พบผลลัพธ์ทั้งหมด 61 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7256/2540 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาต้องเป็นไปตาม ป.วิ.พ. หากศาลชั้นต้นอนุญาตโดยไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาไม่สามารถวินิจฉัยได้
โจทก์ยื่นคำร้องขออุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา แต่จำเลยคัดค้านคำร้องขออนุญาตยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาของโจทก์ กรณีจึงไม่ต้องด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 223 ทวิ ที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งอนุญาตให้ยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาได้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์อุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาได้และรับอุทธรณ์โจทก์ส่งไปให้ศาลฎีกา จึงเป็นการขัดต่อบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่อาจจะวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ได้ และให้ศาลชั้นต้นสั่งอุทธรณ์ของโจทก์ใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 560/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ถูกต้องตามคำสั่งศาลอุทธรณ์: ค่าขึ้นศาลที่ไม่ชำระ
ศาลอุทธรณ์ส่งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไปให้ศาลชั้นต้นอ่านให้คู่ความฟังโดยสั่งว่าก่อนศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้คู่ความฟังให้ศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์ชำระค่าขึ้นศาลเพิ่มให้ถูกต้องหากโจทก์ไม่ยอมชำระให้ส่งคำพิพากษาและสำนวนคืนเพื่อดำเนินการต่อไปปรากฎว่าศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยไม่ได้มีคำสั่งให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลเพิ่มเมื่อคดีขึ้นมาสู่ศาลฎีกาและปรากฎเหตุที่มิได้ปฎิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่ศาลชั้นต้นต้องปฎิบัติตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์ก่อนอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ซึ่งเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาไม่ชอบศาลฎีกาจึงให้เพิกถอนการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นปฎิบัติตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์ให้ครบถ้วนถูกต้องโดยให้คืนฎีกาแก่โจทก์ก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3942/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิ่มโทษจำเลยจากประวัติอาชญากรรมเดิมขัดกับ พ.ร.บ.ล้างมลทิน ทำให้การเพิ่มโทษไม่ถูกต้อง
ศาลล่างทั้งสองเพิ่มโทษจำเลยหนึ่งในสาม เพราะจำเลยเคยต้องคำพิพากษาให้จำคุก 2 ปี ฐานปลอมเอกสาร ใช้เอกสารปลอมประกอบโรคศิลปะแผนปัจจุบันสาขาเวชกรรมโดยมิได้อนุญาตขายยาแผนปัจจุบันโดยมิได้รับอนุญาตเมื่อปรากฏว่าได้มีพระราชบัญญัติล้างมลทินในวโรกาส ที่พระบาทสทเด็จพระปรมินทรมหา-ภูมิพลอดุลยเดชทรงครองสิริราชสมบัติ ครบ 50 ปี พ.ศ. 2539มาตรา 4 ล้างมลทินให้แก่จำเลยซึ่งกระทำผิดก่อนวันที่9 มิถุนายน 2539 และจำเลยได้พ้นโทษไปแล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัติดังกล่าวใช้บังคับ จึงเพิ่มโทษจำเลยไม่ได้แม้จำเลยมิได้ฎีกาแต่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1910/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเสนอราคาที่ไม่ตรงตามเงื่อนไขประกวดราคา ไม่ถือเป็นการยื่นเสนอราคาที่ถูกต้อง สัญญาจึงไม่เกิดขึ้น
เอกสารการยื่นเสนอราคากำหนดให้ยื่นซองเสนอราคาภายในเวลากำหนด แต่จำเลยที่ 1 มิได้ยื่นภายในเวลาดังกล่าว ทั้งมิได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขการประกวดราคาที่กำหนดไว้ ไม่ได้ยื่นซองเสนอราคาที่กรอกข้อความในแบบฟอร์มเสนอราคาประมูลของโจทก์ และไม่มีหลักฐานแสดงว่าจำเลยที่ 1 ได้ลงทะเบียนรับแบบและเอกสารไปจากโจทก์ การเสนอราคาของจำเลยที่ 1 มิได้เสนอตามเอกสารการยื่นเสนอราคา หากแต่เป็นคำเสนอขึ้นใหม่ มิใช่การยื่นเสนอราคาในการประกวดราคา จึงนำเงื่อนไขการประกวดราคาดังกล่าวมาบังคับไม่ได้
หนังสือเสนอราคาของจำเลยที่ 1 ได้เสนอเพื่อประสงค์จะเข้าทำสัญญารับเหมาก่อสร้างติดตั้งระบบปรับอากาศและระบายอากาศกับโจทก์ การที่โจทก์แจ้งให้จำเลยไปทำสัญญา จึงเป็นคำสนองที่โจทก์ประสงค์จะทำสัญญากับจำเลย แต่คำสนองของโจทก์กำหนดเงื่อนไขให้จำเลยต้องนำหนังสือค้ำประกันของธนาคารวงเงินค้ำประกันร้อยละ 10 ของมูลค่าตามสัญญาจ้างไปวางประกันด้วย ซึ่งเป็นเงื่อนไขในเอกสารการยื่นราคา คำสนองของโจทก์จึงเป็นคำสนองอันมีข้อความเพิ่มเติม มีข้อจำกัดหรือมีข้อแก้ไข ถือได้ว่าเป็นคำบอกปัดไม่รับและเป็นคำเสนอใหม่ของโจทก์ เมื่อจำเลยไม่ยอมรับเงื่อนไขดังกล่าวและไม่ยอมทำสัญญากับโจทก์ คำเสนอใหม่ของโจทก์ดังกล่าวจึงสิ้นผล สัญญาระหว่างโจทก์และจำเลยจึงยังไม่เกิดขึ้น โจทก์จึงริบหลักประกันการประกวดราคา โดยเรียกให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินตามหนังสือสัญญาค้ำประกันไม่ได้
แม้ศาลชั้นต้นจะตั้งประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยกระทำผิดเงื่อนไขการประกวดราคารับเหมาก่อสร้างหรือติดตั้งระบบปรับอากาศและระบายอากาศตามที่ได้กระทำไว้ต่อโจทก์ดังฟ้องหรือไม่ก็ตาม แต่ศาลก็มีอำนาจที่จะวินิจฉัยก่อนว่า จำเลยได้ยื่นเสนอประกวดราคารับเหมาก่อสร้างหรือติดตั้งระบบปรับอากาศและระบายอากาศต่อโจทก์หรือไม่ เมื่อฟังว่าจำเลยไม่ได้ยื่นเสนอประกวดราคาก่อสร้างหรือติดตั้งระบบงานดังกล่าวต่อโจทก์ หากแต่เป็นคำเสนอใหม่ต่างหาก จึงนำเงื่อนไขการประกวดราคามาใช้กับจำเลยไม่ได้ ฉะนั้น จึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยว่า จำเลยทำผิดเงื่อนไขการประกวดราคาระบบปรับอากาศและระบายอากาศที่ทำไว้ต่อโจทก์หรือไม่ การวินิจฉัยดังกล่าวถือได้ว่ายังอยู่ในประเด็นแห่งคดีนั่นเอง
หนังสือเสนอราคาของจำเลยที่ 1 ได้เสนอเพื่อประสงค์จะเข้าทำสัญญารับเหมาก่อสร้างติดตั้งระบบปรับอากาศและระบายอากาศกับโจทก์ การที่โจทก์แจ้งให้จำเลยไปทำสัญญา จึงเป็นคำสนองที่โจทก์ประสงค์จะทำสัญญากับจำเลย แต่คำสนองของโจทก์กำหนดเงื่อนไขให้จำเลยต้องนำหนังสือค้ำประกันของธนาคารวงเงินค้ำประกันร้อยละ 10 ของมูลค่าตามสัญญาจ้างไปวางประกันด้วย ซึ่งเป็นเงื่อนไขในเอกสารการยื่นราคา คำสนองของโจทก์จึงเป็นคำสนองอันมีข้อความเพิ่มเติม มีข้อจำกัดหรือมีข้อแก้ไข ถือได้ว่าเป็นคำบอกปัดไม่รับและเป็นคำเสนอใหม่ของโจทก์ เมื่อจำเลยไม่ยอมรับเงื่อนไขดังกล่าวและไม่ยอมทำสัญญากับโจทก์ คำเสนอใหม่ของโจทก์ดังกล่าวจึงสิ้นผล สัญญาระหว่างโจทก์และจำเลยจึงยังไม่เกิดขึ้น โจทก์จึงริบหลักประกันการประกวดราคา โดยเรียกให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินตามหนังสือสัญญาค้ำประกันไม่ได้
แม้ศาลชั้นต้นจะตั้งประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยกระทำผิดเงื่อนไขการประกวดราคารับเหมาก่อสร้างหรือติดตั้งระบบปรับอากาศและระบายอากาศตามที่ได้กระทำไว้ต่อโจทก์ดังฟ้องหรือไม่ก็ตาม แต่ศาลก็มีอำนาจที่จะวินิจฉัยก่อนว่า จำเลยได้ยื่นเสนอประกวดราคารับเหมาก่อสร้างหรือติดตั้งระบบปรับอากาศและระบายอากาศต่อโจทก์หรือไม่ เมื่อฟังว่าจำเลยไม่ได้ยื่นเสนอประกวดราคาก่อสร้างหรือติดตั้งระบบงานดังกล่าวต่อโจทก์ หากแต่เป็นคำเสนอใหม่ต่างหาก จึงนำเงื่อนไขการประกวดราคามาใช้กับจำเลยไม่ได้ ฉะนั้น จึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยว่า จำเลยทำผิดเงื่อนไขการประกวดราคาระบบปรับอากาศและระบายอากาศที่ทำไว้ต่อโจทก์หรือไม่ การวินิจฉัยดังกล่าวถือได้ว่ายังอยู่ในประเด็นแห่งคดีนั่นเอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7310/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลโดยมิชอบ เนื่องจากนำกฎหมายที่ใช้กับบุคคลธรรมดามาใช้โดยไม่ถูกต้อง
พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการกำหนดค่าใช้จ่ายที่ยอมให้หักจากเงินได้พึงประเมิน(ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2502 มาตรา 8(25) ที่มีกรณีการให้เงินได้จากการขายของนอกจากที่ระบุไว้ในข้ออื่นซึ่งผู้ขายมิได้เป็นผู้ผลิตหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้ร้อยละ 80เป็นบทบัญญัติที่ใช้ในการคำนวณเงินได้ของบุคคลธรรมดาไม่ใช่การคำนวณเงินได้ของนิติบุคคล ทั้งไม่มีบทบัญญัติใดในประมวลรัษฎากรที่กำหนดให้นำมาใช้ในการคำนวณเงินได้ของนิติบุคคล และพระราชกฤษฎีกาฉบับดังกล่าวก็เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับการคำนวณค่าใช้จ่ายที่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาพึงหักเป็นค่าใช้จ่ายได้ มิใช่เพื่อกำหนดรายได้ของผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลฉะนั้น จึงนำพระราชกฤษฎีกา ฉบับนี้ที่ใช้บังคับแก่กรณีภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามาใช้บังคับกับกรณีภาษีเงินได้นิติบุคคลโดยอนุโลมหาได้ไม่ เพราะการคำนวณหาเงินได้ของนิติบุคคลจะต้องเป็นไปตามบทบัญญัติของมาตรา 65,65 ทวิ และ 65 ตรีแห่งประมวลรัษฎากร ดังนั้น การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ในส่วนที่กำหนดให้โจทก์มีต้นทุนขายร้อยละ 80 ทำให้รายได้จากการขายต่ำไป 863,699.06 บาท โดยนำพระราชกฤษฎีกา ฉบับดังกล่าวมาตรา 8(25) มาใช้บังคับโดยอนุโลมนั้นจึงไม่ถูกต้องชอบที่เจ้าพนักงานประเมินและคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จะต้องดำเนินการตรวจสอบตามเอกสารหลักฐานทางบัญชีที่โจทก์นำมามอบให้ตรวจสอบ หากเอกสารหลักฐานทางบัญชีที่โจทก์นำมามอบให้ตรวจสอบไม่เป็นการเพียงพอที่จะตรวจสอบหาเงินได้ของโจทก์ได้ตามมาตรา 65,65 ทวิ และ 65 ตรี แล้วจึงเป็นการชอบที่จะใช้วิธีการประเมินตามมาตรา 71(1) แห่งประมวลรัษฎากรจะนำพระราชกฤษฎีกา ฉบับดังกล่าวมาใช้หาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6916/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขยายระยะเวลายื่นคำให้การที่ไม่ถูกต้อง และผลกระทบต่อกระบวนการพิจารณา
จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นคำให้การโดยขอขยายระยะเวลายื่นคำให้การให้แก่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 11 ด้วย แต่คำร้องดังกล่าวระบุชัดว่าเป็นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นคำให้การของจำเลยที่ 2 แต่เพียงผู้เดียว มิใช่เป็นกรณีที่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 11 ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นคำให้การโดยมิได้แต่งทนายความให้ถูกต้องอันจะต้องพิจารณาบทบัญญัติแห่งป.วิ.พ. มาตรา 18 และมิใช่กรณีที่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 11 จะพึงให้สัตยาบันในภายหลังได้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตตามคำร้องของจำเลยที่ 2 ให้ขยายระยะเวลายื่นคำให้การให้แก่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 11 ด้วย และมีคำสั่งรับคำให้การของจำเลยที่ 3 ถึงที่ 11 เป็นคำสั่งที่ไม่ถูกต้อง ทั้งตามพฤติการณ์ยังไม่อาจถือได้ว่าศาลชั้นต้นได้ใช้ดุลพินิจอันเป็นอำนาจของศาลเองอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นคำให้การ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 23 จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งรับคำให้การและสั่งไม่รับคำให้การของจำเลยที่ 3 ถึงที่ 11 เนื่องจากมิได้ยื่นคำให้การภายในกำหนด 15 วัน ตามกฎหมาย จึงเท่ากับศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบดังกล่าวทั้งหมด ซึ่งในกรณีนี้โจทก์มิได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ และการที่โจทก์ยื่นคำร้อง ขอให้ศาลชั้นต้นสั่งว่าจำเลยที่ 3 ถึงที่ 11ขาดนัดยื่นคำให้การ ก็มิใช่ข้อค้านเรื่องผิดระเบียบอันจะต้องยกขึ้นกล่าวไม่ช้ากว่า8 วัน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 วรรคสอง แต่เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นสั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบโดยอาศัยอำนาจของศาลเอง ตามมาตรา 27 วรรคแรกซึ่งไม่อยู่ในบังคับของระยะเวลา 8 วัน ตามมาตรา 27 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2455/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเลิกสัญญาซื้อขายและการปรับตามสัญญาเมื่อผู้ขายส่งมอบสิ่งของไม่ถูกต้อง หรือไม่ครบถ้วน
ตามสัญญาให้ผู้ซื้อมีสิทธิเลิกสัญญาเมื่อผู้ขายไม่ส่งมอบสิ่งของตามที่ตกลงหรือส่งมอบสิ่งของทั้งหมดแต่ไม่ถูกต้องหรือส่งมอบสิ่งของไม่ครบซึ่งเป็นสิทธิของผู้ซื้อที่จะเลิกหรือจะให้ปฏิบัติตามสัญญาก็ได้ เมื่อผู้ซื้อไม่ใช้สิทธิเลิกสัญญาในทันทีแต่ให้โอกาสแก่ผู้ขายปฏิบัติตามสัญญาก็ย่อมได้เพราะผู้ซื้อยังมีความประสงค์จะซื้อสิ่งของตามสัญญานั้นอยู่เป็นหน้าที่ของผู้ขายจะต้องนำสิ่งของมาส่งมอบให้แก่ผู้ซื้อจนครบถ้วนการที่ผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อปรับตามสัญญาในอัตราที่ระบุไว้ในสัญญาก็เป็นไปตามเจตนาของคู่กรณีไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยจึงใช้บังคับได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1118/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปรับบทลงโทษที่ไม่ถูกต้องตามฟ้อง ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้องได้
พระราชบัญญัติญญัติจราจรทางบก(ฉบับที่4)พ.ศ.2535มาตรา30เป็นการแก้ไขพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ.2522มาตรา160ซึ่งมีข้อความเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ.2522มาตรา43(1)(2)(5)หรือ(8)และมาตรา78เมื่อโจทก์มิได้ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ.2522มาตรา43(1)(2)(5)หรือ(8)และมาตรา78มาด้วยจึงไม่ต้องปรับบทลงโทษตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก(ฉบับที่4)พ.ศ.2535มาตรา30
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4546/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสอบสวนและการมีอำนาจฟ้อง: แม้แผนที่เกิดเหตุไม่ถูกต้อง ไม่ทำให้การสอบสวนเสีย และโจทก์มีอำนาจฟ้องได้หากมีการสอบสวน
การทำแผนที่เกิดเหตุเป็นส่วนหนึ่งของการสอบสวน แต่ถึงหาก กระทำโดยไม่ชอบเพราะไม่ตรงกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ก็ไม่มีผลกระทบถึงกับเป็นเหตุให้การสอบสวนเสียไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3527/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นคำขอรับชำระหนี้เกินกำหนดในคดีล้มละลาย แม้ใช้แบบพิมพ์ไม่ถูกต้องก็ไม่ถือเป็นคำขอรับชำระหนี้
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้โฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้เด็ดขาดในหนังสือพิมพ์รายวันเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2534 และในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2534 ครบกำหนดที่เจ้าหนี้ทั้งหลายจะยื่นคำขอรับชำระหนี้ในวันที่ 22 กรกฎาคม 2534 เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2534 ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องตามแบบพิมพ์ (ล.54)ซึ่งเป็นแบบพิมพ์คำร้องทั่วไปของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ขอเฉลี่ยหนี้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้มีคำสั่งในวันเดียวกันนั้นว่า"คืนคำร้องไปทำมาใหม่ ให้หมายแจ้งเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ให้ถูกต้องตามแบบในระเบียบคดีล้มละลาย" ในตอนท้ายหน้าแรกของคำร้องได้มีหมายเหตุว่า ข้าพเจ้ารอฟังคำสั่งอยู่ ถ้าไม่รอให้ถือว่าทราบแล้วดังนั้นเมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้มีคำสั่งคำร้องในวันเดียวกันกับวันที่ผู้ร้องยื่นคำร้อง จึงถือว่าผู้ร้องได้ทราบคำสั่งแล้วโดยไม่ต้องมีหมายแจ้งคำสั่งให้ผู้ร้องทราบอีก ตามคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดังกล่าวนี้เป็นการสั่งไม่รับคำร้องนั่นเอง ผู้ร้องจะต้องทำคำขอรับชำระหนี้ตามแบบพิมพ์ (ล.29)ยื่นต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ใหม่ภายในกำหนดคือภายในวันที่22 กรกฎาคม 2534 การที่ผู้ร้องได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามแบบ(ล.29) เข้ามาใหม่เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2534 จึงพ้นกำหนดแล้วและจะถือว่าเป็นการยื่นคำขอรับชำระหนี้เพิ่มเติมก็ไม่ได้ เพราะยังไม่มีคำขอรับชำระหนี้เดิมเลย