คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
เป็นที่สุด

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 16 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 657-660/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปฏิเสธการส่งอุทธรณ์เนื่องจากค่าขึ้นศาลไม่ครบ และคำสั่งศาลอุทธรณ์ที่ให้เป็นที่สุด
ในการตรวจอุทธรณ์ที่ยื่นต่อศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นอาจตรวจทั้งในข้อที่คดีต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224, 230 รวมตลอดทั้งตรวจอุทธรณ์เพื่อปฏิเสธไม่ส่งอุทธรณ์นั้นในเหตุอื่นตามมาตรา 230 วรรค 2 และมาตรา 232 ด้วย
ศาลชั้นต้นตรวจอุทธรณ์ของโจทก์ตามมาตรา 232 และมีคำสั่งให้คืนฟ้องอุทธรณ์ให้โจทก์เสียค่าฤชาธรรมเนียมให้ครบถ้วน คำสั่งศาลชั้นต้นนี้เป็นคำสั่งปฏิเสธไม่ส่งอุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์โดยเหตุผลดังที่ปรากฏในคำสั่งนั้น โจทก์จึงอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์นี้ โดยยื่นคำขอเป็นคำร้องต่อศาลชั้นต้นตามมาตรา 234 ศาลอุทธรณ์พิจารณาคำร้องของโจทก์แล้วมีคำสั่งว่า ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์เสียค่าขึ้นศาลไม่ครบนั้นชอบแล้วให้ยกคำร้อง คำสั่งศาลอุทธรณ์ดังนี้เป็นคำสั่งยืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ปฏิเสธไม่ส่งอุทธรณ์ไปศาลอุทธรณ์นั่นเอง ซึ่งมาตรา 236 บัญญัติว่า คำสั่งศาลอุทธรณ์นี้ให้เป็นที่สุด โจทก์จึงฎีกาคำสั่งนี้ไม่ได้ (อ้างฎีกาที่ 1223/2498, 1404/2498)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14654-14655/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำพิพากษาตามยอมเป็นที่สุด การบังคับคดี และการขอทุเลา/งดบังคับคดี
โจทก์และจำเลยได้ตกลงกันหรือประนีประนอมยอมความกันในประเด็นแห่งคดีโดยมิได้มีการถอนคำฟ้อง และศาลชั้นต้นพิพากษาไปตามนั้นแล้ว คำพิพากษานั้นย่อมผูกพันคู่ความตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคหนึ่ง หากจำเลยเห็นว่าคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายที่ต้องด้วยข้อยกเว้นตามมาตรา 138 วรรคสอง ซึ่งจำเลยสามารถอุทธรณ์คำพิพากษาตามยอมได้ จำเลยก็ต้องอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาตามยอมนั้น ตามมาตรา 229 วรรคหนึ่ง แต่จำเลยหาได้อุทธรณ์ไม่ กลับยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอแก้ไขข้อสัญญาประนีประนอมยอมความโดยมีความมุ่งหมายให้คำพิพากษาตามยอมเสียเปล่าไม่อาจใช้บังคับได้ ซึ่งมีผลเป็นอย่างเดียวกับการขอให้เพิกถอนคำพิพากษาตามยอมอันไม่อาจกระทำได้โดยศาลชั้นต้น แม้จำเลยจะอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยแก้ไขสัญญาประนีประนอมยอมความก็หาใช่เป็นการอุทธรณ์คำพิพากษาตามยอมตามข้อยกเว้นของมาตรา 138 วรรคสอง ที่จำเลยจะอุทธรณ์ได้ไม่ อีกทั้งต่อมาศาลอุทธรณ์ก็มีคำสั่งเห็นพ้องด้วยในผลกับศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องของจำเลย และปัญหาดังกล่าวได้ยุติไปแล้วโดยศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของจำเลยคำพิพากษาคดีนี้จึงเป็นที่สุดแล้ว ปัญหาข้อโต้แย้งด้วยวิธีต่าง ๆ ของจำเลย หาได้ทำให้คำพิพากษาตามยอมซึ่งเป็นที่สุดไปแล้วกลับมาไม่เป็นที่สุดตามที่จำเลยเข้าใจแต่อย่างใดไม่
เมื่อจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษามิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาย่อมชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาและขอให้ศาลมีคำสั่งจับกุมจำเลยซึ่งจงใจไม่ปฏิบัติตามหมายบังคับคดีได้ ทั้งเมื่อคำพิพากษาตามยอมเป็นที่สุดและไม่อาจถูกเพิกถอนหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้อีก กรณีจึงไม่มีเหตุสมควรที่จะมีคำสั่งให้งดการบังคับคดีกับจัดให้มีวิธีคุ้มครองชั่วคราวโดยระงับการออกหมายจับจำเลยและบริวารไว้ก่อนตามคำร้องของจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3789/2554

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งศาลชี้ขาดเรื่องรวม/แยกขายทรัพย์สินบังคับคดีเป็นที่สุด ห้ามอุทธรณ์/ฎีกา
จำเลยที่ 4 ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งแบ่งที่ดินที่ยึดออกเป็น 3 แปลง ตามสภาพที่ตั้งของสิ่งปลูกสร้าง แล้วแยกขายทีละแปลง ในวันไต่สวนจำเลยที่ 4 ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ได้ตรวจคำร้อง คำคัดค้านของโจทก์และคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีแล้ว คดีพอวินิจฉัยได้โดยไม่จำต้องสั่งคำร้องขอเลื่อนคดีของจำเลยที่ 4 จึงให้งดไต่สวน แล้วให้คู่ความรอฟังคำสั่ง จากนั้นได้มีคำสั่งให้ยกคำร้องของจำเลยที่ 4 อันเป็นคำสั่งชี้ขาดในเรื่องให้รวมหรือแยกทรัพย์สินขายทอดตลาด จึงเป็นที่สุดตาม ป.วิ.พ. มาตรา 309 วรรคสองแล้ว ปัญหาที่จำเลยที่ 4 ฎีกาว่าศาลชั้นต้นไม่ได้ไต่สวนคำร้องของจำเลยที่ 4 ก่อนมีคำสั่งในเรื่องดังกล่าว และไม่มีคำสั่งให้เลื่อนคดีตามคำร้องขอเลื่อนคดีของจำเลยที่ 4 เป็นการไม่ชอบนั้น ล้วนเป็นการโต้เถียงดุลพินิจของศาลชั้นต้นเพื่อนำไปสู่การโต้แย้งว่าคำสั่งชี้ขาดของศาลชั้นต้นในเรื่องให้รวมหรือแยกทรัพย์สินขายทอดตลาดซึ่งเป็นที่สุดแล้วไม่ชอบ คำสั่งของศาลชั้นต้นในปัญหาดังกล่าวย่อมเป็นที่สุดเช่นเดียวกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 22/2554

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำชี้ขาดอนุญาโตตุลาการเป็นที่สุด ผลบังคับใช้ แม้มีการชี้ขาดซ้ำโดยอนุญาโตตุลาการชุดใหม่
คณะอนุญาโตตุลาการชุดก่อนได้มีคำชี้ขาดข้อพิพาทระหว่างผู้ร้องกันผู้คัดค้านว่า การที่ผู้คัดค้านในฐานะผู้ได้รับสัมปทานทางด่วนขั้นที่ 2 เรียกเก็บค่าผ่านทางเพิ่มเติมตามประกาศกระทรวงมหาดไทยนั้น เป็นการไม่สอดคล้องกับสัญญาสัมปทาน ต่อมาผู้ร้องได้เสนอข้อพิพาทต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการขอให้ผู้คัดค้านคืนเงินค่าผ่านทางเพิ่มเติมพร้อมดอกเบี้ยที่ได้รับจากประชาชนผู้ใช้ทางให้แก่ผู้ร้องซึ่งคณะอนุญาโตตุลาการชุดหลังมีคำชี้ขาดว่า ผู้คัดค้านมีสิทธิได้รับเงินค่าผ่านทางระหว่างการปรับเพิ่มอัตราค่าผ่านทาง เพราะชอบด้วยสัญญาและกฎหมาย และให้ผู้ร้องใช้ค่าเสียหายแก่ผู้คัดค้าน ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องต่อศาลขอให้เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการชุดหลัง แต่ศาลฎีกาเคยวินิจฉัยในคดีที่ผู้คัดค้านเป็นผู้ร้องยื่นฟ้องผู้ร้องเป็นผู้คัดค้านโดยมูลคดีเดียวกับคดีนี้ขอให้พิพากษาบังคับให้เป็นไปตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการซึ่งวินิจฉัยว่า ผู้ร้องในคดีนี้ไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินส่วนแบ่งค่าผ่านทางอัตราที่เพิ่มขึ้นในช่วงเวลาที่มีการปรับอัตราค่าผ่านทางเพิ่มพร้อมดอกเบี้ยจากผู้คัดค้านในคดีนี้ และให้ผู้ร้องในคดีนี้ชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้คัดค้านในคดีนี้ตามคำเรียกร้องแย้ง โดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการชุดก่อนย่อมเป็นที่สุดและผูกพันคู่กรณี พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ ฯ มาตรา 22 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 21 วรรคสี่ ไม่อาจนำข้อโต้แย้งขึ้นสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการได้อีก การที่ผู้คัดค้านนำข้อพิพาทเรื่องเดียวกันมายื่นเรียกร้องแย้งต่อคณะอนุญาโตตุลาการชุดหลัง เพื่อให้ชี้ขาดซ้ำอีก ย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะทำลายหลักการสำคัญของมาตรา 23 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติให้คำชี้ขาดเป็นที่สุดและผูกพันคู่กรณีโดยสิ้นเชิงไร้ประสิทธิผลโดยปริยาย การที่คณะอนุญาโตตุลาการชุดหลังมีคำชี้ขาดข้อพิพาทเดียวกันใหม่จึงไม่ชอบตามบทกฎหมายดังกล่าว ซึ่งใช้บังคับอยู่ขณะชี้ขาดและศาลฎีกาในคดีดังกล่าวพิพากษาให้ยกคำร้องของผู้คัดค้านในคดีนี้ และเมื่อคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการชุดก่อนย่อมเป็นที่สุดและผูกพันคู่กรณีตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ ฯ มาตรา 22 วรรคหนึ่งและคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการชุดหลังไม่ชอบด้วยกฎหมายตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ ฯ มาตรา 23 วรรคหนึ่ง กรณีหาจำต้องมีคำสั่งศาลฎีกาเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการชุดหลังอีกไม่ ทั้ง ป.วิ.พ. มาตรา 144 มีบทบัญญัติห้ามมิให้ดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกรณีจึงไม่จำเป็นต้องมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการชุดหลังตามคำขอของผู้ร้องอีกการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องเป็นการชอบแล้ว คดีไม่จำต้องวินิจฉัยว่าผู้ร้องนำคดีมาฟ้องขอให้เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดหรือไม่อีกต่อไปเพราะไม่ทำให้ผลคำวินิจฉัยทั้งมวลในคดีนี้เปลี่ยนแปลงไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7097/2550 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งพนักงานตรวจแรงงานเป็นที่สุดเมื่อนายจ้างไม่นำคดีไปสู่ศาลภายใน 30 วัน ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน
โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างได้ยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ฯ และพนักงานตรวจแรงงานมีคำสั่งให้จำเลยจ่ายเงินค่าจ้างแก่โจทก์จำนวน 50,000 บาท ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ฯ มาตรา 124 ซึ่งตามมาตรา 125 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "เมื่อพนักงานตรวจแรงงานได้มีคำสั่งตามมาตรา 124 แล้ว ถ้านายจ้าง ลูกจ้าง หรือทายาทโดยธรรมของลูกจ้างซึ่งถึงแก่ความตายไม่พอใจคำสั่งนั้น ให้นำคดีไปสู่ศาลภายในสามสิบวันนับแต่วันทราบคำสั่ง" และวรรคสองบัญญัติว่า "ในกรณีที่นายจ้าง ลูกจ้าง หรือทายาทโดยธรรมของลูกจ้างซึ่งถึงแก่ความตายไม่นำคดีไปสู่ศาลภายในกำหนด ให้คำสั่งนั้นเป็นที่สุด" เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า พนักงานตรวจแรงงานได้มีคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน ที่ 13/2546 ให้จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจและเป็นนายจ้างของโจทก์จ่ายเงินค่าจ้างเป็นเงิน 50,000 บาท แก่โจทก์ แล้วจำเลยทั้งสองไม่นำคดีไปสู่ศาลภายในสามสิบวันนับแต่ทราบคำสั่ง คำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน ที่ 13/2546 จึงเป็นที่สุด ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ฯ มาตรา 125 วรรคสอง บทบัญญัติดังกล่าวยังถือเป็นขั้นตอนและวิธีการนำคดีไปสู่ศาลตามที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน ฯ มาตรา 8 วรรคท้าย ดังนั้น จำเลยทั้งสองจะดำเนินการใดในเรื่องเดียวกันที่ศาลแรงงานกลางอีกไม่ได้ ซึ่งรวมตลอดถึงการให้การต่อสู้คดี จำเลยทั้งสองจึงไม่มีสิทธิให้การต่อสู้คดีว่าจำเลยทั้งสองไม่เคยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้าง ที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้งดสืบพยานจำเลยทั้งสอง แล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันจ่ายค่าจ้างที่ค้างชำระแก่โจทก์ตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน ที่ 13/2546 จึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10406/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งพนักงานตรวจแรงงานเป็นที่สุดหากนายจ้างไม่ฟ้องคัดค้านภายใน 30 วัน
ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยค้างจ่ายค่าจ้างและค่าทำงานในวันหยุดแก่โจทก์ โจทก์จึงร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานกลุ่มสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานพื้นที่ 8 พนักงานตรวจแรงงานสอบสวนข้อเท็จจริงแล้วมีคำสั่งให้จำเลยจ่ายค่าจ้างและค่าทำงานในวันหยุดแก่โจทก์และได้ส่งคำสั่งให้จำเลยตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 143 วรรคหนึ่ง จำเลยได้รับทราบคำสั่งเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2548 แล้ว จำเลยไม่นำคดีไปสู่ศาลแรงงานภายในสามสิบวันนับแต่วันทราบคำสั่ง คำสั่งดังกล่าวจึงเป็นที่สุดตามมาตรา 125 วรรคสอง จำเลยมีหน้าที่ต้องจ่ายเงินตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานให้โจทก์ภายในสิบห้าวันนับแต่วันทราบคำสั่งตามมาตรา 124 วรรคสาม โดยไม่มีสิทธิยกข้อต่อสู้ตามคำให้การซึ่งยุติไปแล้วในชั้นพนักงานตรวจแรงงานมากล่าวอ้างในชั้นที่โจทก์ฟ้องต่อศาลแรงงานกลางขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานอีก
of 2