พบผลลัพธ์ทั้งหมด 63 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4709-4710/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์: เพลิงไหม้หลังชนเกิดจากความประมาทผู้ขับขี่, การประเมินค่าเสียหาย
รถยนต์ของโจทก์ที่2เกิดเพลิงไหม้หลังจากถูกนำมาเก็บรักษาไว้ที่สถานีตำรวจเพียงระยะเวลาไม่ถึง1ชั่วโมงหลังเกิดเหตุรถยนต์ชนกันก็ตามแต่นับจากขณะเกิดเหตุจนถึงรถยนต์คันเกิดเหตุเกิดเพลิงไหม้ก็ยังไม่เกิน1ชั่วโมงซึ่งเป็นระยะเวลาสั้นๆสำหรับการลากจูงรถยนต์ของโจทก์ที่2มาเก็บไว้ที่สถานีตำรวจก็ไม่ปรากฏว่าเป็นการลากจูงที่ผิดต่อระเบียบเจ้าพนักงานประการใดทั้งก่อนเกิดเหตุเพลิงไหม้ไม่มีการเปิดฝากระโปรงหน้ารถยนต์ของโจทก์ที่2แสดงให้เห็นว่าก่อนเกิดเหตุเพลิงไหม้ไม่มีผู้ใดแตะต้องเครื่องยนต์ของรถยนต์ของโจทก์ที่2ทั้งตลอดเวลาที่ทำการลากจูงซึ่งรถต้องเคลื่อนไหวดังนั้นไม่ว่าจะมีการถอดขั้วแบตเตอรี่รถยนต์ของโจทก์ที่2ก่อนลากจูงหรือไม่ก็ตามการลากจูงรถยนต์เช่นนั้นจึงมิใช่สาเหตุโดยตรงที่ทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่ตัวรถตามพฤติการณ์ดังกล่าวย่อมฟังได้ว่าเหตุเพลิงไหม้มิได้เกิดจากการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติของเจ้าพนักงานตำรวจแต่เกิดจากระบบของเครื่องยนต์และสายไฟฟ้าในรถได้รับอุบัติเหตุจากรถชนกันอย่างรุนแรงเหตุเพลิงไหม้รถยนต์ของโจทก์ที่2จึงเป็นผลโดยตรงจากความประมาทของลูกจ้างจำเลยที่1ที่ขับรถยนต์โดยสารชนรถยนต์ของโจทก์ที่2
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6908/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาระการพิสูจน์ความประมาทเลินเล่อของผู้ครอบครองเรือนในคดีเพลิงไหม้ - โจทก์ต้องพิสูจน์การกระทำผิด
ประกาศมหาวิทยาลัยเรื่องข้อพึงปฏิบัติสำหรับผู้พักอาศัยในที่พักของมหาวิทยาลัยเป็นเพียงข้อที่ผู้เข้าอยู่อาศัยควรปฏิบัติตาม ถ้าไม่ปฏิบัติตามและพิสูจน์ได้ว่าผู้เข้าอยู่อาศัยกระทำให้ที่พักหรืออุปกรณ์เสียหาย ต้องรับผิดชอบในความเสียหายนั้นคดีนี้แม้ฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองบ้านที่เกิดเหตุและขณะเกิดเหตุเพลิงไหม้ไม่มีผู้ใดอยู่ในบ้าน แต่เมื่อมีความเสียหายเกิดขึ้นกับตัวบ้าน กฎหมายมิได้วางบทสันนิษฐานล่วงเลยไปให้เป็นโทษแก่จำเลยผู้ครอบครองเรือนต้องรับผิดในความเสียหายโจทก์จึงมีภาระการพิสูจน์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84 ประกอบประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6908/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาระการพิสูจน์ความประมาทเลินเล่อของผู้ครอบครองบ้านพักเมื่อเกิดเพลิงไหม้
ประกาศมหาวิทยาลัยโจทก์เรื่องข้อพึงปฏิบัติสำหรับผู้พักอาศัยในที่พักของมหาวิทยาลัย ต้องรับผิดชอบซ่อมแซมหรือชดใช้ต่อการชำรุดเสียหายของที่พักในระหว่างที่อยู่อาศัย ซึ่งมีหลักฐานแน่ชัดว่าได้เกิดขึ้นจากการกระทำของผู้อาศัยเอง และต้องระมัดระวังการใช้ไฟฟ้า อย่าประมาทเลินเล่อ ปล่อยทิ้งไว้โดยไม่มีการเหลียวแลเป็นอันขาด เป็นเพียงข้อที่ผู้เข้าอยู่อาศัยควรปฏิบัติตาม ถ้าหากไม่ปฏิบัติตามและพิสูจน์ได้ว่าผู้เข้าอยู่อาศัยกระทำให้ที่พักหรืออุปกรณ์เสียหาย ก็ต้องรับผิดชอบในความเสียหายนั้น เมื่อจำเลยเป็นผู้ครอบครองบ้านพักที่เกิดเหตุและขณะเกิดเหตุเพลิงไหม้ไม่มีผู้ใดอยู่ในบ้าน แต่เมื่อมีความเสียหายเกิดขึ้นกับตัวบ้านกฎหมายมิได้วางบทสันนิษฐานล่วงเลยไปให้เป็นโทษแก่จำเลยผู้ครองเรือนต้องรับผิดในความเสียหาย โจทก์จึงมีภาระการพิสูจน์ว่าจำเลยกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84 ประกอบประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6892/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความเสียหายจากเพลิงไหม้: โจทก์ต้องพิสูจน์การกระทำละเมิดของจำเลย ไม่ใช่ความเสียหายจากตัวทรัพย์
กรณีที่เข้าข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 437 นั้น จะต้องเป็นความเสียหายที่เกิดจากตัวทรัพย์นั้นโดยตรง แม้กระแสไฟฟ้าจะเป็นทรัพย์ที่เกิดอันตรายโดยสภาพแต่ตามฟ้องโจทก์อ้างเหตุละเมิดเพราะจำเลยทั้งสองไม่ตัดกระแสไฟฟ้าให้ไม่ปลอดภัยต่อการดับเพลิง เป็นเหตุให้เพลิงลุกลามไหม้บ้านโจทก์ ซึ่งเป็นการกระทำของบุคคล หาใช่ความเสียหายที่เกิดจากตัวทรัพย์คือกระแสไฟฟ้าไม่ โจทก์จึงมีภาระการพิสูจน์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6278/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้ทรัพย์สินเช่าผิดวัตถุประสงค์และละเลยการดูแลรักษาทำให้เกิดเพลิงไหม้ ผู้เช่าต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย
ที่ดินและตึกแถวที่เกิดเพลิงไหม้เป็นของบิดาโจทก์ บิดาโจทก์ให้ ข. มีสิทธิเก็บกินตลอดชีวิต ข. ให้จำเลยเช่าเป็นเวลา7 ปี เมื่อบิดาโจทก์และ ข. ถึงแก่ความตายระหว่างสัญญาเช่ายังไม่สิ้นสุดลง โจทก์ทั้งสองเป็นผู้รับโอนมรดกที่ดินและตึกแถวดังกล่าว จึงรับโอนสิทธิหน้าที่ที่บิดาโจทก์ทั้งสองมีอยู่รวมถึงสิทธิที่ ข. ผู้มีสิทธิเก็บกินให้จำเลยเช่านี้ด้วย โจทก์ทั้งสองจึงมีอำนาจฟ้องจำเลย สัญญาเช่าระบุวัตถุประสงค์การเช่าว่าเพื่อใช้ประกอบธุรกิจการค้า การที่จำเลยนำสินค้าของจำเลยซึ่งมีกล่องกระดาษบรรจุสินค้าและเศษกล่องกระดาษที่ใช้แล้วเก็บไว้ในตึกแถวพิพาทจำนวนมากเป็นการใช้ทรัพย์สินที่เช่าเพื่อการอย่างอื่นนอกจากการที่กำหนดไว้ในสัญญาจำเลยไม่จัดให้มีเครื่องดับเพลิงและเวรยาม แม้ผลการสอบสวนไม่อาจทราบได้ว่าบุคคลใดทำให้เกิดเพลิงไหม้ก็ตาม แต่เหตุเกิดเพลิงไหม้ครั้งนี้ก็เพราะความผิดของจำเลยดังกล่าวมาแล้ว จำเลยจึงต้องรับผิดในความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใด ๆ อันเกิดขึ้นแก่ทรัพย์สินที่เช่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 552 และมาตรา 562
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 598/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อยกเว้นความรับผิดในสัญญาประกันภัย: การระเบิดจากเพลิงไหม้ไม่ได้รับความคุ้มครอง
กรมธรรม์ประกันภัยมีเงื่อนไขแห่งความรับผิดว่าจำเลยจะต้องรับผิดในทรัพย์สินที่เอาประกันภัยในกรณีที่ทรัพย์สินสูญเสียหรือเสียหายเนื่องจากเพลิงไหม้ หรือฟ้าผ่าหรือการระเบิดของแก๊สที่ใช้สำหรับทำแสงสว่างหรือประโยชน์เพื่อการอยู่อาศัยเท่านั้น แต่สำหรับวินาศภัยที่เกิดขึ้นจากการระเบิดมีข้อยกเว้นเหตุแห่งการสูญเสียและการเสียหายว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดในความเสียหายจากการระเบิดที่เกิดขึ้นจากเพลิงไหม้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าขณะเครื่องจักรตีแป้งที่เอาประกันภัยไว้กำลังทำงานชิ้นส่วนโลหะภายในเครื่องเกิดหลุดหรือหักออกทำให้ชิ้นส่วนโลหะดังกล่าวกระทบกันเกิดเป็นประกายไฟลุกติดกับผงละอองแป้งภายในเครื่องตีแป้งแล้วลุกเป็นไฟลามไปตามท่อจนถึงถังรองรับไซโคลน ทำให้มีการเผาไหม้ภายในถังรองรับไซโคลนเกิดแรงอัดสูงสุดจนระเบิดขึ้น เป็นเหตุให้ทรัพย์สินที่โจทก์เอาประกันภัยไว้สูญเสียหรือเสียหาย ความสูญเสียหรือเสียหายจึงมีสาเหตุโดยตรงมาจากการระเบิดในถังรองรับไซโคลนการสูญเสียหรือเสียหายของทรัพย์สินโจทก์ที่เอาประกันภัยไว้กับจำเลยจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามสัญญาประกันภัยเพราะได้รับยกเว้นตามกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าว จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ตามสัญญาประกันภัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3870/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ครูเวรไม่ต้องรับผิดเพลิงไหม้โรงเรียน หากความเสียหายเกิดจากเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงและไม่ใช่ผลโดยตรงจากการประมาท
คืนเกิดเหตุจำเลยเป็นครูเวรของโรงเรียนแล้วมีนักเรียนลอบเข้าไปจุดเทียนไขอ่านหนังสือในห้องสมุดของโรงเรียน จนเป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้โรงเรียนซึ่งเป็นทรัพย์สินของโจทก์ในขณะที่จำเลยไม่ได้อยู่เฝ้าที่โรงเรียนนั้น กรณีเห็นได้ชัดว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่จำเลยไม่อาจคาดเห็นหรือควรจะได้คาดเห็นว่าจะเกิดขึ้นได้เลย ความเสียหายของโจทก์จึงหาใช่ผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลยไม่ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2582/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาต่างตอบแทนพิเศษกว่าเช่า ย่อมมีผลเหนือกว่าสัญญาเช่าฉบับหลัง แม้เกิดเหตุเพลิงไหม้ก็ไม่ถือเป็นการบอกเลิกสัญญา
โจทก์ให้จำเลยรื้อห้องแถวเดิมออกแล้วสร้างอาคารตึกแถวขึ้นใหม่โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายแล้วยกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์และโจทก์ตกลงให้จำเลยเช่าอาคารตึกแถวดังกล่าวมีกำหนดระยะเวลาโดยถือเอาอายุฝ่ายผู้เช่าเป็นหลัก เป็นสัญญาต่างตอบแทนพิเศษยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา ต่อมาภายหลังโจทก์เรียกจำเลยมาทำสัญญาเช่าอาคารตึกแถวดังกล่าวมีกำหนด 1 ปี โดยมิได้มีเจตนาบังคับกันจริงจัง สัญญาเช่าฉบับหลังจึงไม่มีผลลบล้างสัญญาต่างตอบแทนที่ตกลงกันไว้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาและขับไล่จำเลยตามสัญญาเช่าฉบับหลัง จำเลยนำสืบว่าสัญญาที่แท้จริงระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาต่างตอบแทนพิเศษยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดาซึ่งไม่จำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ ไม่เป็นการนำสืบพยานบุคคลเพื่อเพิ่มเติมตัดทอนหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในสัญญาเช่า (ฉบับหลัง)ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 แม้ว่าบริเวณใกล้เคียงอาคารตึกแถวที่พิพาทจะถูกเพลิงไหม้และทางราชการประกาศเป็นเขตเพลิงไหม้ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคารพ.ศ. 2522 เพื่อทำการปรับปรุงที่ดินให้เป็นถนน ซึ่งรวมอาคารตึกแถวพิพาทเข้าในเขตเพลิงไหม้ดังกล่าวด้วย แต่เมื่ออาคารตึกแถวพิพาทยังไม่ถูกทำลายหรือสูญหาย โจทก์จึงไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ส่วนข้อที่อ้างว่าโจทก์ในฐานะเจ้าของตึกแถวพิพาทถูกบังคับให้รื้อถอนอาคารตึกแถวพิพาทตามประกาศของทางราชการซึ่งออกตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 นั้นโจทก์จะยกเงื่อนไขดังกล่าวมาบอกเลิกสัญญาเช่าแก่จำเลยไม่ได้เพราะการที่ทางราชการต้องการใช้ที่ดินแห่งใดเพื่อประโยชน์ของทางราชการ มิใช่หน้าที่ของโจทก์ที่จะดำเนินการ ซึ่งตามพระราชบัญญัติ ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 61 ก็ได้บัญญัติไว้แล้วว่ากรณีที่มีความจำเป็นต้องจัดให้ได้มาซึ่งที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ใดเพื่อประโยชน์ตามที่กำหนดในแผนผังปรับปรุงเขตเพลิงไหม้ ให้ดำเนินการเวนคืนที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์นั้นโดยให้นำกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์มาใช้บังคับโดยอนุโลม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1512/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลคำพิพากษาคดีอาญาผูกพันคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกัน ประเด็นความประมาทเป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้
คดีแพ่งที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามในมูลละเมิด เป็นการกระทำเดียวกันกับคดีอาญาที่อัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ในข้อหาความผิดต่อชีวิต ประมาท และก่อให้เกิดเพลิงไหม้ การที่จำเลยที่ 1ที่ 2 ในคดีแพ่ง ยื่นคำร้องขออ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 4531/2532 ของคดีอาญาดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานในชั้นฎีกา เมื่อข้อเท็จจริง ปรากฏว่าศาลชั้นต้นพิพากษาคดีแพ่งเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2528 ส่วนคำพิพากษาฎีกาที่ 4531/2532 ได้อ่านให้คู่ความฟังเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2533 จำเลยที่ 1ที่ 2 ในคดีแพ่ง จึงไม่อาจอ้าง คำพิพากษาฎีกาดังกล่าวได้ก่อนนั้น และปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้เคยยื่นคำร้องขออ้างคำพิพากษาฎีกาที่4531/2532 ต่อศาลอุทธรณ์ มาแล้ว แต่ศาลอุทธรณ์มิได้มีคำสั่งอย่างใดดังนี้เห็นว่า คำพิพากษาฎีกาที่ 4531/2532 เป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็น ในคดี เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลฎีกามีอำนาจรับ พยานหลักฐานดังกล่าวเข้าสู่สำนวนความในชั้นฎีกาได้ พนักงานอัยการเคยเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญากล่าวหาจำเลยที่ 2 เป็นจำเลย ว่ากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้ ซึ่งมี มูลคดีเป็นการกระทำเดียวกันกับคดีแพ่งมาก่อน คดีของโจทก์ใน คดีแพ่งจึงเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา เมื่อผลของคำพิพากษา คดีส่วนอาญา มีคำวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 มิได้กระทำประมาท เป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้และคดีถึงที่สุดไปแล้ว ข้อเท็จจริง ดังกล่าวศาลในคดีส่วนแพ่งจึงต้องถือตามที่ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 บัญญัติไว้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1382/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้รับฝากทรัพย์ กรณีเพลิงไหม้โกดัง: พิจารณาความระมัดระวังและเหตุสุดวิสัย
โกดังเก็บสินค้าของจำเลยที่เก็บรักษาทรัพย์สินที่รับฝาก มีผนังเป็นคอนกรีต หลังคาโครงเหล็กมุงสังกะสี สถานที่เก็บรักษาทรัพย์สินที่รับฝากในลักษณะอย่างนี้มีสภาพเหมาะสมกับการเก็บรักษาสินค้าที่รับฝากโดยมีบำเหน็จแล้ว ส่วนการดูแลรักษาทรัพย์สินที่รับฝากนั้นจำเลยมีเครื่องดับเพลิงที่ใช้น้ำยาเคมี ขนาดสูง 2 ฟุต ประมาณ10 เครื่อง แม้จำเลยมิได้จัดให้มีสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้ก็ตามแต่จำเลยก็มีพนักงานเฝ้าดูแลโกดังทั้งกลางวันกลางคืน เช่นนี้ ถือได้ว่า จำเลยได้ใช้ความระมัดระวังและใช้ฝีมือเพื่อสงวนทรัพย์สินนั้นเหมือนเช่นวิญญูชนจะพึงประพฤติโดยพฤติการณ์ดั่งนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 659 วรรคสอง แล้ว ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยทำกิจการรับฝากสินค้าจากบริษัทต่าง ๆหลายแห่ง และทำมานานสิบกว่าปีแล้ว จำเลยจึงเป็นผู้รับฝากที่เป็นผู้มีวิชาชีพเฉพาะกิจการค้าขายหรืออาชีวะอย่างหนึ่งอย่างใดจึงต้องใช้ความระมัดระวังและใช้ฝีมือเท่าที่เป็นธรรมดาจะต้องใช้และสมควรต้องใช้ในกิจการเฉพาะกิจการค้าขายหรืออาชีวะอย่างนั้นตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 659 วรรคสาม นั้นข้อเท็จจริงดังกล่าวโจทก์มิได้กล่าวมาในฟ้อง จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย