พบผลลัพธ์ทั้งหมด 55 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7775/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานทำไม้และบุกรุกป่า: ศาลแก้ไขโทษกระทงความผิดกรรมเดียว
ความผิดฐานทำไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต และฐานก่นสร้างแผ้วถางป่า ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 11,73 วรรคสอง และมาตรา 54,72 ตรี เมื่อเป็นการกระทำความผิดในคราวเดียวกัน จึงเป็นความผิดกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามมาตรา 11,73 วรรคสอง ซึ่งเป็นบทที่มี โทษหนักที่สุดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาในปัญหานี้แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสีย ให้ถูกต้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 31/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีจำหน่ายยาเสพติดจำนวนมาก ศาลฎีกายืนโทษเนื่องจากพฤติการณ์ร้ายแรงและจำเลยไม่สำนึกผิด
เมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนของกลางมีจำนวนมากซึ่งตามสภาพและลักษณะแห่งความผิดนับเป็นมหันตภัยต่อมวลมนุษยชาติอีกทั้งสามารถทำลายทรัพยากรมนุษย์บั่นทอนความสงบสุขของสังคมและเศรษฐกิจของชาติสุดคณานับประกอบกับจำเลยทั้งสองมิได้สำนึกถึงการกระทำความผิดของตนกลับนำสืบปฎิเสธความผิดเสียอีกจึงสมควรลงโทษรุนแรงสาสมแก่ความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 515/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวความผิดหลายกรรม: การมีกัญชาไว้ในครอบครองกับการจำหน่าย ถือเป็นกรรมเดียว โทษจำหน่ายหนักกว่า
จำเลยมีกัญชาจำนวน2ถุงน้ำหนัก1กิโลกรัมและน้ำหนัก100กรัมไว้ในครอบครองจำเลยได้จำหน่ายกัญชาจำนวน1ถุงน้ำหนัก1กิโลกรัมให้แก่ ว. และในวันเดียวกันก่อนหน้านั้นจำเลยได้จำหน่ายกัญชาจำนวน1ถุงน้ำหนัก100กรัมให้แก่ ส. มาแล้วการที่จำเลยมีกัญชาจำนวน2ถุงไว้ในครอบครอบในคราวเดียวกันแม้จำเลยจะได้จำหน่ายกัญชาน้ำหนัก100กรัมให้แก่ ส. ไปก่อนและยังคงมีกัญชาน้ำหนัก1กิโลกรัมเหลืออยู่ในครอบครองแต่จำเลยก็ได้จำหน่ายกัญชาจำนวนดังกล่าวนี้ให้แก่ ว. ไปแล้วทั้งหมดโดยไม่มีกัญชาเหลืออยู่ในครอบครองของจำเลยอีกต่อไปการกระทำของจำเลยฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองจึงเป็นกรรมเดียวกับความผิดฐานจำหน่ายกัญชาในแต่ละกรรมคดีคงลงโทษจำเลยได้ในฐานจำหน่ายกัญชาซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักรวม2กรรมเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4112/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ละเมิดลิขสิทธิ์และการกระทำกรรมเดียวผิดหลายบท กฎหมายใดมีโทษหนักกว่าใช้บทนั้น
จำเลยได้นำวิดีโอเทปเรื่อง "เดอะ กริฟเตอร์ส" ออกขาย เสนอขาย ให้เช่า เสนอให้เช่า ในลักษณะเพื่อการค้าโดยรู้ว่างานหรือลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ในวิดีโอเทปนั้นได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ร่วม จึงเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2521 มาตรา 27, 44 วรรคสอง แต่ความผิดในข้อหานี้กับในข้อหาความผิดต่อ พ.ร.บ.ควบคุม กิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ. 2530 มาตรา 6, 34 ซึ่งเป็นอันยุติไปแล้วนั้น ตามฟ้องโจทก์เป็นการกล่าวหาใน วันเวลาเดียวกัน และการกระทำของจำเลยก็เป็นการกระทำที่มีเจตนาเดียวกัน กล่าวคือ การขาย เสนอขาย ให้เช่า เสนอให้เช่าอย่างเดียวกัน จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุด ซึ่งต้องพิจารณาจากอัตราโทษจำคุก คือ พ.ร.บ.ควบคุมกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ. 2530 มาตรา 6, 34 ซึ่งมีโทษหนักกว่า พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2521 มาตรา 27, 44 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7925/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดตาม ป.อ. มาตรา 335(1) วรรคแรก มีโทษหนักกว่า มาตรา 336 วรรคแรก ต้องลงโทษตามบทที่มีโทษหนักสุด
ป.อ. มาตรา 336 วรรคแรก และมาตรา 335 (1)วรรคแรก เป็นบทกฎหมายที่ระวางโทษขั้นสูงเท่ากัน แต่มาตรา 335 (1)วรรคแรก มีระวางโทษขั้นต่ำไว้ด้วย ความผิดตามมาตรา 335 (1) วรรคแรกจึงมีโทษหนักกว่าความผิดตามมาตรา 336 วรรคแรก ต้องลงโทษตามมาตรา 335 (1) วรรคแรก ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามมาตรา 90
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4788/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขบทและโทษในคดีอาญา: ศาลอุทธรณ์แก้ไขเป็นบทหนักกว่าเดิมได้หรือไม่ และการวินิจฉัยข้อกฎหมายของศาลฎีกา
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่2มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา290วรรคแรกจำคุก4ปีศาลอุทธรณ์ภาค3พิพากษาแก้ว่าจำเลยที่2มีความผิดตามมาตรา288อีกบทหนึ่งให้ลงโทษตามมาตรา288ซึ่งเป็นบทหนักจำคุก20ปีโดยแก้ไขทั้งบทและโทษเป็นการแก้ไขมากจึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่2ฐานร่วมกับพวกฆ่าผู้ตายโดยเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา288,83ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยที่2กับพวกทำร้ายผู้ตายโดยไม่มีเจตนาฆ่าจึงลงโทษตามมาตรา290วรรคแรกหากศาลอุทธรณ์ภาค3ฟังว่าจำเลยที่2ทำร้ายผู้ตายโดยมีเจตนาฆ่าก็ต้องปรับบทลงโทษตามมาตรา288,83ตามฟ้องเพียงบทเดียวจะพิพากษาว่าจำเลยที่2มีความผิดตามมาตรา288,83อีกบทหนึ่งและลงโทษตามบทนี้ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดไม่ได้และเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1805/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปรับบทความผิดทางอาญา: มาตรา 140 วรรคสาม ต้องพิจารณาโทษหนักกว่าวรรคหนึ่ง/สอง
ศาลล่างพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 140วรรคสาม โดยไม่ปรับบทตามมาตรา 138 วรรคสอง และมาตรา 140 วรรคแรกด้วยนั้น ไม่ถูกต้อง เพราะมาตรา 140 วรรคสาม มิได้บัญญัติความผิดไว้ชัดแจ้งในตัวและการไม่ปรับบทว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 140 วรรคแรก หรือวรรคสองย่อมไม่ทราบว่าจำเลยต้องระวางโทษหนักกว่าที่กฎหมายบัญญัติไว้กึ่งหนึ่งของมาตรา140 วรรคหนึ่งหรือวรรคสอง และปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นสมควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2871/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปล้นทรัพย์ด้วยอาวุธปืนและยานพาหนะของผู้เสียหาย ศาลยกเว้นโทษหนักฐานใช้ยานพาหนะ
จำเลยร่วมกับพวกอีก 3 คน ปล้นทรัพย์ผู้เสียหายโดยคนร้ายซึ่งเป็นพวกของจำเลยคนหนึ่งมีอาวุธปืนติดตัวไปด้วยและใช้อาวุธปืน ดังนี้ จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสองเท่านั้น ศาลจะนำ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 ตรี มาประกอบการลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสองเพื่อให้ต้องรับโทษหนักขึ้นหาได้ไม่ เพราะจำเลยไม่ได้เป็นผู้มีหรือใช้อาวุธปืนเพื่อกระทำผิดแต่อย่างใด ขณะที่จำเลยกับพวกมาการปล้นทรัพย์ จำเลยกับพวกไม่มียานพาหนะมา รถยนต์กระบะที่จำเลยขับไปในขณะที่ปล้นทรัพย์นั้นเป็นรถของผู้เสียหายเอง โดยผู้เสียหายนั้นไปด้วยจำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้มีดปลายแหลมของกลางบังคับผู้เสียหายและขึ้นขับรถผู้เสียหายไป ระหว่างที่จำเลยขับรถไปพวกจำเลยก็บังคับผู้เสียหายให้ปลดทรัพย์ให้ การที่จำเลยขับรถไปเป็นขับไปตามสภาพของทรัพย์นั้นเองถือไม่ได้ว่าเป็นการปล้นทรัพย์โดยใช้ยานหนะเพื่อกระทำผิดหรือเพื่อให้พ้นการจับกุมอันเป็นเหตุให้รับโทษหนักขึ้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ตรี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6336/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข่มขืนกระทำชำเราโดยมีอาวุธปืน แม้ไม่ได้ใช้ก็มีโทษหนักตามกฎหมาย
การกระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 276 วรรคแรก กระทำโดยมีอาวุธปืนแต่มิได้ใช้ก็ดี กระทำโดยมีและใช้อาวุธปืนก็ดีล้วนเป็นความผิดที่ต้องระวางโทษตามวรรคสองทั้งสิ้น ดังนั้นแม้จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายโดยมีอาวุธปืนแต่มิได้ใช้อาวุธปืนนั้น จำเลยก็ยังมีความผิดต้องระวางโทษตามที่ ป.อ.มาตรา 276 วรรคสองบัญญัติไว้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5648/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ครูอนาจารนักเรียน, พรากผู้เยาว์, ข่มขืนกระทำชำเรา, ศาลยืนโทษหนัก
ความผิดฐานอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคแรกศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำคุกจำเลย 3 ปี ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก
จำเลยเรียกผู้เสียหายไปบ้านจำเลยขณะภรรยาของจำเลยไม่อยู่บ้าน และจำเลยกอดผู้เสียหายในขณะที่นั่งดูโทรทัศน์ที่บ้านของจำเลย การที่จำเลยพาผู้เสียหายไปบ้านของตนขณะไม่มีคนอยู่บ้านและกระทำการแสดงออกที่ไม่สมควรทางเพศเช่นนั้น เป็นการบ่งชี้เจตนาให้เห็นตั้งแต่มาเรียกผู้เสียหายไปจากบ้านของผู้เสียหายเพื่อไปบ้านจำเลยซึ่งอยู่ห่างไกล แสดงให้เห็นว่ามีจุดมุ่งหมายที่จะพาไปเพื่อการไม่สมควรทางเพศ แม้ว่าขณะพาไปมารดาของผู้เสียหายไปทำงานไม่ได้อยู่บ้านก็ตามต้องถือว่าผู้เสียหายอยู่ในความปกครองดูแลของมารดา การที่จำเลยพาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารนั้นเป็นการแยกผู้เยาว์ไปจากอำนาจปกครองของมารดาโดยไม่มีเหตุอันสมควร เป็นการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสาม
จำเลยเป็นครูมีหน้าที่ที่จะต้องสร้างเยาวชนให้เป็นคนดีมีความสามารถและเป็นอาชีพที่บุคคลทั่วไปให้ความเคารพนับถือ แต่จำเลยกลับกระทำการอันเป็นเรื่องบัดสีต่อนักเรียนที่จะต้องให้การอบรมโดยอาศัยความเกรงกลัวและความเคารพนับถือที่นักเรียนมีต่อครู มาเป็นโอกาสกระทำการจนผู้เสียหายซึ่งอยู่ในวัยที่ต้องเจริญเติบโตต้องมาเสียอนาคตไปกับการกระทำของจำเลย จึงไม่มีเหตุใด ๆ ที่จะให้ความปรานีแก่จำเลยได้
จำเลยเรียกผู้เสียหายไปบ้านจำเลยขณะภรรยาของจำเลยไม่อยู่บ้าน และจำเลยกอดผู้เสียหายในขณะที่นั่งดูโทรทัศน์ที่บ้านของจำเลย การที่จำเลยพาผู้เสียหายไปบ้านของตนขณะไม่มีคนอยู่บ้านและกระทำการแสดงออกที่ไม่สมควรทางเพศเช่นนั้น เป็นการบ่งชี้เจตนาให้เห็นตั้งแต่มาเรียกผู้เสียหายไปจากบ้านของผู้เสียหายเพื่อไปบ้านจำเลยซึ่งอยู่ห่างไกล แสดงให้เห็นว่ามีจุดมุ่งหมายที่จะพาไปเพื่อการไม่สมควรทางเพศ แม้ว่าขณะพาไปมารดาของผู้เสียหายไปทำงานไม่ได้อยู่บ้านก็ตามต้องถือว่าผู้เสียหายอยู่ในความปกครองดูแลของมารดา การที่จำเลยพาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารนั้นเป็นการแยกผู้เยาว์ไปจากอำนาจปกครองของมารดาโดยไม่มีเหตุอันสมควร เป็นการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสาม
จำเลยเป็นครูมีหน้าที่ที่จะต้องสร้างเยาวชนให้เป็นคนดีมีความสามารถและเป็นอาชีพที่บุคคลทั่วไปให้ความเคารพนับถือ แต่จำเลยกลับกระทำการอันเป็นเรื่องบัดสีต่อนักเรียนที่จะต้องให้การอบรมโดยอาศัยความเกรงกลัวและความเคารพนับถือที่นักเรียนมีต่อครู มาเป็นโอกาสกระทำการจนผู้เสียหายซึ่งอยู่ในวัยที่ต้องเจริญเติบโตต้องมาเสียอนาคตไปกับการกระทำของจำเลย จึงไม่มีเหตุใด ๆ ที่จะให้ความปรานีแก่จำเลยได้