พบผลลัพธ์ทั้งหมด 17 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1366/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาแก้ไขโทษจากจำคุกเป็นปรับและรอการลงโทษ มิใช่การเพิ่มเติมโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 6 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ปรับ ส่วนโทษจำคุกให้รอการลงโทษ การที่ศาลอุทธรณ์ให้รอการลงโทษจำคุกและลงโทษปรับจำเลยด้วย นั้นมิใช่เป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 565/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษจำเลยในความผิดฐานอื่นนอกเหนือจากที่โจทก์อุทธรณ์ เป็นการเพิ่มเติมโทษที่มิชอบตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
จำเลยเมาสุราขนาดหนัก ต้องการแสดงอิทธิพลด้วยสันดานอันธพาล ไม่รู้ว่าผู้เสียหายกับพวกเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ จำเลยยิงปืนใส่ผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงมีเจตนาเพียงพยายามฆ่าผู้เสียหายในฐานบุคคลธรรมดา ไม่ใช่เจ้าพนักงาน
เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยตลอดชีวิตในความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่เพียงกระทงเดียว โจทก์มิได้อุทธรณ์ให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไม่รับอนุญาตและฐานเสพสุราจนเป็นเหตุให้ตนเมา ประพฤติวุ่นวาย การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานมีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนไม่รับอนุญาต จำคุก 6 เดือนและฐานเสพสุราจนเป็นเหตุให้ตนเมาประพฤติวุ่นวาย ปรับ 100 บาท อีก 2 กระทงด้วย ย่อมไม่ได้เพราะเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยโดยที่โจทก์มิได้อุทธรณ์ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212
เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยตลอดชีวิตในความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่เพียงกระทงเดียว โจทก์มิได้อุทธรณ์ให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไม่รับอนุญาตและฐานเสพสุราจนเป็นเหตุให้ตนเมา ประพฤติวุ่นวาย การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานมีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนไม่รับอนุญาต จำคุก 6 เดือนและฐานเสพสุราจนเป็นเหตุให้ตนเมาประพฤติวุ่นวาย ปรับ 100 บาท อีก 2 กระทงด้วย ย่อมไม่ได้เพราะเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยโดยที่โจทก์มิได้อุทธรณ์ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 436/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการแก้ไขโทษในชั้นอุทธรณ์: การเพิ่มเติมโทษให้หนักขึ้นได้เมื่ออุทธรณ์ฐานความผิดที่หนักกว่าเดิม
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทำร้ายร่างกายผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ไม่มีเจตนาฆ่า โจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าคนโดยเจตนา ถือได้ว่าเป็นอุทธรณ์ในทำนองขอให้เพิ่มเติมโทษจำเลยให้หนักขึ้นอยู่ในตัว ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษาเพิ่มโทษจำเลยให้หนักขึ้นได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 17058/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ศาลฎีกายกประเด็นเพิ่มเติมโทษจากศาลอุทธรณ์ แม้โจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ และลดโทษจำเลยตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, วรรคสาม (2), 66 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตาม ป.อ. มาตรา 91 ขณะกระทำความผิดจำเลยอายุ 19 ปี ลดโทษมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา 76 ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยให้การเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตาม ป.อ. มาตรา 78 คงจำคุก 4 ปี 4 เดือน และปรับ 140,000 บาท จำเลยอุทธรณ์การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 67 และลงโทษจำคุก 1 ปี 6 เดือน และปรับ 20,000 บาท โดยไม่ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา 76 นั้นถือได้ว่าเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลย โดยที่โจทก์มิได้อุทธรณ์ขอให้ไม่ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งแก่จำเลย เป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ มาตรา 212 แม้จำเลยไม่ได้ฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. 225 ประกอบมาตรา 195 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12054/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และการเพิ่มเติมโทษโดยศาลอุทธรณ์ที่ขัดต่อกฎหมาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีนลงโทษจำคุก 3 เดือน และปรับ 5,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ยกฟ้องข้อหาร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยเฉพาะข้อหาที่ศาลชั้นต้นยกฟ้อง โดยโจทก์มิได้อุทธรณ์ในข้อหาเสพเมทแอมเฟตามีน จึงต้องถือว่าโจทก์พอใจคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ลงโทษจำเลยในข้อหาเสพเมทแอมเฟตามีนแล้ว ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้โทษจำเลยในข้อหาดังกล่าวเป็นไม่รอการลงโทษ และลงโทษปรับด้วย จึงเป็นการไม่ชอบเพราะเป็นการเพิ่มโทษจำเลย อันเป็นการต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 212
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 917/2554
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาเพิ่มเติมโทษโดยศาลอุทธรณ์โดยโจทก์มิได้อุทธรณ์ และการพิสูจน์ความผิดของจำเลยที่ 2 จากพยานหลักฐานที่ไม่เพียงพอ
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 4 ปี ฐานจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำคุก 4 ปี และฐานมีอาวุธปืนไม่มีเครื่องหมายทะเบียนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 1 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตาม ป.อ. มาตรา 78 คงจำคุก 6 ปี 8 เดือน ซึ่งเป็นการไม่ถูกต้อง ที่ถูกต้องเป็นจำคุก 6 ปี 9 เดือน โจทก์ไม่อุทธรณ์ถือว่าโจทก์พอใจในคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฝ่ายเดียวอุทธรณ์ การพิจารณาพิพากษาชั้นอุทธรณ์ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 212 บัญญัติว่า "คดีที่จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาที่ให้ลงโทษ ห้ามมิให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย เว้นแต่โจทก์จะได้อุทธรณ์ในทำนองนั้น" ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาโดยเติมข้อความในวงเล็บในส่วนคำพิพากษาของศาลชั้นต้นว่า "(ที่ถูก 6 ปี 9 เดือน)" ทำให้ศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกจำเลยที่ 1 เมื่อคดีถึงที่สุดเป็น จำคุก 6 ปี 9 เดือน คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 ดังกล่าวจึงเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยที่ 1 โดยโจทก์มิได้อุทธรณ์ จึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้คู่ความจะมิได้ฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3865/2550
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิ่มเติมโทษจากศาลอุทธรณ์ที่ไม่ชอบ และการใช้กฎหมายอาญาที่แก้ไขใหม่ในการลดโทษปรับ
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยเฉพาะข้อหาที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยโจทก์และจำเลยมิได้อุทธรณ์ในข้อหาเสพเมทแอมเฟตามีนโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จึงต้องถือว่าโจทก์พอใจคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ลงโทษจำเลยในข้อหาดังกล่าวแล้ว ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้โทษจำเลยในข้อหาเสพเมทแอมเฟตามีนโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายเป็นไม่รอการลงโทษและไม่ลงโทษปรับจำเลย จึงเป็นการไม่ชอบเพราะเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลยอันเป็นการต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 212