คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
เยาวชน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 72 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4291/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกำหนดระยะเวลาส่งตัวเยาวชนเข้าสถานพินิจต้องไม่เกินอายุ 24 ปีบริบูรณ์ ตาม พ.ร.บ.ศาลเยาวชนฯ
การเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวไปควบคุมเพื่อฝึกและอบรมยังสถานพินิจตามเวลาที่ศาลกำหนดตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวฯ มาตรา 104 (2) ต้องไม่เกินกว่าที่เด็กหรือเยาวชนนั้นมีอายุครบยี่สิบสี่ปีบริบูรณ์ เว้นแต่กรณีที่ศาลมีคำสั่งตามวรรคสุดท้ายของมาตรา 104 ซึ่งตามบทบัญญัติของกฎหมายจะต้องระบุให้ชัดเจนในคำพิพากษาด้วยว่าเมื่อจำเลยมีอายุครบยี่สิบสี่ปีบริบูรณ์แล้วให้ส่งตัวจำเลยไปจำคุกไว้ในเรือนจำตามเวลาที่ศาลกำหนดด้วย คดีนี้จำเลยเกิดวันที่ 25 พฤษภาคม 2525 แต่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาจำเลยจะมีอายุครบยี่สิบสี่ปีบริบูรณ์วันที่ 24 พฤษภาคม 2549 ดังนั้น กำหนดเวลาในการฝึกและอบรมตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 ที่พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้ส่งตัวจำเลยไปควบคุมเพื่อฝึกอบรมขั้นต่ำ 3 ปี ขั้นสูง 3 ปี 10 เดือน จึงเกินกว่าที่จำเลยมีอายุครบยี่สิบสี่ปีบริบูรณ์ ขัดต่อบทบัญญัติกฎหมายข้างต้น ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1847/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานชิงทรัพย์และการร่วมกระทำความผิด โดยจำเลยมีอายุเกินเกณฑ์เยาวชนในระหว่างการพิจารณาคดี
การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วางข้อกำหนดให้ส่งจำเลยไปฝึกอบรม มีกำหนด 1 ปี ตาม ป.อ. มาตรา 75 ประกอบมาตรา 74 (5) นั้น ไม่อาจบังคับได้เนื่องจากจำเลยมีอายุครบ 18 ปี ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาจึงไม่เหมาะสมกับพฤติการณ์แห่งคดี ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรให้รอการกำหนดโทษไว้ 3 ปี และคุมประพฤติจำเลยไว้ภายในกำหนดเวลาดังกล่าว โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ แม้โจทก์และจำเลยจะไม่ได้ฎีกาในปัญหานี้ก็ตาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12041/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการรวมระยะเวลาฝึกอบรมเยาวชนในคดีต่างๆ เพื่อประโยชน์สูงสุดของเด็กและเยาวชน
พ.ร.บ.จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวฯ มาตรา 104 (2) บัญญัติว่า ให้ศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวมีอำนาจใช้วิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนแทนการลงโทษทางอาญา โดยเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวไปควบคุมเพื่อฝึกอบรมตามเวลาที่ศาลกำหนดแต่ต้องไม่เกินกว่าเด็กหรือเยาวชนนั้นมีอายุครบยี่สิบสี่ปีบริบูรณ์ บทบัญญัติดังกล่าวไม่ได้ห้ามเรื่องการนับระยะเวลาฝึกอบรมต่อเนื่องกัน กรณีจึงเป็นอำนาจของศาลที่จะใช้ดุลพินิจว่าสมควรจะให้นับระยะเวลาฝึกอบรมต่อเนื่องกับระยะเวลาฝึกอบรมของคดีอื่นหรือไม่ก็ได้ ทั้งนี้โดยคำนึงถึงสวัสดิภาพและอนาคตของเด็กหรือเยาวชนซึ่งควรได้รับการฝึกอบรมสั่งสอนและสงเคราะห์ให้กลับตัวเป็นพลเมืองดีและให้เหมาะสมกับตัวเด็กหรือเยาวชนเป็นคน ๆ ไปตามมาตรา 82 ของกฎหมายดังกล่าวเมื่อศาลชั้นต้นเห็นสมควรจะให้จำเลยทั้งสามฝึกอบรมต่อเนื่องกับการฝึกอบรมในคดีก่อนของศาลชั้นต้นแล้ว ก็มีอำนาจที่จะพิพากษาหรือมีคำสั่งได้ โดยการฝึกอบรมต้องไม่ให้ระยะเวลาเกินกว่าจำเลยทั้งสามจะมีอายุครบยี่สิบสี่ปีบริบูรณ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 614/2546

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์คดีอาญาเยาวชนที่ศาลชั้นต้นยกฟ้อง โดยมีประเด็นเรื่องความชอบด้วยกฎหมายในการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ และการพิสูจน์ความผิดฐานกรรโชกทรัพย์
ความผิดฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 มีอัตราโทษปรับไม่เกินหนึ่งร้อยบาท ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง คดีต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ ประกอบกับโจทก์บรรยายฟ้องข้อหาตามมาตรา 371 กับความผิดฐานร่วมกันกรรโชกทรัพย์ตามมาตรา 337 เป็นกรณีต่างกรรมกัน มิใช่เป็นเรื่องกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวรับพิจารณาความผิดตามมาตรา 337 จึงไม่มีเหตุที่จะต้องรับพิจารณาความผิดตามมาตรา 371 ซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์และยุติไปแล้ว ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาลงโทษจำเลยตามมาตรา 371 จึงไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3747/2546

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดของเยาวชน, การแก้ไขบทกฎหมายโทษ และการกำหนดระยะเวลาฝึกอบรม
พฤติการณ์ที่จำเลยเห็นเจ้าพนักงานตำรวจเรียกให้หยุดรถเพื่อตรวจค้นสิ่งของผิดกฎหมาย จำเลยไม่ยอมหยุดรถ แต่กลับขับรถพา ม. หลบหนี และเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจขับรถกระบะไล่ติดตามจนเฉี่ยวชนกับรถจำเลย แล้วจำเลยยังคงหลบหนีไปแต่ลำพังโดยปล่อยให้ ม. ถูกจับพร้อมเมทแอมเฟตามีนของกลางแต่จำเลยฎีการับว่า ม. มีเมทแอมเฟตามีนของกลางแล้วโยนทิ้งกลางถนนแสดงว่าจำเลยทราบและมีเจตนาร่วมกระทำผิดกับ ม.
เมื่อปรากฏว่าจำเลยจะมีอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์วันที่ 2 ตุลาคม 2547 การที่ศาลล่างทั้งสองพิจารณาให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งจำเลยไปฝึกอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดนครราชสีมา มีกำหนด 2 ปี นับแต่วันพิพากษานั้น กรณีเมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษากำหนดระยะเวลาดังกล่าวจะเกินกว่าที่จำเลยมีอายุครบยี่สิบสี่ปีบริบูรณ์ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องเป็นว่า ให้ส่งตัวจำเลยไปรับการฝึกอบรมนับแต่วันมีคำพิพากษาศาลฎีกาจนกว่าจำเลยจะมีอายุครบยี่สิบสี่ปีบริบูรณ์
ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกามีการแก้ไข พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯมาตรา 67 ซึ่งตามกฎหมายเดิมให้ลงโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท แต่กฎหมายที่แก้ไขใหม่กำหนดโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับจะเห็นได้ว่า แม้กฎหมายที่แก้ไขใหม่จะมีระวางโทษปรับสูงกว่าโทษปรับตามกฎหมายเดิม และบัญญัติให้ลงโทษจำคุกหรือปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับแตกต่างจากกฎหมายเดิมที่กำหนดให้ลงโทษจำคุกและปรับเท่านั้น จึงต้องถือว่ากฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิดเป็นคุณมากกว่าในส่วนที่เกี่ยวกับโทษซึ่งมีหลายสถานที่จะลงได้ ส่วนโทษปรับนั้นกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดเป็นคุณมากกว่าจึงต้องใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณบังคับแก่จำเลย ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาจึงมีอำนาจยกขึ้นอ้างและแก้ไขปรับบทกฎหมายให้ถูกต้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2595/2546

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำชำเราเด็กหญิงและพรากเด็กไปอนาจาร ศาลพิจารณาโทษและรอการลงโทษโดยคำนึงถึงพฤติการณ์และเยาวชน
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุก 6 ปี และเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปฝึกและอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดนครราชสีมามีกำหนด 1 ปี 6 เดือน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 มาตรา 104 (2) เมื่อจำเลยอุทธรณ์ในปัญหานี้ โดยขอให้รอการลงโทษหรือรอการกำหนดโทษมาพร้อมกับอุทธรณ์ว่าไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้อง การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยในปัญหาการกระทำความผิดของจำเลย แต่ไม่วินิจฉัยในปัญหาขอให้รอการลงโทษหรือรอการกำหนดโทษ โดยอ้างว่าขัดต่อบทบัญญัติมาตรา 121 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 นั้นไม่ถูกต้อง เนื่องจากจำเลยมิได้อุทธรณ์ การใช้ดุลพินิจในการลงโทษจำเลยแต่เพียงอย่างเดียวอันจะต้องต้องตามบทกฎหมายดังกล่าว ต่อมาเมื่อจำเลยฎีกาว่าไม่ได้กระทำความผิดและขอให้รอการลงโทษหรือรอการกำหนดโทษอีก เมื่อศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยปัญหาการกระทำความผิดแล้ว ในส่วนการใช้ดุลพินิจการลงโทษจำเลยซึ่งเป็นปัญหาเกี่ยวพันกัน ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจที่จะพิจารณาด้วยว่าโทษที่ลงแก่จำเลยนั้นเหมาะสมหรือไม่เพียงใด โดยไม่เป็นการเพิ่มเติมโทษของจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7053/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยายามลักทรัพย์สุกร: เจตนา, การกระทำที่ยังไม่บรรลุผล, และการลดโทษสำหรับเยาวชน
สุกรตัวเกิดเหตุมีน้ำหนักเกือบ 200 กิโลกรัม ไม่สามารถอุ้มหรือจับไปได้โดยง่ายทั้งวัดเจ้าของสุกรก็ไม่ได้กักขัง แต่ปล่อยให้มีอิสระไปไหนมาไหนได้ ขณะที่นายดาบตำรวจ อ. เข้าจับกุมจำเลยที่ 1 และที่ 3 ถึงที่ 5 กำลังช่วยกันดึงและผลักดันสุกรให้เข้าไปในซองบรรจุ สุกรยังไม่ได้เข้าไปในซองทั้งตัว ทั้งยังไม่ได้นำขึ้นรถ จำเลยที่ 1 และที่ 3 ถึงที่ 5 ยังไม่อยู่ในฐานะที่สามารถจะนำสุกรไปได้ การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ถึงที่ 5 จึงยังไม่บรรลุผล คงเป็นความผิดฐานพยายามลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1455/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หน้าที่พนักงานอัยการควบคุมตัวเยาวชนมาศาลเมื่อฟ้องคดีอาญา แม้สถานพินิจปล่อยตัวชั่วคราว
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาฯไม่ได้บัญญัติเกี่ยวกับเรื่องที่พนักงานอัยการโจทก์มีหน้าที่ต้องควบคุมตัวจำเลยซึ่งเป็นเยาวชนมาศาลขณะยื่นฟ้องหรือไม่ แต่มาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวให้นำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาบังคับใช้แก่คดี ซึ่งตามมาตรา 165 ที่กำหนดให้พนักงานอัยการโจทก์คุมตัวจำเลยมาศาลในวันฟ้องนั้นสามารถนำมาใช้บังคับแก่คดีเด็กหรือเยาวชนได้ และไม่เป็นการขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวแต่อย่างใด ดังนั้น พนักงานอัยการโจทก์จึงมีหน้าที่ต้องควบคุมตัวจำเลยซึ่งเป็นเยาวชนมาศาลขณะยื่นฟ้อง เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยถูกควบคุมตัวที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดนครราชสีมาแล้วมีการประกันตัวไป แต่ภายหลังสถานพินิจดังกล่าวไม่อาจส่งตัวจำเลยต่อศาลในวันฟ้องได้เนื่องจากจำเลยถูกจับกุมในอีกคดีหนึ่งที่จังหวัดลพบุรี กรณีจึงเป็นเรื่องระหว่างการควบคุมตัวจำเลยในชั้นสอบสวนโดยอยู่ในอำนาจของผู้อำนวยการสถานพินิจ ไม่เกี่ยวกับศาลประกอบกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาฯ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2543 ที่แก้ไขใหม่ก็มิได้บัญญัติให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัวกลางเป็นผู้รับผิดชอบงานของสถานพินิจทั่วราชอาณาจักรดังที่บัญญัติไว้เดิมทั้งในปัจจุบันสถานพินิจทั่วราชอาณาจักรก็เป็นหน่วยงานที่แยกออกไปจากศาลแล้ว ดังนั้น ในชั้นควบคุมตัวจำเลยในสถานพินิจจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยอยู่ในความควบคุมของศาล ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่ประทับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณาจึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2866/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การดำเนินการกับผู้กระทำผิดในวัยเยาว์ที่พ้นวัยแล้ว ศาลสั่งมอบตัวผู้กระทำผิดให้ผู้ปกครองดูแลและกำหนดเงื่อนไขคุมประพฤติ
ขณะกระทำความผิดจำเลยที่ 1 มีอายุ 13 ปี จึงไม่ต้องรับโทษตาม ป.อ. มาตรา 74 แต่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา ให้ส่งตัวจำเลยไปฝึกและอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนมีกำหนดขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 1 ปี และขั้นสูง ไม่เกิน 2 ปี แต่เมื่อขณะจำเลยที่ 1 ยื่นฎีกา จำเลยที่ 1 มีอายุครบสิบแปดปีแล้ว ศาลจึงไม่อาจส่งตัวจำเลยที่ 1 ไปฝึกและอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนตาม ป.อ. มาตรา 74 (5) ได้ จึงสมควรที่จะดำเนินการแก่จำเลยที่ 1 ตามมาตรา 74 ประการอื่นที่เหมาะสมแก่จำเลยที่ 1 โดยเห็นควรมอบตัวจำเลยที่ 1 ให้มารดาหรือผู้ปกครองซึ่งยังสามารถ ดูแลจำเลยที่ 1 ได้ไป โดยวางข้อกำหนดให้มารดาหรือผู้ปกครองปฏิบัติตามและเพื่อให้จำเลยที่ 1 หลาบจำเห็นสมควรกำหนดวิธีดำเนินการและเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติของจำเลยที่ 1 ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2782/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุจำเลยขณะทำผิดมีผลต่อการลงโทษและมาตรการเยาวชน ศาลฎีกาแก้ไขคำพิพากษา
ขณะกระทำความผิดจำเลยมีอายุเพียง 13 ปีเศษ หาใช่ 14 ปีเศษดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่ จำเลยจึงไม่ต้อง รับโทษตาม ป.อ. มาตรา 74 การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงผิดจากพยานหลักฐานในสำนวนแล้วพิพากษาลงโทษจำเลยโดยเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปรับการฝึกและอบรมตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและ วิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 มาตรา 104 (2) เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาจึงฟังข้อเท็จจริงใหม่แทน ข้อเท็จจริงของศาลอุทธรณ์ได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 243 (3) ก. ประกอบด้วยมาตรา 247 และ ป.วิ.อ. มาตรา 15 แต่จำเลย มีอายุครบ 18 ปีแล้ว กรณีไม่อาจส่งตัวจำเลยไปเพื่อฝึกและอบรมตามมาตรา 74 (5) ได้ แต่สมควรให้ดำเนินการตามมาตรา 74 (2) และ (3) ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้คู่ความมิได้ฎีกามา ศาลฎีกา ก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
of 8