คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
เกินคำขอ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 37 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2206/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีต้องอยู่ภายในข้อหาที่ฟ้อง การพิพากษาเกินคำขอเป็นเหตุให้ศาลต้องกลับคำพิพากษา
โจทก์เพียงแต่ฟ้องคดีและขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินส่วนที่พิพาทในที่ดินของจำเลยเป็นทางภารจำยอมโดยมิได้บรรยายหรือประสงค์ที่จะขอให้ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นด้วยประเด็นแห่งคดีจึงเป็นเรื่องภารจำยอมเท่านั้นการที่ศาลล่างพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นทางจำเป็นผลของคดีจึงเกินคำขอและทำให้ผู้มีสิทธิจะผ่านต้องใช้ค่าทดแทนให้แก่จำเลยเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่เหตุที่มีทางผ่านนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1349วรรคท้ายด้วยจึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6746/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีล้มละลาย: การขอรับชำระหนี้เกินคำขอ และข้อจำกัดการฎีกาในคดีทุนทรัพย์น้อยกว่าสองแสนบาท
คดีล้มละลายในชั้นขอรับชำระหนี้ถือว่าเป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามจำนวนหนี้ที่ขอรับชำระถ้ามีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่งประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ.2483มาตรา153 แม้ตามบัญชีรายละเอียดแห่งหนี้สินค้านหลังคำขอรับชำระหนี้ปรากฎอยู่ในช่องหลักฐานประกอบหนี้ระบุว่าจำนวนเงิน104,000บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ7.5ต่อปีนับแต่วันที่5กุมภาพันธ์2534จนถึงวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดก็ตามแต่ในช่องรายการเจ้าหนี้คงระบุแต่เพียงว่าค่าซื้อสินค้าและในช่องจำนวนเงินก็ระบุจำนวน104,000บาทเท่านั้นโดยหาได้ระบุคำนวณจำนวนดอกเบี้ยไว้ด้วยไม่เมื่อดอกเบี้ยก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เป็นหนี้ที่ขอรับชำระได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ.2483มาตรา100การที่เจ้าหนี้มิได้ระบุจำนวนดอกเบี้ยที่ขอรับชำระหนี้มาเช่นนี้จึงไม่อาจถือว่าเจ้าหนี้ได้ขอรับชำระค่าดอกเบี้ยด้วยที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ดอกเบี้ยแก่เจ้าหนี้ด้วยจึงเกินคำขอ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4877/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนับโทษจำเลยต้องเป็นไปตามคำขอท้ายฟ้อง ศาลพิพากษาเกินคำขอไม่ได้
ฟ้องว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คจำนวน 2 ฉบับ คำขอท้ายฟ้องแต่ละสำนวนไม่ขอให้นับโทษจำเลยต่อ จึงนับโทษต่อกันไม่ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้นับโทษจำเลยแต่ละสำนวนต่อกันจึงไม่ชอบ เพราะเป็นการพิพากษาเกินคำขอ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 173/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องบังคับโอนที่ดินเกินคำขอ ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัย
โจทก์อ้างสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทเป็นพยานเพื่อแสดงข้อเท็จจริงต่อศาลว่า ได้มีการทำสัญญาระหว่าง ว.กับจำเลยที่ 1 ไม่ได้อ้างเพื่อแสดงข้อเท็จจริงว่าเป็นใบรับ จึงไม่ต้องปิดอากรแสตมป์ตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายหมวด 6 แห่งประมวลรัษฎากร ข้อ 28 และไม่ต้องห้ามไม่ให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118
ตามคำขอท้ายฟ้องโจทก์ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ หากไม่ดำเนินการขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระราคาที่ดินที่ ว.ได้ชำระไปพร้อมดอกเบี้ย ฉะนั้นคำขอของโจทก์คือถ้าโอนที่ดินไม่ได้ก็ขอเงินที่ชำระไปคืน โจทก์มิได้ขอให้จำเลยชำระราคาที่ดินในขณะฟ้องการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระราคาที่ดินจำนวน70,100 บาท จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขออันเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยที่ 1 จึงมีสิทธิฎีกาและศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5039/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับขายที่ดินตามสัญญาจะซื้อจะขาย: ศาลพิพากษาเกินราคาสัญญา โจทก์ไม่คัดค้าน ถือมิใช่การพิพากษาเกินคำขอ
โจทก์ขอบังคับให้จำเลยขายที่ดินให้แก่โจทก์ในราคา1,695,620 บาท ตามสัญญาจะซื้อจะขาย ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยขายที่ดินให้แก่โจทก์ในราคาไร่ละ 40,000 บาท เมื่อคิดคำนวณแล้วมากกว่าราคาที่โจทก์จำเลยตกลงกันตามสัญญาจะซื้อจะขายประมาณ 50,000 บาท โจทก์ไม่อุทธรณ์และฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น เป็นการที่จำเลยได้รับประโยชน์ไม่ใช่โจทก์ซึ่งโจทก์ก็รับในคำแก้ฎีกา กรณีจึงไม่ใช่เป็นการพิพากษาเกินคำขอของโจทก์ตามที่จำเลยฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 200/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลอุทธรณ์ในการพิพากษาเกินคำขอเดิม และการวินิจฉัยประเด็นนอกคำคู่ความ
จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยชำระเงินจำนวน350,000 บาทแก่โจทก์ โจทก์แก้อุทธรณ์ทำนองว่า ศาลมีอำนาจพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 350,000 บาทได้ เท่ากับมีประเด็นในชั้นอุทธรณ์เกี่ยวกับการแบ่งสินสมรส เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาเกินคำขอของโจทก์ ศาลอุทธรณ์มีอำนาจพิพากษาให้แบ่งสินสมรสตามคำขอบังคับในฟ้องได้เพราะเป็นการแก้ไขให้ถูกต้องตาม ป.วิ.พ. ว่าด้วยคำพิพากษาที่จะต้องตัดสินตามฟ้องทุกข้อ ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทแต่เพียงว่า จำเลยผิดสัญญาแบ่งทรัพย์สินสมรสหรือไม่ แม้จำเลยจะให้การว่าโจทก์ปิดบังซ่อนเร้นสินสมรสไว้จำนวนหนึ่งมีมูลค่ามากกว่าจำนวนเงิน 350,000 บาท ก็ตามแต่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้และจำเลยมิได้คัดค้านโต้แย้งจึงถือว่าไม่มีประเด็นแห่งคดีในเรื่องการเบียดบังซ่อนเร้นสินสมรส.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3473/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลฎีกาแก้ไขคำพิพากษาเกินคำขอ และการลงโทษฐานชิงทรัพย์
จำเลยถูกฟ้องหลายข้อหาในคดีที่มีข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกันศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลย เมื่อจำเลยฎีกาในข้อหาที่ไม่ต้องห้ามฎีกาหากศาลฎีกาเห็นว่า คดีมีเหตุสงสัยตามสมควรว่าจำเลยไม่ได้เป็นคนร้าย ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาที่ต้องห้ามฎีกาได้ด้วย เมื่อคำฟ้องของโจทก์มิได้บรรยายมาว่าการชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ไม่มีรายงานการตรวจชันสูตรบาดแผลแนบท้ายฟ้องทั้งผู้เสียหายก็มิได้เบิกความว่าได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ดังนี้จำเลยย่อมมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสอง,340 ตรี เท่านั้นการที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 วรรคสาม,340 ตรี จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอของโจทก์ ศาลชั้นต้นปรับบทลงโทษโดยเพียงแต่ระบุมาตรา มิได้ระบุวรรคให้ชัดเจนนั้น แม้จำเลยจะมิได้อุทธรณ์ฎีกาแต่เมื่อคดีขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้วศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้องและชัดเจนได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2433/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวินิจฉัยเขตที่ดินพิพาทเพื่อพิจารณาคำขอขับไล่และการเกินคำขอของโจทก์ การนำสืบเพื่อต่อสู้คดี
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นว่าโจทก์หรือจำเลยมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท การที่จำเลยนำสืบว่าที่พิพาทเป็นที่ดินราชพัสดุก็เพื่อแสดงว่าโจทก์ไม่มีสิทธิครอบครอง สิทธิครอบครองเป็นของจำเลย จำเลยชอบที่จะนำสืบได้ไม่เป็นการนำสืบนอกประเด็นหรือนอกคำให้การ
จำเลยอุทธรณ์เฉพาะข้อกฎหมายว่าโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินโจทก์ เมื่อปรากฏว่าที่พิพาทไม่ใช่ที่ดินโจทก์ ศาลชั้นต้นยังพิพากษาขับไล่จำเลยจึงเป็นการเกินคำขอของโจทก์ ในการพิจารณาข้อกฎหมายว่าศาลชั้นต้นพิพากษาเกินคำขอของโจทก์หรือไม่ศาลอุทธรณ์ต้องฟังข้อเท็จจริงก่อนว่าที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินของโจทก์หรือไม่ หากที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินของโจทก์คำพิพากษาศาลชั้นต้นก็ไม่เกินคำขอ หากอยู่ในที่ดินแปลงอื่นของบุคคลอื่นคำพิพากษาศาลชั้นต้นก็เกินคำขอ ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าที่พิพาทเป็นที่ราชพัสดุคนละแปลงกับที่ดินโจทก์เพื่อที่จะได้วินิจฉัยว่าศาลชั้นต้นพิพากษาเกินคำขอหรือไม่ ก็อยู่ในขอบเขตที่จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ไม่ได้พิพากษาเกินอุทธรณ์แต่อย่างใด.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 375/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และการพิพากษาเกินคำขอ กรณีต่อเติมบ้าน
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินสองแปลงโดยระบุว่าจำเลยเป็นผู้อาศัย จำเลยต่อสู้กรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงหนึ่ง ส่วนอีกแปลงหนึ่งมิได้ต่อสู้กรรมสิทธิ์ ที่ดินแปลงที่จำเลยมิได้ต่อสู้กรรมสิทธิ์นี้เมื่อคำนวณค่าเช่าที่ดินบริเวณใกล้เคียงก็ดี หรือค่าตอบแทนที่จำเลยได้รับจากที่ดินแปลงนี้ก็ดี อาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ 5,000 บาทแล้ว เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คดีเกี่ยวกับที่ดินแปลงนี้ย่อมต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง.
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินและบ้านเลขที่ 6 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินนั้นของโจทก์ เมื่อปรากฏว่าจำเลยต่อเติมบ้านดังกล่าว 1 ห้องนอน เป็นการต่อเติมอย่างถาวร แม้จำเลยจะไปขอเลขบ้านใหม่เป็นบ้านเลขที่ 6/2 ส่วนที่ต่อเติมนี้ย่อมเป็นส่วนควบกับบ้านหลังเดิมและที่ดิน ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ศาลพิพากษาขับไล่จำเลยออกจากบ้านเลขที่ 6/2 ได้ ไม่เกินคำขอ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3887/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ศาลแรงงานพิพากษาเกินคำขอ: การเลิกจ้างไม่เป็นธรรมและการจ่ายค่าชดเชย
คดีที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ไล่โจทก์ออกจากงาน ให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานตามเดิมและจ่ายค่าจ้างในระหว่าง ถูกเลิกจ้าง เป็นการฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522มาตรา49ซึ่งมีประเด็นว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ไม่เป็นธรรมหรือไม่ เมื่อศาลแรงงานกลางเห็นว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะโจทก์ทำผิดระเบียบข้อบังคับของจำเลยไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมแล้ว ศาลแรงงานกลางชอบที่จะพิพากษายกฟ้องโดยไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาอื่น การที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยล่วงเลยไปด้วยว่าความผิดของโจทก์ ไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 47จำเลยจึงต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์โดยที่โจทก์มิได้มีคำขอมาด้วย เป็นการพิพากษาหรือสั่งเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง และไม่ใช่กรณีเพื่อความเป็นธรรมแก่คู่ความซึ่งศาลแรงงานกลางจะมีอำนาจ พิพากษาหรือสั่งเกินคำขอได้ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯมาตรา 52 ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้ไม่มีฝ่ายใดอุทธรณ์ ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯ มาตรา 31
of 4