คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
แก้ไขเพิ่มเติม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 51 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1097/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อผูกพันตามแผนประนอมหนี้: ห้ามแก้ไขเพิ่มเติมแม้มีข้อเท็จจริงใหม่
เมื่อการประนอมหนี้ซึ่งที่ประชุมเจ้าหนี้ได้ยอมรับและศาลเห็นชอบด้วยผูกมัดเจ้าหนี้ทั้งหมดในเรื่องหนี้ซึ่งอาจขอรับชำระหนี้ได้ และลูกหนี้มีหน้าที่ต้องชำระหนี้ตามข้อตกลงในการประนอมหนี้นั้นแล้ว ไม่ว่าภายหลังจากนั้นจะเกิดมีข้อเท็จจริงเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้อย่างไร แม้จะมีผลทำให้เจ้าหนี้สามารถได้รับชำระหนี้ได้เร็วกว่าที่ลูกหนี้ตกลงไว้ในการประนอมหนี้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็ไม่อาจนัดประชุมเจ้าหนี้เพื่อเพิ่มเติมเงื่อนไขข้อตกลงประนอมหนี้นอกเหนือไปจากที่ลูกหนี้ได้ตกลงไว้ในการประนอมหนี้นั้นได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 955/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลและการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเกี่ยวกับสถานที่ฟ้องคดีมรดก
คำฟ้องของโจทก์เพียงแต่ขอให้บังคับจำเลยไปถอนคำคัดค้านการขอโอนมรดกที่โจทก์ได้ยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอเมืองปราจีนบุรีเท่านั้น มิได้บ่งถึงการที่จะบังคับแก่ตัวทรัพย์คือที่ดิน จึงไม่ใช่คำฟ้องเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์หรือสิทธิหรือประโยชน์ใด ๆอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้น โจทก์จะฟ้องต่อศาลที่อสังหาริมทรัพย์ตั้งอยู่ในเขต ตามประมวล-กฎหมายวีธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4 (1) เดิม หาได้ไม่ ต้องฟ้องต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาแต่เนื่องจากขณะคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ได้มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งใช้บังคับแล้วแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 4 (1) บัญญัติว่าคำฟ้อง ให้เสนอต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล หรือต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลไม่ว่าจำเลยจะมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรหรือไม่ เช่นนี้จึงทำให้โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้ต่อศาลจังหวัดปราจีนบุรีซึ่งเป็นศาลที่มูลคดีเกิดได้ด้วย ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรให้ศาลจังหวัด-ปราจีนบุรีรับคดีของโจทก์ไว้พิจารณาได้
อนึ่ง ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 151 วรรคแรก กำหนดให้ศาลสั่งคืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมด ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องโดยยังมิได้วินิจฉัยประเด็นแห่งดดีดังนั้น ที่ศาลล่างทั้งสองสั่งให้ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับจึงเป็นการไม่ถูกต้อง แต่เมื่อศาลฎีกาสั่งให้รับคำฟ้องโจทก์ไว้พิจารณาแล้ว จึงไม่ต้องสั่งคืนค่าธรรมเนียมศาลให้โจทก์อีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 955/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เขตอำนาจศาล: การฟ้องคดีที่เกี่ยวกับคำคัดค้านการโอนมรดกและการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
คำฟ้องของโจทก์เพียงแต่ขอให้บังคับจำเลยไปถอนคำคัดค้านการขอโอนมรดกที่โจทก์ได้ยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอเมืองปราจีนบุรีเท่านั้น มิได้บ่งถึงการที่จะบังคับแก่ตัวทรัพย์คือที่ดิน จึงไม่ใช่คำฟ้องเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์หรือสิทธิหรือประโยชน์ใด ๆ อันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้น โจทก์จะฟ้องต่อศาลที่อสังหาริมทรัพย์ตั้งอยู่ในเขต ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(1) เดิม หาได้ไม่ ต้องฟ้องต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนา แต่เนื่องจากขณะคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ได้มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งใช้บังคับแล้วแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 4(1)บัญญัติว่าคำฟ้อง ให้เสนอต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลหรือต่อศาลที่มีมูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาล ไม่ว่าจำเลยจะมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรหรือไม่ เช่นนี้จึงทำให้โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้ต่อศาลจังหวัดปราจีนบุรีซึ่งเป็นศาลที่มูลคดีเกิดได้ด้วยศาลฎีกาจึงเห็นสมควรให้ศาลจังหวัดปราจีนบุรีรับคดีของโจทก์ไว้พิจารณาได้ อนึ่ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 151 วรรคแรกกำหนดให้ศาลสั่งคืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมด ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องโดยยังมิได้วินิจฉัยประเด็นแห่งคดี ดังนั้น ที่ศาลล่างทั้งสองสั่งให้ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับจึงเป็นการไม่ถูกต้องแต่เมื่อศาลฎีกาสั่งให้รับคำฟ้องโจทก์ไว้พิจารณาแล้ว จึงไม่ต้องสั่งคืนค่าธรรมเนียมศาลให้โจทก์อีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3097/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนที่ดิน น.ส.3ก. ที่มีข้อจำกัดตามมาตรา 31 ประมวลกฎหมายที่ดิน และผลของการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมาย
จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ซึ่งมีข้อกำหนดห้ามโอนภายในสิบปีตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 31 อันเป็นการห้ามโอนโดยเด็ดขาด การที่โจทก์ที่ 1 ขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่โจทก์ที่ 2 ไม่ทำให้โจทก์ที่ 2 ได้สิทธิครอบครองในที่ดินแต่อย่างใดนั้น เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้เป็นข้อที่ไม่ได้ว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ จำเลยทั้งสองก็มีอำนาจยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 โจทก์ที่ 1 จดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ที่ 2เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2530 แม้ตามสารบัญจดทะเบียนจะมีข้อความว่าห้ามโอนภายในสิบปี ตามมาตรา 31 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินนับแต่วันที่ 15 มกราคม 2523 อันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะนั้นก็ตามแต่ต่อมามีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2521 มาตรา 4 ให้ยกเลิกความในมาตรา 31แห่งประมวลกฎหมายที่ดินที่ใช้อยู่เดิม จากการห้ามโอนภายในสิบปีให้ยกเลิกเป็นการห้ามโอนมีกำหนดห้าปี ดังนั้น ข้อกำหนดห้ามโอนที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 31 เดิมจึงไม่อาจนำมาใช้บังคับในคดีนี้ได้เพราะคดีนี้โจทก์ที่ 1 ได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ที่ 2 เมื่อพ้นกำหนดห้ามโอนภายในห้าปีแล้ว โจทก์ที่ 2จึงได้สิทธิครอบครองที่พิพาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1402/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขเพิ่มเติมจำเลยร่วมในคดีแพ่ง: ศาลอนุญาตได้หากจำเลยเดิมอาจต้องรับผิดในฐานะตัวการหรือนายจ้าง
ตามคำฟ้องของโจทก์ นอกจากโจทก์จะบรรยายฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าของผู้ครอบครองและผู้ประกอบการขนส่งใช้ประโยชน์ในรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 80-1646 นนทบุรี แล้วโจทก์ยังระบุอีกว่า จำเลยเป็นนายจ้างหรือตัวการได้ใช้จ้างวานหรือเชิดให้ผู้มีชื่อซึ่งเป็นลูกจ้าง หรือตัวแทนขับรถคันดังกล่าว ดังนั้นแม้ต่อมาโจทก์จะแถลงว่ารถคันดังกล่าวเป็นของห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. มิใช่ของจำเลยก็ตามแต่จำเลยอาจต้องรับผิดต่อโจทก์ในฐานะนายจ้างหรือตัวการตามคำฟ้องอีกได้ จึงต้องฟังพยานหลักฐานโจทก์จำเลยก่อน การที่โจทก์ขอและศาลมีคำสั่งให้เรียกห้างหุ้นส่วนจำกัด ส.เข้ามาเป็นจำเลยร่วมนั้น เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่มีผลต่อห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. โดยเฉพาะ และไม่ทำให้จำเลยเสียสิทธิในการต่อสู้คดีแต่อย่างใด โจทก์จึงชอบจะขอให้ศาลหมายเรียกห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. เข้ามาเป็นจำเลยร่วมในคดีได้ หาต้องฟ้องเป็นอีกคดีต่างหากไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 889/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสิ้นสิทธิฎีกาหลังกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติม ป.วิ.อ. ใช้บังคับ แม้คดีเป็นปัญหาข้อกฎหมาย
การพิจารณาว่าโจทก์จะฎีกาได้หรือไม่ ต้องพิจารณาตามบทกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะยื่นฎีกา แม้คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ในปัญหาข้อกฎหมายก็ตาม แต่โจทก์ยื่นฎีกาเมื่อวันที่16 พฤษภาคม 2534 หลังจาก พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติม ป.วิ.อ.(ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2532 ใช้บังคับแล้วโจทก์จึงฎีกาไม่ได้ เพราะต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 220 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ป.วิ.อ. (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2532 มาตรา 13.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5935/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัยหลังแก้ป.วิ.อ.มาตรา 119 กรณีผิดสัญญาประกันตัว
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 119 แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมโดยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา(ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2532 มาตรา 4 บัญญัติให้คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ในกรณีผิดสัญญาประกันต่อศาลเป็นที่สุด เมื่อผู้ประกันยื่นฎีกาหลังจากกฎหมายดังกล่าวใช้บังคับแล้ว กรณีของผู้ประกันจึงเป็นที่สุดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 191/2533 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิฎีกาหลังพ.ร.บ.แก้ไขป.วิ.อาญา (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2532: คดีที่ศาลชั้นต้น/อุทธรณ์ยกฟ้อง
โจทก์ยื่นฎีกาหลังจากพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2532 ใช้บังคับ การพิจารณาว่าโจทก์จะฎีกาได้หรือไม่ ต้องพิจารณาตามบทกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะยื่นฎีกา ในคดีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกาไม่ได้แม้เป็นปัญหาข้อกฎหมาย เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2532 มาตรา 13

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1891/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิฎีกาจำกัดในคดีผิดสัญญาประกันตาม พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ป.วิ.อ. (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2532
ผู้ประกันยื่นฎีกาหลังจาก พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติม ป.วิ.อ.(ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2532 ใช้ บังคับแล้ว สิทธิในการฎีกาของผู้ประกันต้อง พิจารณาตาม กฎหมายที่ใช้ บังคับในขณะยื่น ฎีกา ซึ่ง ป.วิ.อ.มาตรา 119 ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ. ดังกล่าว บัญญัติว่า "ในกรณีผิดสัญญาประกันต่อ ศาล ศาลมีอำนาจสั่งบังคับตาม สัญญาประกัน หรือตาม ที่ศาลเห็น สมควรโดย มิต้องฟ้อง เมื่อศาลสั่งประการใดแล้วฝ่ายผู้ถูก บังคับตาม สัญญาประกันหรือพนักงานอัยการมีอำนาจอุทธรณ์ได้คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ให้เป็นที่สุด" ฎีกาของผู้ประกันเป็นฎีกาเกี่ยวกับการสั่งบังคับตาม สัญญาประกัน ซึ่ง คำสั่งบังคับตาม สัญญาดังกล่าวเป็นที่สุดแล้วตาม คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ผู้ประกันไม่มีสิทธิฎีกาตาม บทบัญญัติดังกล่าว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1328/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิฎีกาผู้ประกันหลัง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ป.วิ.อ.(ฉบับที่ 17) ใช้บังคับ: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ผู้ประกันยื่นฎีกาภายหลังจาก พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติม ป.วิ.อ.(ฉบับที่ 17) ใช้ บังคับแล้ว สิทธิในการฎีกาของผู้ประกันต้อง พิจารณาตาม บทกฎหมายที่ใช้ ในขณะที่ยื่น ฎีกาดังนี้ กรณีของผู้ขอประกันจึงเป็นที่สุด.
of 6