คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
อาวุธร้ายแรง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 55 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1988/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำเลยป้องกันตนเองจากการถูกทำร้ายด้วยอาวุธร้ายแรง โดยใช้ปืนยิงตอบโต้ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ
ไม้ที่ผู้ตายจะใช้ตีจำเลยมีขนาดใหญ่และยาวพอสมควรที่จะใช้เป็นอาวุธตีจำเลยให้ถึงแก่ความตายได้ และขณะนั้นผู้ตายมีอาการมึนเมาสุราย่อมขาดความยับยั้ง จำเลยกำลังปฏิบัติหน้าที่เป็นยามป้องกันทรัพย์สินของโรงงาน และสัญชาตญาณป้องกันตนเองจำเป็นต้องใช้อาวุธปืนยิงไปทางผู้ตายโดยกะทันหันทันที แม้กระสุนจะถูกผู้ตายที่หน้าอกก็ยังไม่พอฟังว่าจำเลยเลือกยิงตรงหน้าอกเพราะเป็นเวลาฉุกละหุกไม่มีโอกาสที่จำเลยจะเลือกยิงส่วนใดของผู้ตายหรือยิงขู่ได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6106/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิป้องกันตนเองโดยชอบด้วยกฎหมาย: การใช้กำลังเพื่อยับยั้งการทำร้ายด้วยอาวุธร้ายแรง
แม้จำเลยจะเป็นฝ่ายก่อเหตุโดยใช้อาวุธปืนตบหน้า ร. ในบริเวณงาน แต่ก็เลิกกันไปแล้ว จำเลยเดินกลับบ้าน ผู้เสียหายเดินตามไปทันบนสะพานซึ่งอยู่ห่างจากบริเวณงาน 500 เมตร ถือได้ว่าเหตุการณ์ขาดตอนไปแล้ว ทั้งผู้เสียหายไม่ใช่ผู้ที่ถูกจำเลยทำร้ายผู้เสียหายจะทำร้ายจำเลย จำเลยมีสิทธิป้องกันได้ ผู้เสียหายวิ่งเข้ามาใกล้จะถึงตัวจำเลยโดยถืออาวุธมีดปลายแหลมทั้งตัวมีดและด้ามยาวประมาณ 1 ฟุต เพื่อทำร้ายจำเลย เป็นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง แม้จำเลยจะใช้อาวุธปืนยิงไป 4 นัด ก็เป็นการกระทำเพื่อยับยั้งผู้เสียหายที่มีอาวุธร้ายแรงอยู่ในมือ จึงเป็นการกระทำโดยป้องกันพอสมควรแก่เหตุ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5409/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าจากอาวุธร้ายแรงและการกระทำต่อเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่
จำเลยทั้งสองไล่ตามผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 มาถึงที่เกิดเหตุและขณะเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 1 ที่ 2 ได้เข้าไปนั่งรวมอยู่ในกลุ่มของผู้เสียหายที่ 3 ถึงที่ 6 แล้ว จำเลยทั้งสองตามมาถึงโดยอยู่ห่างไปประมาณ 2 วา พร้อมกับใช้อาวุธปืนยิงใส่กลุ่มผู้เสียหายทันที เมื่อปรากฏว่าอาวุธปืนที่ใช้ยิงเป็นอาวุธปืนลูกซองสั้น และยิงในระยะใกล้ชิดเช่นนี้ จำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่ากระสุนปืนอาจถูกผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้ จึงถือได้ว่าจำเลยทั้งสองมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายโดยตรง มิใช่เป็นการกระทำโดยพลาด ผู้เสียหายที่ 3 ที่ 4 เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่งเครื่องแบบถูกยิงขณะที่ได้รับแจ้งจากผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 ว่าถูกคนร้ายไล่ยิง และผู้เสียหายที่ 3 กำลังสอบปากคำผู้เสียหายที่ 1 ที่ 2เพื่อติดตามจับกุมคนร้าย ถือว่าผู้เสียหายที่ 3 ที่ 4 ถูกยิงขณะปฏิบัติหน้าที่ การที่จำเลยทั้งสองไล่ตามผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2มาจนถึงที่เกิดเหตุสามารถมองเห็นผู้เสียหายที่ 3 และที่ 4 ซึ่งแต่งเครื่องแบบตำรวจได้ชัดเจน ก็ย่อมทราบได้ทันทีว่าผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 หลบหนีเพื่อมาขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่จำเลยทั้งสองก็ยังยิงปืนใส่กลุ่มผู้เสียหาย เป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ 6 ถึงแก่ความตาย ผู้เสียหายที่ 4 และที่ 5 ได้รับอันตรายแก่กายสาหัส จำเลยทั้งสองจึงมีความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้เสียหายที่ 6 ร่วมกันพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ 1 ที่ 2 และที่ 5และร่วมกันพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ 3 และที่ 4 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานเพราะเหตุที่จะกระทำการตามหน้าที่ แต่การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท จึงต้องลงโทษฐานฆ่าผู้อื่นอันเป็นบทหนัก ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานเพราะเหตุที่จะกระทำการตามหน้าที่อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(2),80 แต่มิได้ปรับบทลงโทษมาด้วย และที่ศาลชั้นต้นลดโทษที่จะลงแก่จำเลยที่ 1 ก็มิได้ปรับบทตามมาตรา 52(1) เป็นการไม่ถูกต้องชัดแจ้ง แม้โจทก์มิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจวินิจฉัยให้ถูกต้องได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 371/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดพยายามฆ่าจากอาวุธปืนปากกา: เจตนาฆ่าและลักษณะอาวุธร้ายแรง
อาวุธปืนชนิดปากกาที่จำเลยใช้ยิงผู้เสียหาย ลำกล้องปืนมีความยาว 6 นิ้ว หัวปากกาที่เป็นอาวุธปืนกว้างครึ่งนิ้ว มีปุ่มสำหรับง้างขึ้นลำและกดเพื่อยิง มีร่องสปริง เข็มแทงชนวนและเกลียวสำหรับหมุน เข้าออกเพื่อใส่กระสุน มีรูลำกล้องและปากลำกล้องบรรจุกระสุนปืนขนาด .22 เวลาจะยิงต้องดึงสปริง ขึ้นไปค้างไว้แล้วกดปุ่ม ปลดสปริง ให้ดีด ตัวไปดันเข็มแทงชนวน ใช้ยิงในระยะใกล้ ๆบรรจุกระสุนได้ทีละนัด ลักษณะของอาวุธปืนดังกล่าวและการใช้เหมือนอาวุธปืนพก ดังนั้น การที่จำเลยใช้อาวุธปืนนี้บรรจุกระสุนปืนขนาด .22 ยิงผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บ จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 80.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 670/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าและการกระทำโดยไตร่ตรองไว้ก่อน การใช้สิ่งของเป็นอาวุธร้ายแรง
จำเลยใช้วัตถุซึ่งห่อด้วยกระดาษขนาดโตเท่าหัวแม่เท้า ยาวประมาณ 1 แขน ตีผู้ตายที่ศีรษะบริเวณหูขวาซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญ แม้จำเลยตีเพียงครั้งเดียวแต่จำเลยก็ตีโดยแรงเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายในเวลา 1 หรือ 2 ชั่วโมงต่อมาเพราะระบบหายใจล้มเหลวเนื่องจากมีเลือดออกในสมอง ฟังได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตาย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 670/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าจากการทำร้ายด้วยอาวุธร้ายแรงถึงแก่ความตาย
จำเลยใช้วัตถุซึ่งห่อด้วยกระดาษขนาดโตเท่าหัวแม่เท้ายาวประมาณ 1 แขน ตีผู้ตายที่ศีรษะบริเวณหูขวาซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญแม้จำเลยตีเพียงครั้งเดียว แต่จำเลยก็ตีโดยแรง เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายในเวลา 1 หรือ 2 ชั่วโมงต่อมาเพราะระบบหายใจล้มเหลวเนื่องจากมีเลือดออกในสมอง ฟังได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5044/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายด้วยอาวุธร้ายแรงแสดงเจตนาฆ่า พยานหลักฐานสนับสนุนความผิดฐานพยายามฆ่า
จำเลยใช้มีดเหน็บปลายแหลม ใบมีดกว้างประมาณ 4 นิ้วยาวประมาณ 1 ฟุต และด้ามยาวประมาณ 1 คืบ ซึ่งเป็นอาวุธที่ร้ายแรงฟันตรงลงมาที่ศีรษะผู้เสียหายซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญถ้ากระโหลกศีรษะแตกถึงสมองอาจทำให้ถึงตายได้ ทั้งจำเลยยังใช้มีดแทงผู้เสียหายซ้ำอีก แสดงว่ามีเจตนาฆ่า เมื่อผู้เสียหายไม่ตายจึงมีความผิดฐานพยานยามฆ่า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3393/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าจากการทำร้ายด้วยอาวุธร้ายแรงหลายคนร่วมกัน ศาลฎีกาวินิจฉัยถึงการเล็งเห็นผลถึงชีวิต
การที่จำเลยกับพวกหลายคนใช้อาวุธมีดและไม้ท่อนซึ่งเป็นอาวุธขนาดใหญ่อาจทำอันตรายถึงชีวิตได้ กลุ้มรุมทำร้ายผู้ตายมีบาดแผล 8 แห่ง ล้วนเป็นบาดแผลฉกรรจ์ กะโหลกศีรษะบิ่นเป็นแนวยาว และกะโหลกศีรษะแตกร้าว บาดแผลที่สำคัญทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ลึกเข้าช่องอกขวาทะลุปอดและหัวใจแสดงว่าจำเลยกับพวกใช้อาวุธมีด ไม้ ทั้งตี ฟันและแทงผู้ตายอย่างแรงหลายครั้ง ดังนี้ย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นได้ว่าจะทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายได้ จำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกับพวกฆ่าผู้ตายโดยเจตนา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2983/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุจากการใช้อาวุธร้ายแรงต่อสู้กับผู้ที่ไม่มีอาวุธ
ก่อนเกิดเหตุผู้ตายนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์จะกลับบ้านระหว่างทางพบจำเลยขี่รถจักรยานยนต์ตามมา เมื่อเข้าใกล้กันจำเลยได้ทวงหนี้ค่าสุราจากผู้ตาย ผู้ตายเรียกให้จำเลยหยุดรถเพื่อจะใช้เงิน แต่เมื่อเข้ามาจริง ๆ ผู้ตายมีลักษณะโกรธเคือง และพูดว่าต้องสั่งสอน ผู้ตายเดินเข้าไปหาจำเลยเพื่อจะทำร้าย ปรากฏว่าผู้ตายเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ แข็งแรง และอ้วนกว่าจำเลย จำเลยจึงมีสิทธิป้องกันตัวไม่ให้ถูกทำร้าย แต่การป้องกันตัวของจำเลยดังกล่าวจำเลยได้ใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงยิงผู้ตายซึ่งเชื่อว่ามีเพียงมือเปล่าเท่านั้น จึงเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 69

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2100/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าจากพฤติการณ์การทำร้ายด้วยอาวุธร้ายแรง ศาลลดโทษจากเหตุบรรเทา
แม้ไม่ได้ความว่าอาวุธที่จำเลยใช้แทงทำร้ายมีขนาดเท่าใดแต่เมื่อจำเลยแทงผู้เสียหายถึงสองครั้ง ครั้งแรกถูกที่ข้อศอกขวาแล้วจำเลยแทงซ้ำอีก ผู้เสียหายปัดแขนข้างที่จำเลยถืออาวุธอาวุธของจำเลยจึงผ่านท้องมาถูกแขนซ้ายของผู้เสียหายได้รับบาดแผลและจำเลยได้แทงผู้ตายที่หน้าท้องหนึ่งครั้ง บาดแผลลึก 6 นิ้วฟุตเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย แสดงว่าอาวุธที่จำเลยใช้เป็นอาวุธที่ร้ายแรง และจำเลยตั้งใจแทงผู้เสียหายและผู้ตายที่บริเวณลำตัวอันเป็นอวัยวะสำคัญอย่างร้ายแรง จำเลยจึงมีความผิดทั้งฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายและฐานฆ่าผู้ตาย ขณะเกิดเหตุจำเลยอยู่ระหว่างศึกษาเล่าเรียน อายุเพียง 20 ปีจำเลยกระทำผิดโดยมีเจตนาเพียงช่วยพวกของจำเลยในการต่อสู้หลังเกิดเหตุ 4 วัน ก็เข้ามอบตัว และเบิกความในชั้นศาลว่าอยู่ในที่เกิดเหตุด้วยจึงเป็นการลุแก่โทษและเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาของศาล คดีมีเหตุบรรเทาโทษ ควรปรานีลดมาตราส่วนโทษและลดโทษให้จำเลย
of 6