คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
เนื้อที่

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 43 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 386/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในการขอโอนที่ดินจากการซื้อขายทอดตลาดจำกัดเฉพาะเนื้อที่ที่ซื้อได้จริง แม้มีคำพิพากษาในคดีอื่น
โจทก์ซื้อที่ดินได้จากการขายทอดตลาดของศาล โจทก์ย่อมมีสิทธิขอให้โอนที่ดินเป็นของตนเท่าที่โจทก์ซื้อได้เท่านั้น โจทก์จะอาศัยคำพิพากษาถึงที่สุด ในคดีที่โจทก์ไปร้องขัดทรัพย์มาอ้างขอให้โอนที่ดินเพิ่มเติมนอกเหนือไปจากจำนวนที่โจทก์ซื้อได้จากการขายทอดตลาดข้างต้นหาได้ไม่ เพราะเป็นคนละส่วนกัน โจทก์ขอให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งแปลง ศาลฎีกาย่อมพิพากษาให้โจทก์ได้รับโอนบางส่วนที่โจทก์มีสิทธิได้ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 142(2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2449/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อพิพาทเกี่ยวกับเนื้อที่และราคาที่ดิน ส่งผลต่อการห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ และขับไล่จำเลย จำเลยให้การต่อสู้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย และครอบครองตลอดมา ดังนี้ เป็นการโต้เถียงกันในสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์
แม้โจทก์จะกล่าวมาในฟ้องว่าที่ดินพิพาทที่จำเลยครอบครองมีเนื้อที่ประมาณ28 ไร่เศษ แต่เมื่อในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์และจำเลยขอให้ทำแผนที่พิพาทปรากฏตามแผนที่พิพาทว่าที่ดินพิพาทที่จำเลยครอบครองมีเนื้อที่ 17 ไร่ 1 งาน 45 ตารางวาจึงต้องถือว่าที่ดินพิพาทมีเนื้อที่ 17 ไร่ 1 งาน 45 ตารางวา ในชั้นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1ตีราคาที่ดินพิพาทตามคำให้การของจำเลยในราคาไร่ละ 10,000 บาท ซึ่งโจทก์มิได้คัดค้านและมิได้ฎีกาโต้เถียงราคาทรัพย์ที่พิพาทที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 กำหนดดังกล่าวจึงถือว่าโจทก์ยอมรับในข้อนี้ ดังนี้จึงเป็นคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาเป็นเงิน173,625 บาท หาใช่เนื้อที่ 28 ไร่ เป็นเงิน 280,000 บาทไม่ คดีจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5150/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีตามคำพิพากษาซื้อขายที่ดิน แม้มีข้อโต้แย้งเรื่องเนื้อที่และตำบล แต่ศาลยืนตามคำพิพากษาเดิม
ศาลมีคำพิพากษาให้จำเลยโอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 17419ตำบลพระปฐมเจดีย์ อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐมบางส่วน เนื้อที่ 300 ตารางวา ในราคาตารางวาละ 350 บาทตามรูปแผนที่ท้ายฟ้องให้แก่โจทก์แม้เจ้าพนักงานจะออกใบแทนโฉนดดังกล่าวระบุว่าตำบลสระน้ำจัน แต่รูปแผนที่ยังเหมือนเดิมทุกประการแสดงว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินตามคำพิพากษาดังกล่าว การที่เจ้าพนักงานเขียนตำบลในใบแทนโฉนดที่ดินเปลี่ยนไป อาจเกิดขึ้นโดยคลาดเคลื่อนก็มิใช่ข้อสาระสำคัญ เพราะเจ้าพนักงานสามารถจดทะเบียนให้ได้ เนื่องจากหมายเลขโฉนดตรงกัน สำหรับจำนวนเนื้อที่ 300ตารางวา ตามรูปแผนที่ท้ายฟ้อง แม้คำพิพากษาจะมิได้กำหนดความกว้างและความยาวเอาไว้ แต่ก็ปรากฏชัดอยู่ในแผนที่พิพาทที่โจทก์จำเลยนำชี้แนวเขตซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 299 ตารางวา ที่ดินพิพาทจึงมีเนื้อที่ใกล้เคียงกับที่คู่ความพิพาทกันตามคำพิพากษาดังกล่าวและรูปแผนที่ท้ายฟ้องมากที่สุด คำพิพากษาดังกล่าวจึงอยู่ในวิสัยจะบังคับคดีได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3995/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายที่ดินโดยประมาณ หากรังวัดได้เนื้อที่น้อยกว่า ผู้ซื้อมีสิทธิรับตามส่วน หรือ ปัดเสียได้
โจทก์จำเลยตกลงซื้อที่ดินกันโดยกำหนดเนื้อที่โดยประมาณเพราะจะต้องมีการรังวัดออกโฉนดกันตามสัญญาอีกครั้งจึงจะได้เนื้อที่ดินที่แน่นอน เมื่อรังวัดแล้วได้เนื้อที่ขาดไปจากที่ประมาณไว้ โจทก์ผู้จะซื้อจะรับเอาหรือปัดเสียก็ได้เมื่อโจทก์เลือกจะรับเอาไว้ และใช้ราคาตามส่วน แม้คำขอท้ายฟ้องของโจทก์ขอศาลบังคับให้จำเลยแบ่งแยกที่ดินให้ได้เนื้อที่ 156 ตารางวา และไปดำเนินการออกโฉนดใหม่ให้ได้เนื้อที่ 156 ตารางวา แต่เมื่อสัญญาจะซื้อจะขายตามฟ้องเพียงประมาณเนื้อที่ไว้เท่านั้น ศาลมีอำนาจพิพากษาให้โจทก์ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเนื้อที่ 127 ตารางวา ตามจำนวนซึ่งรังวัดสอบเขตได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2233/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาซื้อขายที่ดินทั้งแปลง แม้เนื้อที่จริงต่างจากที่ตกลง สัญญาผูกพันตามเนื้อที่จริง
โจทก์ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 1318 เฉพาะส่วนที่ติดทางหลวงสายพัฒนาการ - บางนา ด้านทิศตะวันออก ระบุจำนวนเนื้อที่ดินประมาณ 4 ไร่เศษ ราคาตารางวาละ 7,500 บาท จากจำเลยทั้งหก ก่อนทำสัญญาโจทก์ได้ไปดูที่ดินก่อนแล้ว และที่ท้ายสัญญาก็มีแผนที่สังเขปที่ดินพิพาทซึ่งจำลองจากแผนที่หลังโฉนดระบุมาตราส่วนแนบไว้ด้วยดังนี้ โจทก์ย่อมจะประมาณเนื้อที่ได้ และแสดงว่าโจทก์กับจำเลยทั้งหกมีเจตนาจะซื้อขายที่ดินกันทั้งแปลง มิได้ถือเป็นสาระว่าที่ดินที่จะซื้อขายกันนั้นจะต้องมีเนื้อที่เพียงประมาณ 4 ไร่เศษเท่านั้นฉะนั้น แม้ภายหลังจะปรากฏจากการรังวัดว่าที่ดินทั้งแปลงนี้มีเนื้อที่ 5 ไร่ 157 ตารางวา ก็ยังอยู่ในจำนวนเนื้อที่ที่คู่กรณีมีเจตนาจะซื้อขายกันมาแต่เดิมนั่นเอง โจทก์จำเลยจึงต้องผูกพันซื้อขายกันตามเนื้อที่ที่รังวัดได้นี้ในราคาตารางวาละ 7,500 บาทตามสัญญา เมื่อโจทก์ไม่ยอมรับโอนและชำระราคาที่ดินตามเนื้อที่ดังกล่าว จำเลยจึงมีสิทธิริบเงินมัดจำ โจทก์ไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาและเรียกเงินมัดจำคืน.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2233/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายที่ดิน: การผูกพันตามเนื้อที่ที่รังวัดจริง แม้ต่างจากประมาณการเดิม
โจทก์และจำเลยตกลงซื้อขายที่ดินทั้งแปลงโดยมิได้ถือเป็นสาระสำคัญว่าที่ดินทั้งแปลงนั้นจะต้องมีเนื้อที่ประมาณ 4 ไร่เศษฉะนั้นแม้ภายหลังจะปรากฏว่ากรมที่ดินรังวัดที่ดินทั้งแปลงมีเนื้อที5 ไร่ 157 ตารางวา โจทก์จำเลยจึงต้องผูกพันซื้อขายกันตามเนื้อที่ที่วัดได้นี้ในราคาต่อตารางวาตามสัญญา เมื่อโจทก์ไม่ยอมรับโอนและชำระราคาที่ดินตามเนื้อที่ดังกล่าว จำเลยย่อมมีสิทธิริบเงินมัดจำ โจทก์ไม่มีสิทธิเลิกสัญญาและให้จำเลยคืนมัดจำ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3229/2525

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายที่ดิน: เจตนาซื้อขายที่ดินทั้งหมดด้านทิศใต้ของถนน แม้จะยังไม่ทราบเนื้อที่แน่นอน
เมื่อตามสัญญาจะซื้อขายและแผนที่สังเขปท้ายสัญญาแสดงให้เห็นเจตนาว่าตกลงจะซื้อขายที่ดินด้านทิศใต้ของถนนที่ตัดผ่านทั้งหมด จำนวนเนื้อที่ดินที่ลงไว้ในสัญญาเป็นแต่คาดหรือประมาณว่าเมื่อถนนตัดผ่านจะมีจำนวนเท่าใดแม้ผู้ขายโอนที่ดิน 8 ไร่ โดยใส่ชื่อผู้ซื้อในโฉนดไปแล้ว แต่เมื่อปรากฏจากการรังวัดแบ่งแยกโฉนดว่าที่ดินด้านทิศใต้ของถนนมี 11 ไร่เศษ ผู้ซื้อจึงชอบที่จะฟ้องบังคับผู้ขายโอนขายที่ดินให้ครบตามสัญญาได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1379/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรังวัดที่ดินตามข้อตกลง: ศาลพิพากษาตามผลการรังวัด แม้เนื้อที่ไม่ตรงกับโฉนด
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาท ชั้นพิจารณาโจทก์จำเลยท้ากันว่าหากเจ้าพนักงานที่ดินทำการรังวัดแล้วปักหลักเขตในที่พิพาทตรงจุดใด คู่ความยอมรับว่าจุดนั้นเป็นเขตที่ดินและยอมให้ศาลพิพากษาไปตามที่เจ้าพนักงานรังวัดมานั้น ต่อมาเจ้าพนักงานที่ดินทำการรังวัดและปักเขตตรงเส้นที่โจทก์นำชี้ไว้พอดี ต้องถือว่าตรงนั้นเป็น เขตที่ดิน ที่พิพาททั้งหมดจึงเป็นของโจทก์ จำเลยต้องแพ้คดีไปตามคำท้า
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างส่วนที่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ ย่อมหมายถึงให้รื้อถอนออกไปจากที่พิพาทอันเป็นของโจทก์นั่นเอง ไม่เป็นการเกินคำฟ้องหรือคำขอท้ายฟ้องของโจทก์แต่อย่างใด จำเลยจึงต้องปฏิบัติตามคำบังคับที่ออกตามคำพิพากษาดังกล่าว จะยกเรื่องเนื้อที่และแนวเขตโฉนดที่ดินของโจทก์ขึ้นโต้เถียงเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติตามคำบังคับที่ออกตามคำพิพากษานั้นหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2853/2523 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พินัยกรรม: การแบ่งที่ดินตามพินัยกรรมต้องเป็นไปตามอาณาเขตและเนื้อที่จริง แม้พินัยกรรมระบุเนื้อที่เกินจริง
เมื่อพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองระบุชัดแจ้งว่าผู้ใดได้ที่ดินที่ตรงไหน อย่างไรการแบ่งที่ดินก็ย่อมต้องแบ่งไปตามที่ระบุในพินัยกรรม การที่จำนวนเนื้อที่ดินตามที่ระบุไว้ในพินัยกรรมมีมากกว่าจำนวนเนื้อที่ดินที่แท้จริง ฝ่ายที่ได้รับส่วนแบ่งจำนวนเนื้อที่ย่อมได้รับลดน้อยลงไป จะถือเอาตามจำนวนที่ระบุไว้ในพินัยกรรมหาได้ไม่ ฝ่ายที่ได้รับส่วนแบ่งโดยระบุอาณาเขตไม่ระบุเนื้อที่ก็ย่อมต้องได้ตามอาณาเขตที่ระบุในพินัยกรรม จะนำพยานบุคคลมาสืบพิสูจน์เจตนาผู้ทำพินัยกรรมให้ผิดแผกแตกต่างไปจากที่ระบุไว้ในพินัยกรรมหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1962/2523

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาแบ่งที่ดินตามสัดส่วนการครอบครองสำคัญกว่าเนื้อที่ตามโฉนด สัญญาประนีประนอมยอมความต้องผูกพันตามเจตนาที่แท้จริง
โจทก์รับโอนกรรมสิทธิ์ส่วนหนึ่งของที่พิพาทมาจาก ช. ผู้ถือกรรมสิทธิ์ รวมกับจำเลยแล้วโจทก์ครอบครองที่พิพาทส่วนทางทิศเหนือตามที่ ช. เจ้าของเดิมครอบครองมา ส่วนจำเลยครอบครองทางทิศใต้โดยถือเอาคันสวนเป็นแนวเขต ต่อมาโจทก์จำเลยได้ ทำบันทึกตกลงแบ่งกรรมสิทธิ์รวมมีความว่า โจทก์จำเลยตกลงแบ่งส่วนที่ดินของตนที่มีอยู่ในที่ดินแปลงนี้ออกจากกันทางทิศใต้แบ่งเป็นของจำเลยให้ได้เนื้อที่ครึ่งหนึ่ง ส่วนแปลงคงเหลือเป็นของโจทก์ บันทึก ดังกล่าวเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความใช้บังคับกันได้
บันทึกดังกล่าวข้อ 1 ระบุว่าให้แบ่งตามส่วนที่แต่ละฝ่ายมีอยู่ กับข้อ 2 ระบุว่าโจทก์จำเลยจะนำช่างแผนที่ไปทำการรังวัดปักหลักเขตให้เป็นการแน่นอนต่อไป เมื่ออ่าน 2 ข้อประกอบกันแล้วเห็นได้ว่าคู่กรณีเจตนาให้แบ่งกันตามส่วนที่ทั้งสองฝ่ายมีอยู่แล้ว ต้องถือตามเจตนาที่แท้จริงของคู่กรณี คือแบ่งครึ่งกันตามที่ทั้งสองฝ่ายนำชี้ ที่ซึ่งตนครอบครองอยู่แล้ว หาใช่แบ่งครึ่งกันตามเนื้อที่ที่คำนวณได้ไม่
of 5