลอดชีวิต และคำว่า"เว้นแต่กรณีศาลลงโทษจำคุกตลอดชีวิต" นั้น หมายความว่า หากความผิดกระทงใดกระทงหนึ่งมีโทษที่จะลงแก่จำเลยจริง ๆ เป็นโทษจำคุกตลอดชีวิตแล้วเมื่อนำเอาโทษจำคุกที่มีกำหนดเวลาในกระทงอื่นมารวมศาลคงลงโทษจำเลยได้เพียงจำคุกตลอดชีวิตอย่างเดียวเท่านั้น คดีนี้สำหรับความผิดกระทงแรกของจำเลยที่ 2 ฐานพยายามฆ่าผู้อื่นนั้น ศาลได้วางโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ตลอดชีวิต แต่เมื่อมีการลดโทษให้จำเลยที่ 2 แล้วคงเหลือโทษจำคุกจำเลยที่ 2 เพียง 40 ปี จึงอยู่ในเกณฑ์ที่จะนำเอาโทษในความผิดฐานมีและพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับใบอนุญาตอันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ มารวมลงโทษแก่จำเลยที่ 2เป็นจำคุกทั้งสิ้น 41 ปี 7 เดือน 6 วัน ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5199/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดต่อเนื่องหลายกระทง: เจตนาแยกจากกันถือเป็นความผิดคนละกระทง แม้กระทำต่อเนื่อง
ความผิดที่กระทำต่อเนื่องอาจเป็นความผิดหลายกระทงได้ หากได้ความว่าผู้กระทำผิดมีเจตนาหลายอย่างแต่ละอย่างเป็นความผิดที่สมบูรณ์แยกจากกันได้
จำเลยฉีกธงชาติไทยอันมีความหมายถึงรัฐเพื่อเหยียดหยามประเทศชาติ และยังใช้ไม้ตีทุบเกศเศียร พระพุทธรูปอันเป็นที่เคารพในทางศาสนาของพุทธศาสนิกชนอันเป็นการเหยียดหยามศาสนา อันเป็นคนละเจตนา แต่ละเจตนาเป็นความผิดในตัวเองแยกจากกันเป็นความผิดคนละกระทง แม้กระทำต่อเนื่องกัน และแต่ละกระทงดังกล่าวคือเจตนาในการทำให้เสียทรัพย์เช่นเดียวกัน จึงเป็นความผิดหลายบทในแต่ละกระทงกล่าวคือ จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 118, 360, 90กระทงหนึ่ง และมาตรา 206, 360 ทวิ, 90 อีกกระทงหนึ่ง
จำเลยฉีกธงชาติไทยอันมีความหมายถึงรัฐเพื่อเหยียดหยามประเทศชาติ และยังใช้ไม้ตีทุบเกศเศียร พระพุทธรูปอันเป็นที่เคารพในทางศาสนาของพุทธศาสนิกชนอันเป็นการเหยียดหยามศาสนา อันเป็นคนละเจตนา แต่ละเจตนาเป็นความผิดในตัวเองแยกจากกันเป็นความผิดคนละกระทง แม้กระทำต่อเนื่องกัน และแต่ละกระทงดังกล่าวคือเจตนาในการทำให้เสียทรัพย์เช่นเดียวกัน จึงเป็นความผิดหลายบทในแต่ละกระทงกล่าวคือ จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 118, 360, 90กระทงหนึ่ง และมาตรา 206, 360 ทวิ, 90 อีกกระทงหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5199/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดต่อเนื่องหลายกระทง: เจตนาแยกต่างหากทำให้เป็นความผิดหลายกระทงได้ แม้กระทำต่อเนื่อง
ความผิดที่กระทำต่อเนื่องอาจเป็นความผิดหลายกระทงได้ หากได้ความว่าผู้กระทำผิดมีเจตนาหลายอย่างแต่ละอย่างเป็นความผิดที่สมบูรณ์แยกจากกันได้ จำเลยฉีกธงชาติไทยอันมีความหมายถึงรัฐเพื่อเหยียดหยามประเทศชาติ และยังใช้ไม้ตีทุบเกศเศียร พระพุทธรูปอันเป็นที่เคารพในทางศาสนาของพุทธศาสนิกชนอันเป็นการเหยียดหยามศาสนา อันเป็นคนละเจตนา แต่ละเจตนาเป็นความผิดในตัวเองแยกจากกันเป็นความผิดคนละกระทง แม้กระทำต่อเนื่องกัน และแต่ละกระทงดังกล่าวคือเจตนาในการทำให้เสียทรัพย์เช่นเดียวกัน จึงเป็นความผิดหลายบทในแต่ละกระทงกล่าวคือ จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 118,360,90กระทงหนึ่ง และมาตรา 206,360 ทวิ,90 อีกกระทงหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5009/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวผิดหลายกระทง ลิขสิทธิ์: แม้ฟ้องแยกกระทง แต่เจตนาเดียวกัน ศาลลงโทษเพียงกระทงเดียว
การที่จำเลยให้เช่า ให้เช่าซื้อ ขายหรือเสนอขาย เสนอให้เช่าหรือเสนอให้เช่าซื้อภาพยนตร์วีดีโอเทปจำนวนสองเรื่อง โดยรู้อยู่แล้วว่าภาพยนตร์ดังกล่าวทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นและเจ้าของลิขสิทธิ์มิใช่บุคคลคนเดียวกัน การกระทำของจำเลยก็เป็นความผิดในลักษณะอย่างเดียวกัน เจ้าพนักงานจับกุมจำเลยได้พร้อมภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องในวันเวลาเดียวกัน ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนากระทำความผิดอันเดียวกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวแม้โจทก์จะฟ้องเป็นสองกระทงและจำเลยให้การรับสารภาพ ศาลก็ลงโทษจำเลยสองกระทงไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5009/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวผิดหลายกระทงลิขสิทธิ์: แม้ฟ้องแยกกระทง แต่เจตนาและเวลาเกิดเหตุเป็นหนึ่งเดียว ศาลลงโทษเพียงกรรมเดียวได้
การที่จำเลยให้เช่า ให้เช่าซื้อ ขายหรือเสนอขาย เสนอให้เช่าหรือเสนอให้เช่าซื้อภาพยนตร์วีดีโอเทปจำนวนสองเรื่อง โดยรู้อยู่แล้วว่าภาพยนตร์ดังกล่าวทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นและเจ้าของลิขสิทธิ์มิใช่บุคคลคนเดียวกัน การกระทำของจำเลยก็เป็นความผิดในลักษณะอย่างเดียวกัน เจ้าพนักงานจับกุมจำเลยได้พร้อมภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องในวันเวลาเดียวกัน ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนากระทำความผิดอันเดียวกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวแม้โจทก์จะฟ้องเป็นสองกระทงและจำเลยให้การรับสารภาพ ศาลก็ลงโทษจำเลยสองกระทงไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5009/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวความผิดเดียวลิขสิทธิ์: แม้ฟ้องหลายกระทง หากจำเลยมีเจตนาและกระทำผิดในคราวเดียวกัน ศาลลงโทษได้เพียงกระทงเดียว
การที่จำเลยให้เช่า ให้เช่าซื้อ ขายหรือเสนอขาย เสนอให้เช่าหรือเสนอให้เช่าซื้อภาพยนตร์วีดีโอเทปจำนวนสองเรื่อง โดยรู้อยู่แล้วว่าภาพยนตร์ดังกล่าวทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นและเจ้าของลิขสิทธิ์มิใช่บุคคลคนเดียวกัน การกระทำของจำเลยก็เป็นความผิดในลักษณะอย่างเดียวกัน เจ้าพนักงานจับกุมจำเลยได้พร้อมภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องในวันเวลาเดียวกัน ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนากระทำความผิดอันเดียวกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวแม้โจทก์จะฟ้องเป็นสองกระทงและจำเลยให้การรับสารภาพ ศาลก็ลงโทษจำเลยสองกระทงไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4022/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาได้หลายกระทง แม้แจ้งข้อหาแรกไปแล้ว หากสอบสวนพบความผิดอื่นเพิ่มเติม โจทก์มีอำนาจฟ้องได้
การแจ้งข้อหาให้จำเลยทราบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134 นั้น หาได้หมายความว่าพนักงานสอบสวนจะต้องแจ้งข้อหาทุกกระทงความผิดไม่ แม้เดิมตั้งข้อหาหนึ่ง แต่เมื่อสอบสวนแล้วปรากฏว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดข้อหาอื่นด้วย ก็เรียกได้ว่ามีการสอบสวนในความผิดข้อหาหลังตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 120 แล้วโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องข้อหาหลัง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2505/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนับโทษต่อเมื่อฟ้องหลายกระทงและจำกัดโทษสูงสุดตามกฎหมาย
คดีนี้กับคดีที่ขอให้นับโทษต่อ โจทก์อาจฟ้องเป็นคดีเดียวกันได้ถ้าโจทก์แยกฟ้องและศาลสั่งให้พิจารณารวมกันศาลก็ลงโทษได้ไม่เกินกำหนดตามประมวลกฎหมายมาตรา 91 หากศาลมิได้สั่งให้พิจารณารวมกันและลงโทษทุกกรรมเต็มตามที่กำหนดในมาตราดังกล่าวทั้งสองสำนวน ศาลก็จะนับโทษต่อไม่ได้ เพราะจะทำให้จำเลยต้องรับโทษเกินกำหนดที่มาตรา 91 บัญญัติไว้ เมื่อคดีที่ขอให้นับโทษต่อ ศาลจำคุก 20 ปีเต็มตามกำหนดในมาตรา 91 คดีถึงที่สุดแล้วและคดีนี้ จำคุก 20 ปี ดังนี้ นับโทษต่อไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3053/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษความผิดอาญาหลายกระทง: ปืนและปล้นทรัพย์ ศาลอุทธรณ์และฎีกาพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ตรี เป็นบทบัญญัติที่เพิ่มโทษของความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 มาตรา 339 ทวิ มาตรา 340 หรือมาตรา 340 ทวิ ส่วนความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ มาตรา 7และมาตรา 8 ทวิ นั้น เป็นความผิดต่างกรรมกัน ซึ่งประมวลกฎมายอาญามาตรา 91 บัญญัติให้ศาลลงโทษทุกกรรมเป็นกระทง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4527/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนับโทษในคดีทุจริตเงินบำนาญพิเศษหลายกระทง หากศาลมิได้รวมการพิจารณาคดี โทษจำคุกรวมอาจเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด
คดีนี้และคดีที่ขอให้นับโทษต่อเป็นเรื่องทุจริตเงินบำนาญพิเศษจากส่วนราชการเดียวกันเพียงแต่อ้างชื่อผู้มีสิทธิรับเงินบำนาญพิเศษต่างรายกันหน่วยราชการซึ่งเป็นผู้เสียหายก็รายเดียวกัน โจทก์อาจฟ้องจำเลยสำหรับการกระทำความผิดในคดีนี้และคดีที่ขอให้นับโทษต่อเป็นคดีเดียวกันได้เพราะโจทก์จำเลยเป็นคนเดียวกัน และพยานหลักฐานน่าจะเป็นชุดเดียวกันเป็นส่วนใหญ่ แต่ถ้าโจทก์แยกฟ้องจำเลยแต่ละกระทงความผิดเป็นรายสำนวนไป และศาลมีคำสั่งให้พิจารณาคดีทุกสำนวนรวมกัน ศาลจะลงโทษจำเลยได้ไม่เกินกำหนดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 เมื่อโจทก์แยกฟ้องคดีนี้กับคดีที่ขอให้นับโทษต่อโดยศาลมิได้สั่งรวมการพิจารณาคดีทั้งสองสำนวนเข้าด้วยกันแล้วศาลลงโทษจำเลยทุกกรรมโดยจำคุกจำเลยเต็มตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 91 ทั้งสองสำนวนแล้ว ศาลก็นับโทษจำเลยต่อกันไม่ได้เพราะจะทำให้จำเลยต้องรับโทษเกินกำหนดที่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 บัญญัติไว้