คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ห้ามอุทธรณ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 84 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9273/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อุทธรณ์คดีอาญาที่ศาลแขวงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง หากไม่มีการอนุญาตโดยชัดเจนตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352 ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง คดีจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 22 ประกอบพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญา ในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. 2520 มาตรา 3 อุทธรณ์ของโจทก์ร่วมกล่าวแต่เพียงว่า พยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมมีน้ำหนักพอที่จะรับฟังได้ว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องเท่านั้น เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามบทบัญญัติดังกล่าว
ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 22 ทวิ แสดงว่าผู้พิพากษาศาลชั้นต้นที่มีอำนาจอนุญาตให้คดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลสูงได้นั้นจะต้องบันทึกข้อความลงไว้ให้ครบหลักเกณฑ์ทั้งสองประการตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายโดยชัดเจนว่า ข้อความที่ตัดสินไปเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลอุทธรณ์ และตนอนุญาตให้อุทธรณ์ได้ดังนั้น การที่ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาคดีนี้ในศาลชั้นต้นสั่งในอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมว่า รับเป็นอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมเช่นนี้ จึงถือไม่ได้ว่ามีการอนุญาตให้โจทก์ร่วมอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงโดยชอบด้วยกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8269/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อเท็จจริงจากคดีอาญาที่คดีแพ่งต้องถือตามต้องวินิจฉัยชี้ขาดโดยตรง และคดีมีทุนทรัพย์ที่ห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
ข้อเท็จจริงในคดีอาญาที่คดีแพ่งจะต้องถือตามดังที่บัญญัติไว้ในป.วิ.อ. มาตรา 46 ต้องเป็นเท็จจริงที่วินิจฉัยไว้โดยตรงในคดีอาญาแล้ว เมื่อคีดดังกล่าวศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงเพียงว่ามีเหตุให้จำเลยเข้าใจโดยสุจริตว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย ที่ดินพิพาทอาจเป็นของจำเลยก็ได้ ยังฟังไม่แจ้งชัดว่าเป็นของโจทก์ ตามพยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยนำสืบเห็นได้ว่าทั้งสองฝ่ายยังโต้เถียงสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท จึงเท่ากับว่าคดีดังกล่าวศาลฎีกายังไม่ได้วินิจฉัยชี้ขาดว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลย
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกที่พิพาทโดยล้อมรั้วในที่ดินที่โจทก์ครอบครองอยู่เป็นเนื้อประมาณ 50 ตารางวา โดยมีเจตนายึดถือเป็นของจำเลย ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนรั้วออกไปและเรียกค่าเสียหาย จำเลยให้การว่าจำเลยล้อมรั้วบริเวณที่ดินที่จำเลยครอบครอง ไม่ได้รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง กรณีเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทจึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ เมื่อที่พิพาทขณะโจทก์ยื่นฟ้องมีราคา 10,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 903/2542 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งไม่อนุญาตยื่นคำให้การไม่ใช่คำสั่งไม่รับคำคู่ความ ห้ามอุทธรณ์ระหว่างพิจารณา
จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตเพราะเห็นว่า การขาดนัดเป็นไปโดยจงใจและไม่มีเหตุสมควรให้ยกคำร้อง คำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวมิใช่คำสั่งไม่รับคำให้การของจำเลย อันถือเป็นคำสั่งไม่รับคำคู่ความตาม ป.วิ.พ. มาตรา 18 แต่เป็นคำสั่งในระหว่างพิจารณาก่อนที่ศาลชั้นต้นจะได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดี จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวในระหว่างพิจารณาคดีตาม มาตรา 226 (1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5334/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์ต้องห้าม เหตุจากข้อที่ยกขึ้นว่ากันแล้ว และการห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามค่าเช่า
การที่จะถือว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วหรือไม่นั้นจะพิจารณาเพียงว่าจำเลย ให้การปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์เรื่องใดบ้างเพียงประการเดียวหาได้ไม่ จะต้องพิจารณารวมถึงเหตุแห่งการปฏิเสธนั้นด้วย จำเลยให้การเพียงว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของตึกแถวพิพาทและจำเลย ไม่เคยได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง แต่จำเลยอุทธรณ์ว่าโจทก์ ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์มิใช่ผู้ให้เช่าตึกแถวพิพาท ไม่มีสิทธิเก็บกินในตึกแถวพิพาท และเจ้าของรวมคนอื่นมิได้มอบอำนาจให้โจทก์ดำเนินการ เป็นการยกเหตุแห่งการปฏิเสธ ข้ออ้างของโจทก์ขึ้นมาใหม่ อันเป็นคนละเหตุกับที่จำเลยให้การไว้ จึงเป็นข้อที่จำเลยมิได้ ยกขึ้นว่ามาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง แม้ศาลชั้นต้นกำหนดค่าเสียหายให้เดือนละ 7,000 บาท ก็ยังถือไม่ได้ว่าเป็นค่าเช่า ของตึกแถวพิพาทในขณะยื่นคำฟ้อง เพราะเป็นเพียงอาจให้เช่าได้ในอัตราดังกล่าวเท่านั้น เมื่อจำเลยทำสัญญาเช่าตึกแถวพิพาทในอัตราค่าเช่าเดือนละ 300 บาท ต้องฟังว่าตึกแถว พิพาทมีค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละ 4,000 บาท จึงต้องห้ามอุทธรณ์ใน ข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 495/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อุทธรณ์ข้อเท็จจริงต้องห้าม หากทุนทรัพย์ไม่เกินเกณฑ์ และการคำนวณค่าเสียหาย
จำเลยอุทธรณ์ว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยโดยซื้อจากโจทก์และจำเลยครอบครองปรปักษ์จนได้กรรมสิทธิ์แล้ว สัญญาเช่าที่ทำไว้กับโจทก์จึงระงับไป เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงซึ่งศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์มิได้ขายที่ดินพิพาทให้จำเลย ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์และจำเลยครอบครองแทนโจทก์ในฐานะผู้เช่าอุทธรณ์ของจำเลยเช่นนี้มิใช่อุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย
จำนวนค่าเสียหายที่จะนำมาคำนวณเป็นทุนทรัพย์นั้นต้องเป็นค่าเสียหายก่อนยื่นคำฟ้อง โจทก์มิได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายก่อนยื่นคำฟ้อง จึงไม่มีจำนวนค่าเสียหายที่จะนำมาคำนวณเป็นทุนทรัพย์ เมื่อคดีนี้ที่ดินพิพาทมีราคา 40,500บาท และทุนทรัพย์ชั้นอุทธรณ์เพียงจำนวนดังกล่าว อุทธรณ์ของจำเลยย่อมต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 224 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 495/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อุทธรณ์ข้อเท็จจริงต้องห้าม หากทุนทรัพย์ไม่เกิน 50,000 บาท และค่าเสียหายยังไม่ถูกฟ้องก่อนยื่น
จำเลยอุทธรณ์ว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยโดยซื้อจากโจทก์และจำเลยครอบครองปรปักษ์จนได้กรรมสิทธิ์แล้ว สัญญาเช่าที่ทำไว้กับโจทก์จึงระงับไป เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงซึ่งศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์มิได้ขายที่ดินพิพาทให้จำเลย ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์และจำเลยครอบครองแทนโจทก์ในฐานะผู้เช่าอุทธรณ์ของจำเลยเช่นนี้มิใช่อุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย จำนวนค่าเสียหายที่จะนำมาคำนวณเป็นทุนทรัพย์นั้นต้องเป็นค่าเสียหายก่อนยื่นคำฟ้อง โจทก์มิได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายก่อนยื่นคำฟ้อง จึงไม่มีจำนวนค่าเสียหายที่จะนำมาคำนวณเป็นทุนทรัพย์ เมื่อคดีนี้ที่ดินพิพาทมีราคา 40,500 บาทและทุนทรัพย์ชั้นอุทธรณ์เพียงจำนวนดังกล่าว จำเลยย่อมต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 224 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 121/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีมีทุนทรัพย์หรือไม่: ศาลพิจารณาจากราคาที่ดินพิพาท หากไม่เกิน 50,000 บาท ห้ามอุทธรณ์ข้อเท็จจริง
นายอำเภอเป็นโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารออกจาก ที่พิพาทซึ่งโจทก์อ้างว่าจำเลยยกให้เป็นสาธารณสมบัติของ แผ่นดิน จำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยไม่ได้ยกที่พิพาทให้ เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ประเด็นที่โต้เถียงกันจึงมีว่า ที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือเป็นของจำเลย หากที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน โจทก์ย่อมมีอำนาจ หน้าที่ครอบครองปกปักรักษาตามกฎหมาย ถ้าจำเลยชนะคดีย่อมมี ผลให้จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาท ประโยชน์ที่โจทก์หรือ จำเลยจะได้รับย่อมเป็นการปลดเปลื้องทุกข์ที่อาจคำนวณเป็น ราคาเงินได้เป็นการพิพาทด้วยเรื่องความเป็นเจ้าของแห่ง ที่พิพาท จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ เมื่อที่พิพาทมีราคา 6,800 บาทราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์จึงไม่เกิน 50,000 บาท คดีจึงต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7065/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งศาลชั้นต้นในการเลือกตั้งกรรมการสุขาภิบาลเป็นที่สุด ห้ามอุทธรณ์ฎีกา
ตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติสุขาภิบาล พ.ศ. 2495ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติสุขาภิบาล (ฉบับที่ 3)พ.ศ. 2528 บัญญัติให้การเลือกตั้งกรรมการสุขาภิบาลให้ใช้วิธีการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลโดยอนุโลมและตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พ.ศ. 2482มาตรา 58 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ศาลเมื่อได้รับคำร้อง คัดค้านแล้ว ให้ดำเนินการพิจารณาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งโดยเร็ว โดยให้เจ้าหน้าที่ ผู้ดำเนินการเลือกตั้งหรือผู้ได้รับเลือกตั้งที่มีส่วนได้เสีย มีโอกาสต่อสู้การคัดค้านนั้นเมื่อศาลสั่งอย่างใดให้แจ้งคำสั่ง ไปยังเทศบาลโดยมิชักช้า คำสั่งศาลนั้นให้เป็นที่สุดซึ่งหมายความว่า เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งอย่างไรเกี่ยวกับการเลือกตั้งกรรมการสุขาภิบาลแล้ว คำสั่งของศาลชั้นต้นเป็นที่สุด คู่ความไม่สามารถอุทธรณ์ฎีกาได้การที่ผู้ร้องอุทธรณ์ฎีกาโต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์และฎีกาของผู้ร้อง และที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ร้องจึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาย่อมไม่รับวินิจฉัย และพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และยกฎีกาของผู้ร้องทั้งสี่ให้บังคับคดีไปตามคำสั่งของศาลชั้นต้น คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาทั้งหมด ให้แก่ผู้ร้องทั้งสี่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6258/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การตีราคาทุนทรัพย์ในคดีพิพาทที่ดิน: ศาลฎีกายกข้อห้ามอุทธรณ์ข้อเท็จจริง ชี้กระบวนการไม่ชอบ
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันปลูกสร้างบ้านพักอาศัยรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ อันเป็นการรบกวนสิทธิของโจทก์โดยมิชอบด้วยกฎหมายขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนอาคารที่พักอาศัยของจำเลยทั้งสองออกไปจากที่ดินของโจทก์และปรับแต่งที่ดินของโจทก์ให้อยู่ในสภาพเดิม กับห้ามจำเลยทั้งสองกระทำซ้ำอีก จำเลยให้การต่อสู้ว่า จำเลยซื้อที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เนื้อที่ 1 งาน 46 ตารางวา จาก อ. แล้วจำเลยปลูกสร้างบ้านเรือนลงบนที่ดินดังกล่าว จำเลยหาได้ปลูกเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ตามฟ้อง และจำเลยทั้งสองได้ครอบครองที่ดินที่ซื้อมาโดยความสงบและโดยเปิดเผยตลอดมา จึงเป็นคำให้การกล่าวแก้ต่อสู้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์เฉพาะตรงที่ดินพิพาทซึ่งโจทก์อ้างว่าจำเลยทั้งสองปลูกสร้างบ้านรุกล้ำ อันถือว่าเป็นคดีฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันคำนวณเป็นราคาเงินได้ในที่ดินพิพาท
การพิจารณาว่าคดีใดจะต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงหรือไม่ต้องถือตาม ป.วิ.พ.มาตรา 224 วรรคหนึ่ง ซึ่งจะต้องให้คู่ความตีราคาทรัพย์ที่พิพาทว่ามีราคาเท่าใด แต่ในชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้น ไม่ปรากฏว่าศาลชั้นต้นสั่งให้คู่ความตีราคาทุนทรัพย์ในที่ดินพิพาทดังกล่าว และในชั้นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ก็มิได้สั่งให้ศาลชั้นต้นดำเนินการดังกล่าว แต่กลับวินิจฉัยคำอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองว่าต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ.มาตรา 224 วรรคสอง โดยเห็นว่าที่ดินพิพาทอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละสี่พันบาท จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความมิได้ฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยและให้พิพากษายกคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการตีราคาทุนทรัพย์ในที่ดินพิพาทตามฟ้องและเรียกเก็บค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์ให้ครบถ้วน แล้วส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4188/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทุนทรัพย์พิพาทไม่เกินห้าหมื่นบาท ต้องห้ามอุทธรณ์ข้อเท็จจริง และการฎีกาในประเด็นที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันในศาลอุทธรณ์
โจทก์ทั้งหกฟ้องโดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าท. ได้ทำพินัยกรรมยกที่พิพาทให้โจทก์ทั้งหกคนละส่วนเท่า ๆ กันคิดราคารวม 205,500 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษา ยกฟ้อง โจทก์ทั้งหก อุทธรณ์ขอให้บังคับตามคำขอท้ายฟ้อง ฉะนั้น ทุนทรัพย์ที่พิพาท ในชั้นอุทธรณ์ของโจทก์แต่ละคนต้องคิดตามส่วนแบ่งของโจทก์ แต่ละคน ไม่ใช่ทุนทรัพย์ที่อุทธรณ์รวมกันมา เมื่อทุนทรัพย์พิพาท ในชั้นอุทธรณ์ของโจทก์แต่ละคนไม่เกินห้าหมื่นบาท จึงต้องห้าม โจทก์ทั้งหกมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง ที่โจทก์ทั้งหกอุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องของ โจทก์ทั้งหกที่ขอให้ส่งพินัยกรรมไปตรวจพิสูจน์อีกครั้งไม่ชอบ และ พินัยกรรมฉบับที่โจทก์ทั้งหกนำมาฟ้องไม่ใช่พินัยกรรมปลอมโจทก์ทั้งหกจึงมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งในปัญหาที่ศาลชั้นต้นสั่งยก คำร้อง ของ โจทก์เพราะได้โต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นไว้แล้วนั้น เป็นการโต้แย้งดุลพินิจที่ว่าศาลชั้นต้นเห็นควรส่งพินัยกรรม ไปตรวจพิสูจน์อีกครั้งหรือไม่ จึงเป็นข้อเท็จจริงซึ่งนำไปสู่ การพิจารณาในข้อกฎหมายว่าโจทก์ทั้งหกมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่ง ของศาลชั้นต้นได้หรือไม่ เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง แม้โจทก์ทั้งหก จะได้โต้แย้งคำสั่งไว้ก็ไม่ก่อให้เกิดสิทธิที่โจทก์ทั้งหก จะอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวได้ เมื่ออุทธรณ์ของโจทก์ทั้งหกในปัญหาที่ว่า พินัยกรรมที่โจทก์ทั้งหกนำมาฟ้องไม่ใช่พินัยกรรมปลอมเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ที่ต้องห้ามไม่ให้อุทธรณ์ การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของ โจทก์ทั้งหกและศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้จึงเป็นการไม่ชอบ ดังนั้นฎีกาของโจทก์ทั้งหกที่ว่าโจทก์ทั้งหกโต้แย้งคำสั่ง ศาลชั้นต้นไว้แล้วและพินัยกรรมที่โจทก์ทั้งหกนำมาฟ้องไม่เป็นพินัยกรรมปลอมจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ต้องห้ามมิให้โจทก์ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
of 9