คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
เพิกถอนการจดทะเบียน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 31 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4608/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขยายระยะเวลาอุทธรณ์และผลกระทบต่อการเพิกถอนการจดทะเบียนที่ดิน
หลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว ทนายความจำเลยที่ 2และที่ 3 ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ต่อศาลชั้นต้นพร้อมทั้งยื่นใบแต่งทนายความลงวันที่เดียวกันกับคำร้องระบุจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้แต่งทนายความและมีจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยที่ 3 ลงลายมือชื่อในช่องผู้แต่งทนายความ แต่มิได้ประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 3 ให้ถูกต้องตามที่จดทะเบียนไว้ ศาลชั้นต้นรับใบแต่งทนายความและอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ตามคำร้อง หลังจากนั้นมีการยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์อีก 1 ครั้ง ต่อมาจำเลยทั้งสามยื่นอุทธรณ์เป็นฉบับเดียวกันภายในกำหนดเวลาที่ได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้น โดย ส. ทนายความเป็นผู้เรียงอุทธรณ์พร้อมทั้งยื่นใบแต่งทนายความ 2 ฉบับ ลงวันที่เดียวกันกับอุทธรณ์ ฉบับหนึ่งมีจำเลยที่ 3 เป็นผู้แต่งทนายความ โดยมีจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อในช่องผู้แต่งทนายความและประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 3 ส่วนอีกฉบับหนึ่ง จำเลยที่ 1 เป็นผู้แต่งทนายความและลงลายมือชื่อในช่องผู้แต่งทนายความดังนี้ ในส่วนของจำเลยที่ 3 ต้องถือว่าจำเลยที่ 3 ได้ยื่นคำร้องพร้อมกับจำเลยที่ 2 ขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ก่อนครบกำหนดอุทธรณ์และได้ยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนดเวลาที่ได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นเพียงแต่ใบแต่งทนายความของจำเลยที่ 3 ฉบับแรกไม่ถูกต้องตามข้อบังคับของจำเลยที่ 3ที่ได้จดทะเบียนไว้ แต่จำเลยที่ 3 ได้แก้ไขข้อบกพร่องโดยยื่นใบแต่งทนายความฉบับใหม่ต่อศาลชั้นต้นพร้อมกับยื่นอุทธรณ์และศาลชั้นต้นรับใบแต่งทนายความฉบับใหม่ไว้แล้วคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 จึงมีผลสมบูรณ์และผูกพันจำเลยที่ 3 มาแต่เริ่มแรก ศาลอุทธรณ์จึงไม่จำเป็นต้องสั่งขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ให้แก่จำเลยที่ 3 อีก แม้จำเลยที่ 3 จะไม่เคยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์มาก่อน แต่การขยายระยะเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ศาลมีอำนาจสั่งเองได้ โดยคู่ความไม่จำเป็นต้องร้องขอ และจะกระทำได้ต่อเมื่อมีพฤติการณ์พิเศษกับมีคำสั่งก่อนสิ้นระยะเวลานั้นเว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุสุดวิสัย ซึ่งเหตุสุดวิสัยดังกล่าวหมายถึงเหตุที่ทำให้ศาลไม่สามารถมีคำสั่งหรือคู่ความไม่สามารถมีคำขอขึ้นมาก่อนสิ้นระยะเวลาที่กฎหมายหรือศาลกำหนดไว้ ฉะนั้น หากมีพฤติการณ์นอกเหนือที่ศาลไม่อาจมีคำสั่งขยายเวลาให้ก่อนสิ้นระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ในการดำเนินการกระบวนพิจารณาย่อมนับได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัย คดีนี้ศาลอุทธรณ์ไม่อาจมีคำสั่งให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ก่อนครบกำหนดอุทธรณ์ได้ นับได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัย เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นสมควรศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ให้แก่จำเลยที่ 3 ภายในกำหนดเวลาที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยที่ 2 และที่ 3ยื่นอุทธรณ์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 23 และ 246

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1945/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีและการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน: การซื้อขายทอดตลาดและการเพิกถอนการจดทะเบียน
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาลชั้นต้นขอให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 1 ให้แก่โจทก์ตามสัญญาจะซื้อขายศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 1 ให้แก่โจทก์ เมื่อโจทก์ชำระเงินค่าที่ดินให้แก่จำเลยที่ 1 แล้ว หากไม่สามารถโอนได้ให้จำเลยที่ 1 คืนเงินมัดจำพร้อมดอกเบี้ยให้โจทก์ คดีถึงที่สุดแล้ว ต่อมาเจ้าพนักงานบังคับคดีนำที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 1 กับส่วนของ พ.ออกขายทอดตลาด จำเลยที่ 2 เป็นผู้ซื้อได้และได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเฉพาะส่วนดังกล่าวเป็นของจำเลยที่ 2เมื่อปรากฏว่าในขณะที่ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาอันถึงที่สุดให้จำเลยที่ 1 โอนที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 1 ให้แก่โจทก์นั้น เจ้าพนักงานบังคับคดีกำลังประกาศขายทอดตลาดที่ดินส่วนของจำเลยที่ 1 และ พ. ตามคำสั่งศาล ถือได้ว่าเป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 ไม่สามารถโอนที่ดินให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาได้ และเมื่อจำเลยที่ 1 ได้คืนเงินมัดจำพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์โดยนำมาวางไว้ต่อศาลชั้นต้น เป็นการปฏิบัติตามขั้นตอนของการบังคับคดีที่กำหนดไว้ก่อนหลังตามคำพิพากษาจึงไม่ทำให้โจทก์เสียหายการที่จำเลยที่ 2 ซื้อที่ดินส่วนของจำเลยที่ 1 และ พ. จากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลและจดทะเบียนการโอนที่ดินดังกล่าว จึงถือไม่ได้ว่าเป็นทางให้เสียเปรียบแก่โจทก์โจทก์จึงไม่อาจฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนของจำเลยที่ 2ได้ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1945/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายที่ดินที่ขัดแย้งกับการบังคับคดี ศาลไม่อนุญาตให้เพิกถอนการจดทะเบียน
ในขณะที่ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีก่อนให้จำเลยที่1โอนที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยที่1ให้แก่โจทก์นั้นเป็นช่วงเวลาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีกำลังประกาศขายทอดตลาดที่ดินส่วนของจำเลยที่1และพ. ตามคำสั่งศาลในคดีหลังจึงเป็นกรณีที่จำเลยที่1ไม่สามารถโอนที่ดินให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาคดีก่อนได้และปรากฎว่าจำเลยที่1ได้คืนเงินมัดจำพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์โดยนำมาวางไว้ต่อศาลชั้นต้นซึ่งเป็นการปฎิบัติตามขั้นตอนของการบังคับคดีที่กำหนดไว้ก่อนหลังตามคำพิพากษาในคดีดังกล่าวแล้วจึงไม่ทำให้โจทก์เสียหายดังนั้นการที่จำเลยที่2ซื้อที่ดินส่วนของจำเลยที่1และพ. จากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลและจดทะเบียนการโอนที่ดินดังกล่าวจึงถือไม่ได้ว่าเป็นทางให้เสียเปรียบแก่โจทก์โจทก์จึงไม่อาจฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนของจำเลยที่2ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1300

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 843/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินจากการฟ้องคดีโดยจำเลยจงใจทำให้โจทก์ไม่ทราบ และข้อมูลไม่ตรงกัน
โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทจำเลยนำคดีมาฟ้องโจทก์ว่าผิดสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทโดยขณะที่จำเลยยื่นฟ้องนั้นโจทก์ไม่เคยมีภูมิลำเนาและไม่เคยอาศัยอยู่ในบ้านตามที่โจทก์ระบุในคำฟ้องในการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่โจทก์แม้บุคคลที่อยู่ในบ้านจะแจ้งว่าไม่มีคนชื่อเดียวกับโจทก์อยู่ในบ้านดังกล่าวจำเลยก็แถลงยืนยันว่าโจทก์มีภูมิลำเนาตามฟ้องโดยไม่ได้แสดงหลักฐานต่อศาลแสดงให้เห็นว่าได้มีการเตรียมการไว้ล่วงหน้าที่จะฟ้องโดยไม่ได้แสดงหลักฐานต่อศาลแสดงให้เห็นว่าได้มีการเตรียมการไว้ล่วงหน้าที่จะฟ้องโจทก์โดยไม่ให้โจทก์ทราบว่าถูกฟ้องนอกจากนี้ชื่อโจทก์ที่ระบุในคำฟ้องก็ไม่ตรงกับชื่อโจทก์ที่แท้จริงทำให้โจทก์ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาหลังจากศาลพิพากษาแล้วจำเลยได้นำคำพิพากษาไปให้เจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์เป็นของจำเลยทั้งๆที่ชื่อโจทก์ในคดีที่จำเลยฟ้องไม่ตรงกับชื่อในโฉนดที่ดินพฤติการณ์ของจำเลยในการดำเนินคดีและการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินเป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นอันเป็นการมิชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา421ถือว่าเป็นการละเมิดต่อโจทก์ตามมาตรา420ดังนั้นการได้ที่ดินพิพาทของจำเลยเป็นการได้ไปโดยกระทำละเมิดต่อโจทก์โจทก์จึงขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทดังกล่าวได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4882/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ-ไม่รับฟ้อง: คดีเพิกถอนการจดทะเบียนรับโอนที่ดิน & คดีสัญญาจะซื้อขาย, การเปลี่ยนแปลงข้อความในเอกสาร
สัญญาค้ำประกันเป็นเอกสารที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา380วรรคสองบังคับให้ต้องมีมาแสดงตรงตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา94โจทก์คงมีเพียงเอกสารซึ่งมีข้อความระบุว่าจำเลยที่5เป็นผู้ค้ำประกันและผู้ค้ำประกันทำสัญญาค้ำประกันค่าเช่าซื้อให้แก่ถ้าผู้เช่าซื้อไม่ชำระค่าเช่าซื้อให้ตามสัญญาหรือผู้เช่าซื้อตายหรือล้มละลายหรือหนี้เหตุหนึ่งเหตุใดซึ่งกระทำให้ผู้ให้เช่าต้องเสียหายผู้ค้ำประกันยอมรับผิดชอบชำระหนี้ตลอดจนค่าเสียหายต่างๆที่เกิดขึ้นทั้งสิ้นซึ่งเป็นสัญญาค้ำประกันการเช่าซื้อมาแสดงต่อศาลเท่านั้นหาใช่สัญญาค้ำประกันมูลหนี้การซื้อขายตามฟ้องมาแสดงต่อศาลไม่การที่โจทก์นำสืบพยานบุคคลว่าจำเลยที่5ทำสัญญาค้ำประกันมูลหนี้ตามฟ้องแก่โจทก์เป็นการเปลี่ยนแปลงข้อความในสัญญาเอกสารจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา94(ข)จึงต้องฟังว่าโจทก์ไม่มีเอกสารสัญญาค้ำประกันมูลหนี้ตามฟ้องมาแสดงต่อศาลโจทก์จึงฟ้องร้องให้จำเลยที่5รับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่1ไม่ได้ ฟ้องโจทก์ที่ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนรับโอนที่ดินซึ่งจำเลยที่2ถึงที่6รับโอนเกินส่วนไปคืนแก่จำเลยที่1หากจำเลยทั้งหกไม่ดำเนินการก็ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทนนั้นไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีอีกเรื่องหนึ่งดังนี้คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกฟ้องของโจทก์ในคำฟ้องส่วนนี้นั้นเป็นคำสั่งไม่รับคำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา18และมาตรา228(3)ซึ่งมิได้ทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่องหากเสร็จไปแต่ประเด็นบางข้อโจทก์จึงมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวได้เมื่อศาลพิพากษาคดีดังกล่าวแล้วตามบทบัญญัติวรรคสามของมาตรา228แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง คำฟ้องในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่1เป็นเรื่องที่โจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องของจำเลยที่1ในนามของตนเองให้จำเลยที่2ถึงที่6โอนสิทธิครอบครองในที่ดินแปลงดังกล่าวแล้วคืนให้แก่จำเลยที่1โดยปลอดจำนองเพื่อป้องกันสิทธิของโจทก์ในมูลหนี้ตามสัญญาจะซื้อขายและหากจำเลยทั้งหกไม่ยอมปฏิบัติตามก็ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนหาได้มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับคำฟ้องในคดีก่อนซึ่งโจทก์ฟ้องโดยอาศัยเหตุว่าจำเลยที่1ผิดสัญญาไม่ยอมโอนสิทธิการครอบครองที่ดินดังกล่าวแล้วให้แก่โจทก์ตามสัญญาจะซื้อขายจึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยที่1โอนสิทธิครอบครองที่ดินดังกล่าวแล้วแก่โจทก์คำฟ้องคดีนี้จึงไม่ซ้ำเช่นกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4827/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนการจดทะเบียนที่ดินและการต่อสู้สิทธิครอบครอง เกิน 1 ปี ศาลฎีกาพิพากษาให้ส่งสำนวนคืนเพื่อพิพากษาใหม่
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนและนิติกรรมแบ่งขาย โอนขายที่ดินระหว่างโจทก์ผู้ขายกับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ผู้ซื้อเป็นการฟ้องเรียกคืนที่ดินให้กลับคืนมาเป็นของโจทก์เป็นคดีมีทุนทรัพย์ แม้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 จะขาดนัดยื่นคำให้การ แต่จำเลยที่ 5 ให้การต่อสู้กรรมสิทธิ์ก็ต้องถือว่าเป็นคดีมีทุนทรัพย์ทั้งคดี เมื่อที่ดินมีราคา50,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 จำเลยที่ 5 ให้การแต่เพียงว่า จำเลยที่ 5 แย่งการครอบครองที่ดินพิพาทมาเกิน 1 ปีแล้ว ฟ้องโจทก์ขาดอายุความการที่ศาลชั้นต้นหยิบยกบันทึกข้อตกลงที่ทำขึ้นภายหลังแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์สละสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 5 และศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าบันทึกข้อตกลงดังกล่าวเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น และมิใช่ข้อที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนอันศาลจะยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยนอกประเด็นถือได้ว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์และเป็นข้อกฎหมายซึ่งเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6939/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาท กรณีจำเลยรับโอนโดยไม่สุจริต และเป็นการเสียเปรียบต่อผู้มีสิทธิก่อน
โจทก์ที่2มีชื่อในโฉนดที่ดินผู้เดียวแต่เป็นการถือกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแทนโจทก์ที่1ซึ่งโจทก์ที่1ครอบครองเป็นสัดส่วนแล้วโจทก์ที่2จึงไม่มีสิทธิที่จะขายที่ดินพิพาทให้จำเลยการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์ที่2กับจำเลยเป็นทางเสียเปรียบแก่โจทก์ที่1ผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของโจทก์ที่1ได้อยู่ก่อนแล้วแม้จำเลยได้รับโอนโดยมีค่าตอบแทนแต่กระทำการโดยไม่สุจริตโจทก์ที่1ย่อมเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนที่ดินพิพาทนั้นได้ คำฟ้องระบุเลขที่ของโฉนดผิดพลาดไปไม่ตรงกับเลขที่โฉนดในภาพถ่ายเอกสารท้ายฟ้องซึ่งเป็นโฉนดเลขที่39533จำเลยมิได้หลงต่อสู้ทั้งยังแนบภาพถ่ายโฉนดเลขที่39533มาท้ายคำให้การการที่ศาลอุทธรณ์ภาค1ระบุเลขที่โฉนดที่ให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนเป็นโฉนดเลขที่35933ทั้งที่คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค1ในส่วนอื่นๆก็ระบุเป็นที่ดินโฉนดเลขที่39533ดังนี้ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจแก้ไขข้อผิดพลาดดังกล่าวให้ถูกต้องได้แม้ไม่มีฝ่ายใดยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6849/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนการจดทะเบียนแก้ไขเนื้อที่ดินที่ไม่ชอบ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าผู้รับผิดชอบการจดทะเบียนต้องเพิกถอนให้ถูกต้อง
เมื่อกรมที่ดินจำเลยที่4จะต้องรับผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในการเพิกถอนการจดทะเบียนแก้ไขเนื้อที่และรูปแผนที่ในโฉนดของจำเลยที่1ซึ่งหากไม่อาจเพิกถอนได้ผู้ที่จะใช้ราคาที่ดินคือจำเลยที่1ส่วนจำเลยที่2และที่3มิได้ถูกพิพากษาให้ต้องรับผิดเมื่อเป็นเช่นนี้ในการรังวัดที่ดินของจำเลยที่2ซึ่งเป็นพนักงานรังวัดที่ดินและการเสนอความเห็นของจำเลยที่3ซึ่งเป็นหัวหน้าหมวดรังวัดที่ดินต่อผู้บังคับบัญชาเพื่อแก้ไขเนื้อที่และรูปแผนที่ในโฉนดที่ดินไม่ว่าโจทก์จะได้ไปชี้แนวเขตหรือไม่และจำเลยที่2และที่3ได้กระทำตามระเบียบว่าด้วยการรังวัดหรือไม่ก็ตามในเมื่อมีการจดทะเบียนแก้ไขเนื้อที่และรูปแผนที่ในโฉนดที่ดินเป็นเหตุให้จำเลยที่1ได้รับที่ดินเพิ่มขึ้นและทำให้ที่ดินพิพาทของโจทก์ตกเป็นของจำเลยที่1การจดทะเบียนที่ได้ทำไปจึงเป็นการไม่ชอบจำเลยที่4ในฐานะที่เป็นผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับการจดทะเบียนในโฉนดที่ดินจึงมีหน้าที่ที่จะต้องเพิกถอนการจดทะเบียนแก้ไขเนื้อที่และรูปแผนที่ในโฉนดที่ดินให้ถูกต้องศาลจึงพิพากษาบังคับให้จำเลยที่4ทำการเพิกถอนการจดทะเบียนดังกล่าวได้และไม่ต้องวินิจฉัยว่าโจทก์ได้นำชึ้แนวเขตที่ดินหรือไม่และจำเลยที่2และที่3ได้กระทำตามระเบียบว่าด้วยการรังวัดหรือไม่เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3370/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องเพิกถอนการจดทะเบียนโอนขายที่ดิน และสิทธิในการติดตามเอาคืนทรัพย์สินจากผู้ถือกรรมสิทธิ์โดยมิชอบ
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ลงลายมือชื่อในใบมอบอำนาจที่ยังไม่ได้กรอกข้อความมอบให้มารดาโจทก์ไปดำเนินการจดทะเบียนใส่ชื่อ ส.และ ล.น้องของโจทก์ถือกรรมสิทธิ์รวมกับโจทก์ แต่มารดาโจทก์กลับไปกรอกข้อความดำเนินการจดทะเบียนโอนขายกรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนของโจทก์ให้แก่ตนเอง แล้วมารดาโจทก์จดทะเบียนยกให้แก่จำเลยต่อไป และคำขอท้ายฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าหนังสือมอบอำนาจกับหนังสือสัญญาขายที่ดินตามฟ้องเป็นโมฆะ ให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนขายและยกให้ดังกล่าว ทั้งขอให้พิพากษาว่าที่ดินตามฟ้องด้านทิศใต้เนื้อที่ 6 ไร่เป็นของโจทก์ จึงเป็นการฟ้องเรียกทรัพย์คืนจากจำเลยผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของโจทก์ไว้โดยมิชอบ โจทก์ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ย่อมมีสิทธิติดตามเอาคืนได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 ซึ่งไม่มีกำหนดเวลาในการให้เจ้าของทรัพย์สินใช้สิทธิดังกล่าว เว้นแต่จะถูกจำกัดด้วยอายุความได้สิทธิ เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ถูกจำกัดด้วยอายุความได้สิทธิฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในข้อกฎหมาย อันทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 24 การที่โจทก์อุทธรณ์และจำเลยฎีกาต่อมา จึงเป็นการอุทธรณ์และฎีกาคำสั่งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 227 ต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียงชั้นศาลละ 200 บาท ตามตาราง 1 ข้อ 2 ข. ท้าย ป.วิ.พ. มิใช่เสียตามทุนทรัพย์ที่พิพาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3096/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนการจดทะเบียนซื้อขายที่ดิน: จำเลยที่ 2 ต้องรู้ข้อตกลงสิทธิซื้อก่อนของโจทก์
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนสัญญาขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่1กับจำเลยที่2โดยมิได้บรรยายฟ้องให้ปรากฏว่าขณะที่ทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่1กับจำเลยที่2นั้นจำเลยที่2ได้รู้อยู่ก่อนแล้วว่ามีข้อตกลงระหว่างจำเลยที่1กับโจทก์ที่ให้โอกาสโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทได้ก่อนบุคคลอื่นตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา237ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์บรรยายมาในคำฟ้องจึงยังไม่อาจเพิกถอนการโอนที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองได้
of 4