คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
เบิกจ่ายเงิน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 41 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3805/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางละเมิดของข้าราชการ กรณีทุจริตการเบิกจ่ายเงิน การปฏิบัติหน้าที่โดยประมาทเลินเล่อ
ในการจัดทำฎีกาเบิกเงิน จ่าสิบตำรวจ พ. มีหน้าที่รวบรวมใบสำคัญของผู้เบิกและใบแจ้งหนี้ของเจ้าหนี้ให้นายดาบตำรวจ ส.จำเลยที่ 2 และพันตำรวจตรี ว. สมุห์บัญชีกองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดตรวจพิจารณาเพื่ออนุมัติจัดทำฎีกา เมื่อทำฎีกาและ หน้างบใบสำคัญขึ้นมาแล้วต้องเสนอให้พันตำรวจตรี ว. ตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง และต้องส่งหลักฐานการเบิกไปยังคลังจังหวัดพร้อมกับ การวางฎีกา เงินตามฎีกาทุกฉบับที่จ่าสิบตำรวจพ. ยักยอกไปโดย ทุจริตเมื่อรับจากคลังจังหวัดแล้วได้มีการนำมาลงบัญชีรับจ่ายของกองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดครบถ้วนทุกฎีกา พันตำรวจตรี ว.เป็นผู้เก็บรักษาเงินทั้งหมดไว้เพื่อรอจ่ายแก่ผู้ขอเบิกและเจ้าหนี้แต่พันตำรวจตรีว. ไม่ทำการจ่ายเงินนั้นด้วยตนเองกลับมอบหมายให้จ่าสิบตำรวจ พ. ซึ่งไม่มีหน้าที่ในการจ่ายเงินดังกล่าวตามคำสั่งของกองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดนำเงินไปจ่ายแก่ผู้ขอเบิก และเจ้าหนี้แทน สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการทุจริตเกี่ยวกับการ เงินรายนี้เป็นเพราะพันตำรวจตรี ว. ผู้บังคับบัญชาโดยตรงของจ่าสิบตำรวจพ.มอบเงินให้จ่าสิบตำรวจพ. นำไปจ่ายโดยไม่มีหน้าที่และไม่กำกับดูแลใกล้ชิด จึงเป็นช่องทางให้จ่าสิบตำรวจ พ. เบียดบังเอาเงินไปเป็นประโยชน์ของตนได้โดยง่าย ทั้งตามคำสั่งกองกำกับการดังกล่าวก็เป็นหน้าที่ของจำเลยที่ 2 ที่จะต้องเรียกและรวบรวมหลักฐานใบสำคัญประกอบฎีกาที่เบิกเงินแล้วส่งไปยังคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินภายใต้การตรวจตราสอดส่องควบคุมของพันตำรวจตรี ว.โดยตรงไม่ปรากฏว่าขณะที่พันตำรวจโทส.จำเลยที่ 1 ลงนามในฎีกาเบิกเงินมีใบสำคัญครบถ้วนหรือไม่ และไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้มีส่วนรู้เห็นหรือปล่อยปละละเลยให้จ่าสิบตำรวจ พ. เอาเงินไปเป็นประโยชน์ของตน การที่จำเลยที่ 1ลงนามในฎีกาเบิกเงินดังกล่าวจึงยังถือไม่ได้ว่า จำเลยที่ 1จงใจหรือประมาทเลินเล่อในการปฏิบัติหน้าที่อันเป็นผลโดยตรงเป็นเหตุให้กรมตำรวจโจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5666/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าพนักงานทุจริตอนุญาตขุดดินสาธารณะเอื้อประโยชน์ผู้รับเหมา เบิกจ่ายเงินโดยมิชอบ
จำเลยเป็นกำนันและประธานกรรมการสภาตำบลท้องที่ มีหน้าที่ดูแลรักษาทรัพย์สินของทางราชการที่เกิดจากโครงการสร้างงานในชนบท ได้อนุญาตให้ ช. ผู้รับเหมาทำถนนดินในตำบลท้องที่ขุดดินจากถนนเดิมซึ่งเป็นถนนที่สภาตำบลสร้างขึ้นตามโครงการสร้างงานในชนบทปีก่อน ๆ และอยู่ในความดูแลของสภาตำบลที่จำเลยเป็นประธานกรรมการไปถมทำถนนใหม่ และปล่อยให้ ช. ขุดดินจากข้างถนนเดิมขึ้นมาถมแทนดินที่ขุดไป ทำให้ ช. ไม่ต้องซื้อที่ดินจากที่อื่นมาถมถนนเดิมที่ขอยืมดินไปตามสัญญา แล้วจำเลยกลับเบิกจ่ายเงินค่าทำถนนให้ ช. ไปจนครบจำนวน จึงเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่นเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2205/2532 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าหน้าที่รับรองเอกสารเท็จเบิกจ่ายเงินคดีทุจริต – การปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
จำเลยที่ 1 ถึง ที่ 4 และจำเลยที่ 6 เป็นเจ้าพนักงานได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการตรวจ การจ้างการก่อสร้างบ้านพักครู 1 หลัง มีหน้าที่ตรวจและควบคุมการจ้างให้ดำเนินไปตามข้อกำหนดในสัญญา แบบแปลนและแผนผัง เมื่อตรวจ เห็นเป็นการถูกต้องแล้ว ให้รับมอบงานแล้วรายงานต่อผู้มีอำนาจสั่งจ้างทราบพร้อมด้วยหลักฐาน การที่จำเลยที่ 1 ถึง ที่ 4 และจำเลยที่ 6 ได้ทำหลักฐานใบตรวจรับงานจ้างเหมาแจ้งว่าจำเลยที่ 7 ได้ ก่อสร้างบ้านพักครูแล้วเสร็จตาม สัญญาจ้าง ทั้ง ๆ ที่เป็นความเท็จโดยงานยังไม่แล้วเสร็จ เป็นการรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้นมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นเท็จ เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 162(4) และเป็นเหตุให้มีการเบิกจ่ายเงินค่าจ้างเหมาก่อสร้างให้จำเลยที่ 7 รับไป จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเป็นเหตุให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดได้รับความเสียหายมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 157 ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2205/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าพนักงานตรวจรับงานเท็จ เบิกจ่ายเงินโดยมิชอบ สร้างความเสียหายแก่ราชการ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 162 และ 341
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 และจำเลยที่ 6 เป็นเจ้าพนักงานได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการตรวจการจ้างการก่อสร้างบ้านพักครู 1 หลัง มีหน้าที่ตรวจและควบคุมการจ้างให้ดำเนินไปตามข้อกำหนดในสัญญา แบบแปลนและแผนผัง เมื่อตรวจเห็นเป็นการถูกต้องแล้วให้รับมอบงานแล้วรายงานต่อผู้มีอำนาจสั่งจ้าง ทราบพร้อมด้วยหลักฐาน การที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 และจำเลยที่ 6 ได้ทำหลักฐานใบตรวจรับงานจ้างเหมาแจ้งว่าจำเลยที่ 7 ได้ก่อสร้างบ้านพักครูแล้วเสร็จตามสัญญาจ้าง ทั้ง ๆ ที่เป็นความเท็จโดยงานยังไม่แล้วเสร็จ เป็นการรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้นมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นเท็จ เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 162(4) และเป็นเหตุให้มีการเบิกจ่ายเงินค่าจ้างเหมาก่อสร้างให้จำเลยที่ 7 รับไป จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเป็นเหตุให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดได้รับความเสียหายมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 157 ด้วย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2205/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าหน้าที่ตรวจรับงานเท็จ เบิกจ่ายเงินโดยมิชอบ สร้างความเสียหายแก่ราชการ มีความผิดตามกฎหมายอาญา
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 และจำเลยที่ 6 เป็นเจ้าพนักงานได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการตรวจการจ้างการก่อสร้างบ้านพักครู 1 หลังมีหน้าที่ตรวจและควบคุมการจ้างให้ดำเนินไปตามข้อกำหนดในสัญญาแบบแปลนและแผนผัง เมื่อตรวจเห็นเป็นการถูกต้องแล้วให้รับมอบงานแล้วรายงานต่อผู้มีอำนาจสั่งจ้างทราบพร้อมด้วยหลักฐาน การที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 และจำเลยที่ 6 ได้ทำหลักฐานใบตรวจรับงานจ้างเหมาแจ้งว่าจำเลยที่ 7 ได้ก่อสร้างบ้านพักครูแล้วเสร็จตามสัญญาจ้าง ทั้ง ๆ ที่เป็นความเท็จโดยงานยังไม่แล้วเสร็จเป็นการรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้น มุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นเท็จเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 162(4)และเป็นเหตุให้มีการเบิกจ่ายเงินค่าจ้างเหมาก่อสร้างให้จำเลยที่ 7 รับไป จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเป็นเหตุให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดได้รับความเสียหายมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 217/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเบิกจ่ายเงินโครงการซ่อมทำนบดิน แม้เอกสารไม่ตรงกับข้อเท็จจริง แต่ไม่มีเจตนาทุจริต ไม่ถือเป็นความผิด
จำเลยได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการตรวจรับการจ้าง กรรมการควบคุมและดำเนินการจ้างซ่อมทำนบดินตามโครงการสร้างงานในชนบทจำเลยได้ประชุมราษฎรในหมู่บ้านตกลงลดค่าจ้างขุดดินซ่อมทำนบดังกล่าวให้น้อยลงกว่าที่มีการอนุมัติเพื่อให้ได้จำนวนดินมากขึ้นให้ทำนบมีความแข็งแรงเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ต่อมาราษฎรได้รับจ้างขุดดินตามที่ได้มีการตกลงกัน จำเลยได้ร่วมกันทำเอกสารหนังสือขอเบิกเงินงบใบสำคัญ หนังสือรายงานผลการดำเนินการจ้างแรงงาน ใบตรวจรับจ้างแรงงาน ระบุรายละเอียดค่าแรงงาน จำนวนดิน ค่าคุมงานต่าง ๆ ให้ตรงกับที่ได้รับอนุมัติและเป็นหลักฐานว่าได้ดำเนินการแล้วเพื่อขอเบิกเงินจากทางราชการมาจ่ายให้แก่ราษฎรผู้รับจ้าง ดังนี้ เมื่อปรากฏว่ายอดเงินที่ระบุในเอกสารทั้งสี่ฉบับตรงกับยอดเงินที่จำเลยได้จ่ายให้แก่ราษฎรไปแล้ว จำนวนดินที่ไม่ตรงกันนั้นก็ขุดได้มากกว่าที่ระบุไว้ ไม่ปรากฏว่าจำเลยคนใดทุจริตได้ประโยชน์จากโครงการดังกล่าว แม้จำนวนดินและจำนวนเงินที่ระบุในเอกสารจะไม่ตรงกับความจริงไปบ้าง ก็ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ร่วมกันทำเอกสารและรับรองเอกสารอันเป็นเท็จ เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่ามีการกระทำผิดเกิดขึ้นตามฟ้องจำเลยอื่นซึ่งโจทก์ฟ้องว่าเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิดจึงไม่ได้กระทำผิดเช่นกันเพราะเมื่อไม่มีการกระทำผิดจึงไม่อาจเกิดการกระทำที่เป็นการสนับสนุนให้กระทำผิดได้ เหตุดังกล่าวเป็นเหตุในลักษณะคดีแม้ศาลฎีกาจะไม่รับวินิจฉัยฎีกาของจำเลยอื่น เนื่องจากต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง แต่ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาตลอดถึงจำเลยอื่นว่าไม่มีความผิดได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 213 ประกอบมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4397/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานยักยอกทรัพย์และทุจริตหน้าที่ กรณีอนุมัติเบิกจ่ายเงินเกินบัญชี และอำนาจการมอบอำนาจร้องทุกข์
จำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการสาขาของธนาคารโจทก์ร่วมได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินของธนาคาร กระทำผิดหน้าที่ของตนโดยทุจริตผิดระเบียบเกี่ยวกับการอนุมัติเบิกจ่ายเงินจนลูกค้าธนาคารโจทก์ร่วมเป็นลูกหนี้ธนาคารโจทก์ร่วมสูงกว่าหลักประกันถึงหกแสนบาทเศษ ดังนี้ ย่อมเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของธนาคารโจทก์ร่วมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353 แล้ว
เงินที่จำเลยอนุมัติให้เบิกจ่ายไปจากบัญชีกระแสรายวันของลูกค้าธนาคารโจทก์ร่วมเป็นเงินของธนาคารโจทก์ร่วม ธนาคารโจทก์ร่วมจึงเป็นผู้เสียหายมีอำนาจร้องทุกข์และขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมได้
หนังสือมอบอำนาจให้ร้องทุกข์ดำเนินคดีแก่จำเลยและผู้เกี่ยวข้องไม่จำเป็นต้องระบุว่าให้ร้องทุกข์กี่คดีและไม่จำเป็นต้องกำหนดระยะเวลาการมอบอำนาจไว้
ฟ้องไม่ได้บรรยายว่าจำเลยครอบครองทรัพย์และเบียดบังทรัพย์ของผู้เสียหาย โจทก์เพียงแต่อ้าง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 มาในคำขอท้ายฟ้องเท่านั้นจำเลยจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2975/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเบิกจ่ายเงินค่าใช้สอยและกรรมสิทธิ์ในเงิน กรณีไม่มีข้อกำหนดการใช้จ่ายชัดเจน ไม่ถือเป็นยักยอก
เงินค่าใช้สอยที่จำเลยเบิกไปจากโจทก์ จำเลยมีสิทธิครอบครองใช้จ่ายได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องขออนุมัติจากโจทก์ ทั้งโจทก์มิได้กำหนดการจ่ายไว้เป็นที่แน่นอน สุดแล้วแต่จำเลยจะเห็นสมควรใช้จ่ายอย่างใด แล้วนำหลักฐานมาหักหนี้ในทางบัญชีกับโจทก์ในภายหลัง กรรมสิทธิ์ในเงินดังกล่าวจึงตกเป็นของจำเลยตั้งแต่ขณะที่ได้รับไปจากโจทก์ หาใช่จำเลยครอบครองเงินดังกล่าวไว้แทนโจทก์ หากจำเลยไม่มีหลักฐานมาหักหนี้หรือมีเงินเหลือแล้วไม่ส่งคืน โจทก์ชอบที่จะเรียกร้องทางแพ่งเอาแก่จำเลย กรณีไม่มีมูลเป็นความผิดทางอาญาฐานยักยอก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2953/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในทรัพย์สินของมูลนิธิ การเบิกจ่ายเงินจากบัญชีธนาคารต้องเป็นไปตามข้อตกลง และการกระทำละเมิดของกรรมการ
โจทก์จดทะเบียนเป็นมูลนิธิถูกต้องและชอบด้วยกฎหมาย บรรดาทรัพย์สินต่างๆรวมทั้งองค์เซียนแป๊ะโค้วย่อมตกเป็นทรัพย์สินของมูลนิธิตั้งแต่วันที่ได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลได้ เงินที่ประชาชนบริจาคในการจัดงานฉลององค์เซียนแป๊ะโค้วและนำไปฝากไว้ในบัญชีนั้นถือว่าเป็นเงินที่บริจาคให้แก่องค์เซียนแป๊ะโค้ว จึงตกเป็นของโจทก์ผู้เป็นเจ้าขององค์เซียนแป๊ะโค้ว
เงินในบัญชีซึ่งเป็นเงินรายได้จากการจัดงานฉลององค์เซียนแป๊ะโค้วนั้น คู่ความทราบในคดีก่อนแล้วว่าได้มีการตกลงกันให้นำไปฝากไว้ที่ธนาคารโดยมีเงื่อนไขให้เบิกจ่ายได้ตามมติของคณะกรรมการจัดงาน และให้จำเลยที่2 ที่ 3 และบ.เป็นผู้ลงลายมือชื่อร่วมกันในเช็คเพื่อเบิกจ่ายเงินจากบัญชี ดังนั้นการเบิกจ่ายเงินจากบัญชีดังกล่าว จึงต้องปฏิบัติตามข้อตกลงนี้เรื่อยไปจนกว่าคดีจะเสร็จหรือถึงที่สุด หาใช่ข้อตกลงนี้เป็นวิธีการคุ้มครองชั่วคราวก่อนศาลพิพากษาซึ่งจะถูกยกเลิกไปเมื่อศาลชั้นต้นตัดสินคดีนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 260 ไม่
เมื่อระหว่างคดียังไม่ถึงที่สุด จำเลยที่ 3 ซึ่งพ้นจากตำแหน่งหัวหน้าเขตลาดกระบังแล้ว กลับมีหนังสือแจ้งธนาคารขอเปลี่ยนแปลงยกเลิกกรรมการผู้มีอำนาจสั่งจ่ายเงินตามข้อตกลงเดิมทั้งหมด แล้วให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 คนใดคนหนึ่งออกเช็คสั่งจ่ายเงินในบัญชีแทนโดยไม่บอกกล่าวแถลงศาลก่อนหรือแจ้งบอกกล่าวแก่คู่ความในคดีนั้นซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยตรง นอกจากจะเป็นการไม่ถูกต้องแล้วยังเรียกไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 กระทำโดยสุจริต จำเลยที่ 1 ออกเช็คสั่งจ่ายเงินในบัญชีโดยควรรู้ดีว่าตนไม่มีอำนาจเบิกถอนเพราะขัดกับข้อตกลง เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 1จึงทำละเมิดต่อโจทก์โดยจำเลยที่ 3 มีส่วนทำละเมิดดังกล่าวด้วยส่วนจำเลยที่ 2 ออกเช็คสั่งจ่ายเงินในบัญชีโดยควรรู้ดีว่าตนไม่มีอำนาจและเบิกถอนก่อนที่จำเลยที่ 3 จะมีหนังสือแจ้งธนาคารขอเปลี่ยนแปลงยกเลิกกรรมการผู้มีอำนาจสั่งจ่ายเงิน จึงเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 2 ทำละเมิดต่อโจทก์ตามลำพัง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2953/2527

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเบิกจ่ายเงินจากบัญชีธนาคารภายหลังข้อตกลงเดิมสิ้นสุด และการกระทำละเมิดของผู้มีอำนาจ
โจทก์จดทะเบียนเป็นมูลนิธิถูกต้องและชอบด้วยกฎหมาย บรรดาทรัพย์สินต่างๆรวมทั้งองค์เซียนแป๊ะโค้วย่อมตกเป็นทรัพย์สินของมูลนิธิตั้งแต่วันที่ได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลได้ เงินที่ประชาชนบริจาคในการจัดงานฉลององค์เซียนแป๊ะโค้วและนำไปฝากไว้ในบัญชีนั้นถือว่าเป็นเงินที่บริจาคให้แก่องค์เซียนแป๊ะโค้ว จึงตกเป็นของโจทก์ผู้เป็นเจ้าขององค์เซียนแป๊ะโค้ว เงินในบัญชีซึ่งเป็นเงินรายได้จากการจัดงานฉลององค์เซียนแป๊ะโค้วนั้น คู่ความทราบในคดีก่อนแล้วว่าได้มีการตกลงกันให้นำไปฝากไว้ที่ธนาคารโดยมีเงื่อนไขให้เบิกจ่ายได้ตามมติของคณะกรรมการจัดงาน และให้จำเลยที่2 ที่ 3 และบ. เป็นผู้ลงลายมือชื่อร่วมกันในเช็คเพื่อเบิกจ่ายเงินจากบัญชี ดังนั้นการเบิกจ่ายเงินจากบัญชีดังกล่าว จึงต้องปฏิบัติตามข้อตกลงนี้เรื่อยไปจนกว่าคดีจะเสร็จหรือถึงที่สุด หาใช่ข้อตกลงนี้เป็นวิธีการคุ้มครองชั่วคราวก่อนศาลพิพากษาซึ่งจะถูกยกเลิกไปเมื่อศาลชั้นต้นตัดสินคดีนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 260 ไม่ เมื่อระหว่างคดียังไม่ถึงที่สุด จำเลยที่ 3 ซึ่งพ้นจากตำแหน่งหัวหน้าเขตลาดกระบังแล้ว กลับมีหนังสือแจ้งธนาคารขอเปลี่ยนแปลงยกเลิกกรรมการผู้มีอำนาจสั่งจ่ายเงินตามข้อตกลงเดิมทั้งหมด แล้วให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 คนใดคนหนึ่งออกเช็คสั่งจ่ายเงินในบัญชีแทน โดยไม่บอกกล่าวแถลงศาลก่อนหรือแจ้งบอกกล่าวแก่คู่ความในคดีนั้นซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยตรง นอกจากจะเป็นการไม่ถูกต้องแล้วยังเรียกไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 กระทำโดยสุจริต จำเลยที่ 1 ออกเช็คสั่งจ่ายเงินในบัญชีโดยควรรู้ดีว่าตนไม่มีอำนาจเบิกถอนเพราะขัดกับข้อตกลง เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 1 จึงทำละเมิดต่อโจทก์โดยจำเลยที่ 3 มีส่วนทำละเมิดดังกล่าวด้วย ส่วนจำเลยที่ 2 ออกเช็คสั่งจ่ายเงินในบัญชีโดยควรรู้ดีว่าตนไม่มีอำนาจและเบิกถอนก่อนที่จำเลยที่ 3 จะมีหนังสือแจ้งธนาคารขอเปลี่ยนแปลงยกเลิกกรรมการผู้มีอำนาจสั่งจ่ายเงิน จึงเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 2 ทำละเมิดต่อโจทก์ตามลำพัง
of 5